สองหนุ่มสาวและเด็กน้อยอีกหนึ่งลงจากเรือนเพื่อไปร่วมขบวนแห่ดอกไม้กับชาวบ้าน โดยมีหนุ่มวัยสามสิบหกปีเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าซ้อนสามพาไป คนนั่งซ้อนท้ายหน้าหงิกงอแต่ก็ต้องจำใจนั่งซ้อนท้ายเกาะเอวคนขับแบบแหยงๆ เพราะน้องชายแจ้นไปนั่งข้างหน้าคนขับรอก่อนแล้ว แถมยังกวักมือเรียกพี่สาวไหวๆ ส่งยิ้มแป้นแล้นมาให้อย่างดีอกดีใจที่จะได้ไปร่วมขบวนแห่สนุกสนาน
เมื่อลูกๆ ลงจากเรือนไปแล้ว ผู้ใหญ่ก็หันหน้าเข้าหากันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับพันธสัญญาเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วทันที
“พ่อลำมูลจะเอาสินสอดเท่าไร” พ่อเหมผู้รับบัญชาจากเมียรักมาว่าจะต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นในวันนี้ ทั้งเรื่องสินสอดและกำหนดการจัดงาน ซึ่งแม่ขวัญกำหนดเส้นตายไว้ว่าต้องแต่งภายในเดือนหน้าเท่านั้น
“คุณเหมนี่ก็ใจร้อนจริ๊ง!” พ่อลำมูลอดีตข้าราชการตำแหน่งเกษตรอำเภอลาออกก่อนวัยเกษียณ ผู้จับพลัดจับผลูได้เป็นเพื่อนกับอดีตผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ว่าแล้วถอนหายใจแรง
“อย่าโยกโย้น่า มึงจะเอาเท่าไรก็ว่ามา” พ่อเหมรุกถามเสียงจริงจัง
“เท่าไรก็เอามาเถอะ แล้วแต่คุณเหมจะให้ แต่คุณเหมกับคุณขวัญต้องรับประกันนะว่า คุณเข้มจะไม่ทำให้ลูกสาวฉันต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า”
“ฉันเอาหัวเป็นประกันเลยค่ะพ่อลำมูล หนูมัทจะไม่เสียน้ำตาสักหยด ฉันรักและเอ็นดูหนูมัทจริงๆ ฉันจะดูแลปกป้องหนูมัทให้สมกับที่พ่อลำมูล แม่จำปายอมยกหนูมัทให้เป็นสะใภ้ของฉัน”
แม่ขวัญรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ท่านรักและเอ็นดูหนูมัทจริงๆ และท่านเชื่อว่าลูกชายของท่านรักและเอ็นดูหนูมัทไม่น้อยไปกว่าท่านแน่นอน อาจจะถึงขั้นหลงเลยด้วยซ้ำ เพราะคนเป็นแม่ดูลูกออก
“ถ้าไม่ใช่คุณขวัญ ฉันจะไม่มีวันยกลูกสาวให้หรอกนะ”
แม่จำปาพูดแล้วถอนหายใจแรงไม่น้อยหน้าสามี แต่เพราะเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายจริงใจและรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ อีกทั้งก็คนกันเอง อยู่หมู่บ้านเดียวกัน คบค้ากันมานาน รู้หน้ารู้นิสัยใจคอกันดี เพียงแต่รุ่นลูกนั้นอาจจะไม่ได้พบเจอหน้ากัน เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มัทนาต้องเรียนหนังสือ ส่วนคุณเข้มนั้นพอเรียนจบโทมาจากเมืองนอกเมืองนาก็เริ่มเรียนรู้ธุรกิจกับบิดา และรับช่วงเป็นผู้บริหารเต็มตัวแทนบิดาเมื่อสิบปีที่แล้ว
“แม่จำปาจะเรียกสินสอดเท่าไรจ๊ะ บอกมาได้เลย” แม่ขวัญรีบถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายใจอ่อนยอมให้แล้ว
“แล้วแต่คุณขวัญกับคุณเหมแล้วกัน ฉันไม่เดือดร้อนเรื่องสินสอดหรอก ขอแค่ลูกสาวอยู่ดีมีสุข ไม่ถูกรังแกก็พอใจแล้ว”
แม่จำปาว่าแล้วหันไปสบตาสามี พ่อลำมูลพยักหน้าเห็นด้วยกับเมีย แต่ก็ยังไม่วายถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก
“เงินสดสิบล้าน ทองหนึ่งร้อยบาท ที่ดินในเมืองสามแปลง คอนโดหนึ่งห้อง ที่นา...”
“พอๆ แม่ขวัญ ฉันไม่ได้จะขายลูกกินนะจ๊ะ” แม่จำปารีบเบรกเมื่อดูท่าแล้วแม่ขวัญจะร่ายรายการสินสอดอีกหลายรายการ
“รับไปเถอะแม่จำปา ฉันอยากให้ลูกสะใภ้”
“มันเยอะไปคุณขวัญ ลดลงมาหน่อยเถอะ”
แม่จำปาต่อรองให้ลดลงราวกับตัวเองเป็นฝ่ายมาสู่ขอ
“ใจจริง ฉันอยากให้ทั้งหมดที่ตั้งใจเลย แต่ถ้าแม่จำปาว่ามันเยอะเกินไป อย่างน้อยฉันก็อยากให้แม่จำปารับเงินสดสิบล้านบาท อย่าปฏิเสธเลยนะจ๊ะ”
แม่ขวัญรีบยื่นมือไปแตะหลังมือแม่จำปา เพราะกลัวอีกฝ่ายขอลดสินสอดลงมาอีก
แม่จำปาหันไปมองสบตาพ่อลำมูลขอคำปรึกษา พ่อลำมูลพยักพเยิดให้เมียรักเป็นผู้ตัดสินใจเอง เพราะท่านก็ไม่ได้คิดจะขายลูกสาวกินเหมือนกัน
“ถ้าคุณขวัญอยากให้ เราก็จะรับไว้ แต่งานแต่งน่ะ ขอแต่งแบบประเพณีโบราณที่บ้านนะ ไม่เอางานเลี้ยงหรูในโรงแรม เพราะญาติฝั่งฉันคงไม่มีใครสะดวกไปในที่แบบนั้น”
แม่ขวัญพยักหน้ายอมทุกอย่าง แล้วรีบปิดประเด็นกำหนดการจัดงานแต่งเสร็จสรรพ
“ได้สิจ๊ะ เอาเป็นว่าสินสอดและงานแต่งเอาตามนี้ กำหนดงานแต่งเป็นวันที่สิบสี่เดือนหน้านะจ๊ะ”
“ฮัดเช้ย!” มัทนาจามติดต่อกันหลายครั้งแล้ว หญิงสาวคันจมูกจนต้องใช้นิ้วชี้ถูแรงๆ หลายทีจนจมูกแดง เธอกำลังร่วมขบวนแห่ดอกไม้กับชาวบ้าน ทุกคนมีดอกไม้หลากหลายชนิดในมือ บางคนหิ้วมาเป็นตะกร้า บางคนใส่ตะกร้าสองใบแล้วใช้ไม้คานหาบ หลายคนฟ้อนรำอยู่ท้ายขบวน มีเสียงกลองยาว เสียงพิณ แคน ให้จังหวะสนุกสนาน เจ้าโมกถือดอกไม้เดินนำหน้าพี่สาวและว่าที่พี่เขย ปล่อยให้ทั้งสองเดินจับหูตะกร้าคนละข้างเดินเคียงกันไป
“แพ้ฝุ่นหรือเปล่า” คุณเข้มถามด้วยความเป็นห่วง เพราะขบวนแห่เดินค่อนข้างไกล พื้นถนนบางจุดมีฝุ่นเยอะ
“ไม่ค่ะ” มัทนาบอกโดยไม่หันไปมองคนข้างๆ ที่ถือตะกร้าใบเดียวกันเดินเคียงข้างเธอ เขามันคนบ้า! เธออุตส่าห์ยื่นดอกไม้ให้ถือต่างหากแล้ว ยังงอแงเหมือนเด็กรบเร้าจะถือตะกร้าใบเดียวกับเธอให้ได้ ครั้นเธอจะปฏิเสธก็เกรงใจสายตาชาวบ้านที่จับจ้องมองอยู่ ยิ่งเขาทั้งสูงทั้งหน้าตาหล่อเหลาคมคาย แม้เขาจะแต่งตัวเรียบง่ายเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ แต่เขาก็โดดเด่นกว่าทุกคนอยู่ดี เธอไม่อยากเป็นเป้าสายตาใคร จึงจำใจยอมถือหูตะกร้าคนละข้างกับเขา
“อะไรนะครับ พี่ไม่ได้ยิน”
“อุ๊ย!” มัทนาผงะหน้าหนีคนที่ก้มลงมาหา จนแก้มของเขาแทบจะชนปากเธอ
“ไม่ได้แพ้ฝุ่นค่ะ” หญิงสาวบอกแล้วกัดฟันกรอด เธอรีบเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น
“ทีหลังก็พูดดังๆ หน่อยสิ พี่ไม่ได้ยิน” คุณเข้มว่าแล้วยิ้มกริ่ม ก่อนจะยืดตัวตรงตามเดิม