“กระหม่อมเห็นด้วยกับความคิดของอาดิล เสี่ยงเกินไปที่พระองค์ทั้งสองจะเดินทางไปยังเผ่าคาลีส์”
ราชิตสนับสนุนความคิดของเพื่อนรักพร้อมกันนั้นก็ได้เอ่ยคัดค้านไม่ต้องการให้เจ้าเหนือหัวไม่ว่าพระองค์ไหนได้เดินทางไปยังมาตุภูมิแห่งมัจจุราชร้าย ทหาร...ที่ถูกฝึกฝนตั้งเป็นกองกำลังเฉพาะย่อมได้รับการฝึกฝนที่เรียกว่าชำนาญเรื่องการใช้อาวุธทุกรูปแบบนอกจากนั้นยังถูกล้างสมองให้เป็นทหารที่ไร้จิตใจฆ่าผู้คนได้ราวกับผักปลาที่ไม่สามารถร้องขอชีวิตได้หรือถึงแม้จะอ้อนวอนร้องขอชีวิต ทหารหน่วยพิเศษเหล่านี้ก็ไม่สนใจ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องทำตามหน้าที่ที่ได้ถูกฝึกถูกป้อนเข้าไปในหัวสมองคือการฆ่าเท่านั้น
เจ้าชายซารีฟร์ถอนหายใจยืดยาวรับรู้ว่าสิ่งที่เหล่าองครักษ์ต่างได้เอ่ยพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั้นเป็นเรื่องจริงทุกประการ
“เรากับท่านพี่รู้ดีว่าการเดินทางไปที่เผ่าคาลีส์นั้นอันตรายเพียงใด แต่ทำไงได้ ถ้าหากต้องการยุติปัญหาเรื่องการเข่นฆ่าผู้คนการทำร้ายพี่น้องกันเองเรากับท่านพี่ก็ต้องเสี่ยงเอาจะปล่อยให้ปัญหาปมนี้หมักหมมต่อไปเรื่อยๆ จนตกถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็คงไม่ดีแน่ ถึงตอนนั้นปัญหายิ่งจะบานปลายมากกว่าเดิม เราอยากให้ลูกหลานที่จะก่อเกิดขึ้นมาได้รักใคร่กลมเกลียวปรองดองกันช่วยกันเป็นต่างมือต่างเท้าบริหารอัลนูรีนให้เจริญรุ่งเรืองราษฎรอยู่ดีกินดีทุกครัวเรือนเหมือนดังบ้านเมืองที่เรามาพำนักอาศัยอยู่”
“กระหม่อมทั้งสองซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์กับเจ้าชายฮารีฟร์ยิ่งนัก ยอมสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อปวงผองมวลชนชาวอัลนูรีน”
ราชิตเอ่ยชมเจ้าเหนือหัวอย่างซาบซึ้งรู้ดีว่าเจ้าชายฮารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์นั้นได้เสียสละเพื่อราษฎรมากเพียงใด ตลอดทั้งวันตลอดทั้งคืนตลอดทั้งชีวิตลมหายใจของเจ้าชายทั้งสองพระองค์มีแต่คำว่าราษฎรอัลนูรีน ทรงขบคิดพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองแทบเท่ากับเมืองที่ศิวิไลซ์แล้วแต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมของอัลนูรีน
“พวกเจ้าไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพเราน่ะ ตอนนี้เราอยู่ที่บอสตันในสถานที่ออกรโหฐานด้วย เดี๋ยวผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะตกใจแตกตื่นเอา”
เจ้าชายซารีฟร์ร้องห้ามลั่นเมื่อทั้งราชิตและอาดิลต่างก็ทำท่าจะนั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีตามขนบธรรมเนียนปฏิบัติที่เหล่าองครักษ์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพต่อเจ้าเหนือหัวที่พวกเขาสามารถสละชีพตนเองแทนได้ทุกเมื่อนั่นก็คือการเอามือแตะที่เท้าของผู้ที่เป็นเจ้าแห่งชีวิตแล้วเอามือมาแตะที่ศีรษะและหัวใจของตนเอง
ทั้งราชิตและอาดิลชะงักกริยาที่กำลังจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าพลางหันไปมองนอกร้านอาหารภายในท่าอากาศยานซึ่งคลาคล่ำด้วยผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา เมื่อไม่อาจแสดงความจงรักภักดีด้วยการกระทำได้แต่องครักษ์ทั้งสองก็ได้เอื้อนเอ่ยเป็นวาจาที่กลั่นกรองจากมาก้นบึ้งของจิตวิญญาณแห่งการเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์
“กระหม่อมดีใจที่ได้เกิดมาเป็นธุลีเม็ดทรายในแผ่นผืนอัลนูรีน ภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติอันสูงสุดให้คอยอารักขาเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีน กระหม่อมยอมสละชีวิตของกระหม่อมเพื่อพระองค์”
ราชิต รุสดี อัฟซา องครักษ์เอกได้เอ่ยออกมาจากใจจริงพร้อมกับโค้งคำนับให้แก่เจ้าชายซารีฟร์เจ้าเหนือหัวที่ตนเองได้มีโอกาสคอยรับใช้อารักขามาแต่เยาว์วัย
“กระหม่อมก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับราชิต ชีวิตที่ไร้ค่าของเด็กขี้ขโมยคนหนึ่งดูมีคุณค่าขึ้นมาเมื่อได้รับการชุบเลี้ยงจากประมุขแห่งอัลนูรีน กระหม่อมขอสละชีวิตจิตวิญญาณของกระหม่อมไว้แทบเท้าของราชวงค์อัลนูรีนทุกพระองค์เช่นเดียวกันพะยะค่ะ”
อาดิล ฮาดี รอซีด์ โค้งคำนับเอ่ยคำสัตย์สาบานด้วยน้ำเสียงติดสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เอ่ยถึงชีวิตที่ไร้คุณค่าในยามเยาว์วัยถูกผู้ให้กำเนิดนำไปทิ้งโดยไม่เหลียวแล
และเมื่อปากหิวท้องร้องเพราะไร้อาหารตกถึงท้องถึงสองวันเต็มๆ เด็กน้อยตัวสกปรกเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนขาดรุ่งริ่งจึงจำเป็นต้องขโมยเพื่อความอยู่รอด เจ้าชายอะลี อัล ริฟาอีลส์ ได้ออกเยี่ยมราษฎรในตลาดค้าขายอูฐโดยมีโอรสทั้งสามตามเสด็จไปด้วย ถุงเงินที่เจ้าชายน้อยองค์รองได้ถือเพื่อจับจ่ายซื้อสิ่งของตาม แต่ใจนึกเป็นที่ล่อตาล่อใจเด็กน้อยอาดิลขี้ขโมยยิ่งนักและเมื่อเจ้าชายน้อยเผลอ ขี้ขโมยมือสมัครเล่นก็วิ่งเข้าไปกระชากถุงเงินจากเจ้าชายทันที
แต่เด็กน้อยอาดิลก็วิ่งหนีไม่ทันถึงสองก้าวก็ถูกองครักษ์เรือนกายกำยำล่ำสันรวบตัวไว้เสียก่อนและโทษฐานที่ได้รับสำหรับการเป็นขี้ขโมยซึ่งอาจหาญขโมยสิ่งของๆ เจ้าชายผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์คือการถูกโบยสิบครั้ง เด็กน้อยอาดิลหวาดกลัวตัวสั่นงันงกร้องขอชีวิตอย่าว่าแต่ถูกโบยสิบครั้งเลย แค่ครั้งเดียวเด็กน้อยที่ผอมกะหร่องก็ไม่มีทางทนพิษแห่งความเจ็บปวดได้
และผู้ที่ให้อภัยสำหรับการกระทำของเด็กน้อยอาดิลคือเจ้าชายอะลีและเจ้าชายน้อยทั้งสามพระองค์โดยเฉพาะเจ้าชายซารีฟร์ได้ขอคำมั่นจากเด็กน้อยอาดิลถ้าหากเลิกนิสัยขี้ขโมยและนับต่อแต่นี้ถ้าหากสัญญาว่าจะเป็นคนดีไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด เจ้าชายซารีฟร์จะพากลับพระราชวังด้วย ซึ่งถ้าหากไม่ได้เจ้าแห่งแผ่นผืนทะเลทรายทุกพระองค์ให้การชุบเลี้ยงก็คงไม่มีองครักษ์อาดิล ฮาดี รอซีด์ มาจนถึงทุกวันนี้
เจ้าชายซารีฟร์ยิ้มบางๆ ตรงมุมปากกับคำสัตย์สาบานขององครักษ์เอกทั้งสองนาย “ขอบใจพวกเจ้ามากที่จงรักภัดดีต่อเราและราชวงศ์อัลนูรีนเสมอมา”
การสนทนาของเจ้าชายหนุ่มองค์รองแห่งท้องทะเลทรายสีทองและเหล่าองครักษ์ได้ถูกขัดจังหวะเมื่อเด็กเสริฟได้ทยอยนำอาหารมาเสริฟให้อย่างนอบโน้ม
ราชิตกับอาดิลรอจนกระทั่งเด็กเสริฟเดินออกไปแล้วจึงทำหน้าที่เป็นผู้ชิมอาหารทุกจานก่อนที่เจ้าชายซารีฟร์จะได้ลงมือรับประทาน
ถึงแม้จะมาพำนักอาศัยอยู่ในบ้านเมืองที่ศิวิไลซ์ล้ำด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่รอบด้านรอบกายแต่การลอบสังหารที่น่ากลัวและอันตรายมากกว่าอาวุธปืนนั่นก็คือยาพิษไร้รสไร้กลิ่นที่ออกฤทธิ์รุนแรงฆ่าผู้ดื่มกินได้ในพริบตาเดียว เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นองครักษ์ต้องรอบคอบทุกครั้งก่อนที่จะให้เจ้าชายซารีฟร์ได้รับประทานอาหารที่ประดิษฐ์ประดอยด้วยฝีมือของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ฝีมือของพวกตนจึงจำเป็นต้องมีการพิสูจน์ให้ทราบว่าอาหารทุกจานเครื่องดื่มทุกแก้วปลอดภัยสำหรับเจ้าเหนือหัว
น้ำพริกปลาทูกับผักสดอีกถาดใหญ่เป็นอาหารที่เจ้าชายองค์รองแห่งราชวงศ์อัลนูรีนโปรดปรานมากเป็นพิเศษและรีบลงมือรับประทานทันทีที่ผ่านการตรวจสอบจากเหล่าองครักษ์แล้ว