“เราเอาด้วยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำหลายอย่าง”
ภยันตรายที่มีอยู่รอบด้านการถูกลอบสังหารถูกปลงพระชนม์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า องครักษ์ที่คอยทำหน้าที่อารักขาจึงจำเป็นต้องตื่นตัวคอยระวังภัยให้กับเจ้าแห่งชีวิตตลอดเวลา
เจ้าชายซารีฟร์ได้ยินเมนูอาหารที่เหล่าองครักษ์ได้สั่งเด็กเสริฟก็ส่ายหน้าช้าๆ อย่างอ่อนใจ รู้ว่าองครักษ์ที่ภักดีทั้งสองต้องการทานอาหารให้เสร็จเร็วไวเพื่อกลับไปทำหน้าที่อารักขาตนเหมือนดังเดิม
“เดี๋ยว!” เจ้าชายองค์รองแห่งทะเลทรายได้เรียกเด็กเสริฟไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไปส่งรายการอาหารให้กับพ่อครัว
“เพิ่มซุปถ้วยใหญ่มาอีกถ้วย ผัดผักรวมแล้วก็เอาไข่เจียวร้อนๆ มาด้วย” เจ้าชายซารีฟร์รอจนเด็กเสริฟเดินพ้นไปแล้วจึงได้หันมาต่อว่าองครักษ์ไม่จริงจังนัก
“กินข้าวแค่คนละจานจะอิ่มได้อย่างไร พวกเจ้าตัวออกจะใหญ่โตต้องการพลังงานมาก ทีหลังให้สั่งอาหารมากินให้อิ่ม”
“กระหม่อมกับอาดิล ไม่อยากใช้เวลาในการทานข้าวมากเกินไปพะยะค่ะ” ราชิตตอบตามความเป็นจริงที่ตนเองและอาดิลเพื่อนรักต่างก็คิดเช่นนี้เสมอ
“เฮ้อ!...ราชิต อาดิล พวกเจ้าไม่ต้องระวังภัยให้เรามากถึงเพียงนี้ก็ได้ ที่นี่บอสตันน่ะ ไม่มีใครบ้าถ่อสังขารมาฆ่าเราถึงที่นี่หรอก”
ด้วยรู้ความหมายที่องครักษ์เอกทั้งสองได้เอ่ยออกมาอย่างแจ่มแจ้ง เจ้าชายซารีฟร์จึงได้คัดค้านความคิดความอ่านของอีกฝ่ายเสียงแข็ง
“หามิได้พะยะค่ะ อันตรายนั้นมีไปทั่วทุกแห่งที่พระองค์ได้เดินทางไป พวกกระหม่อมไม่อยากละหลวมในเรื่องการทำหน้าที่คอยอารักขาพระองค์”
อาดิล ฮาดี รอซีด์ เป็นผู้เอ่ยค้านเจ้าเหนือหัวบ้าง การได้รับความไว้วางใจคัดเลือกฝึกฝนให้เป็นองครักษ์เอกคอยอารักขาเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีนถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของบุรุษชาติอาหรับ และก่อนที่เขากับราชิตจะเดินทางมาที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์พร้อมๆ กับเจ้าชายหนุ่ม เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ประมุขแห่งประเทศอัลนูรีนได้เรียกให้พวกตนไปเข้าเฝ้าและสั่งกำชับให้คอยดูแลอนุชาของพระองค์เป็นอย่างดี
“พวกเจ้าคงถูกท่านพี่ฮารีฟร์สั่งกำชับให้คอยดูแลเราไม่ให้คลาดสายตาใช่มั้ย”
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยถึงเชษฐานั้นเต็มไปด้วยความจงรักภักดีที่น้องคนหนึ่งจะสามารถมอบให้กับผู้เป็นเชษฐาได้ทั้งชีวิต
“พะยะค่ะ เจ้าชายฮารีฟร์ทรงให้กระหม่อมกับอาดิลเข้าเฝ้าและสั่งเน้นย้ำให้พวกกระหม่อมดูแลพระองค์เป็นอย่างดีพะยะค่ะ”
ราชิตเอ่ยตอบตามความเป็นจริง เจ้าชายฮารีฟร์ผู้ที่เป็นเชษฐาทรงเป็นห่วงอนุชาที่อาศัยอยู่ต่างบ้านต่างถิ่นมากเป็นพิเศษ
“ท่านพี่ทำราวกับว่าเราเป็นเด็กชายซารีฟร์วัย 10 ขวบยังไงยังงั้น”
เจ้าชายองค์รองแห่งแผ่นผืนทะเลทรายเอ่ยแซวเชษฐาผู้อยู่ห่างไกลคนละถิ่นแดนด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มรู้ว่าเชษฐาผู้เสียสละนั้นทรงเป็นห่วงตนมากเพียงใด
“เจ้าชายฮารีฟร์ทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์มาก ด้วยเกรงว่าเอ่อ...เจ้าชายชารีฟร์จะส่งมือสังหารมาลอบทำร้ายพระองค์”
อาดิลอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนักด้วยรู้ว่าคำพูดของตนนั้นได้ซึมซับเข้าไปสะกิดบาดแผลของเจ้าเหนือหัวให้เจ็บปวดกับศึกสายเลือดที่อนุชาคือเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาต่างพระมารดาที่คอยเวลาสำหรับการช่วงชิงราชบัลลังก์อัลนูรีนกลับมาเป็นของตน
“บอกตามตรงน่ะราชิต อาดิล เราไม่อยากเชื่อว่าชารีฟร์อนุชาที่อ่อนโยนของเราจะมีจิตใจโหดเหี้ยมฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องคนในชาติเดียวกัน”
ซุ่มเสียงที่เอื้อนวาจาเอ่ยบอกกับเหล่าองครักษ์เต็มไปด้วยความเสียใจผิดหวังที่อนุชาองค์เล็กไม่คิดเพียงพอ ต้องการเป็นประมุขแห่งแผ่นผืนทะเลทรายแทนเชษฐาฮารีฟร์
เจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เป็นโอรสของท่านมานีนา ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเจ้าชายอะลี อัล ริฟาอีลส์ประมุของค์ก่อน
ของอัลนูรีนหลังจาสละราชบัลลังก์แล้วเจ้าชายอะลีได้สถาปนาให้เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ โอรสองค์โตได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แทน
ถึงแม้เจ้าชายชารีฟร์จะเป็นโอรสที่ไม่ได้เกิดจากราชินีซึ่งเป็นหญิงงามชาวสยายแต่เจ้าชายอะลีก็รักและสถาปนาโอรสองค์เล็กให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ที่เทียบเท่ากับโอรสอีกสองพระองค์ทุกประการ เจ้าชายชารีฟร์ได้พำนักอยู่ที่พระราชวังในเมืองหลวงจนกระทั่ง 10 ขวบ ท่านมานีนาจึงได้พากับไปที่เผ่าคาลีส์ซึ่งอยู่ชายแดนประเทศอัลนูรีน หลังจากท่านมานีนาได้พาโอรสกับไปที่เผ่าแล้วทั้งเขาและท่านพี่ฮารีฟร์ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากอนุชาองค์เล็กเลย พอมารู้ข่าวอีกทีก็ทำเอาแทบช็อกเมื่อรู้ว่าเจ้าชายชารีฟร์อนุชาองค์เล็กที่คอยเดินตามติดเชษฐาทั้งสองแจได้คิดการใหญ่คิดช่วงชิงราชบัลลังก์อัลนูรีน
องครักษ์ราชิตหันไปมองหน้าอาดิลเพื่อนรักก่อนจะรายงานเจ้าเหนือหัวตามที่ได้รับข้อมูลมาจากเหล่าองครักษ์ในอัลนูรีน การมาพำนักคอยให้การอารักขาเจ้าชายซารีฟร์ยังดินแดนที่ห่างไกลจากประเทศของตนเองหลายแสนไมล์คนละซีกโลกแต่ก็ไม่มีขาดเว้นเรื่องการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารในเหล่าองครักษ์ด้วยกัน
“แต่ก็เป็นไปแล้วมิใช่หรือพะยะค่ะ กระหม่อมรับทราบมาจากหน่วยข่าวกรองว่าเจ้าชายชารีฟร์ได้แอบตั้งกองกำลังทหารที่เข้มแข็งอยู่ที่เผ่าคาลีส์ซึ่งทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีเตรียมพร้อมเข้าประชิดเมืองหลวงตลอดเวลาทันทีที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าชายชารีฟร์”
เจ้าชายซารีฟร์เผยแววเศร้าให้เห็นทั่วทั้งใบหน้าคมเข้มและนัยน์ตาคมกริบภายใต้ขนตายาวงอนใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของอนุชาชารีฟร์เขาได้รับรู้รับทราบจากอานีสต์และวาอีน์องครักษ์เอกของท่านพี่ฮารีฟร์ที่ได้แจ้งข่าวให้ทราบตลอดและเขาเองก็ได้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับเชษฐาแทบทุกวันเช่นเดียวกัน
“เราได้รับข่าวเรื่องนี้จากท่านพี่ฮารีฟร์แล้ว เมื่อไหร่ที่เราพร้อมท่านพี่กับเราจะเดินทางไปยังเผ่าคาลีส์ ไปพบกับชารีฟร์เพื่อเจรจายุติปัญหาการแย่งชิงการเข่นฆ่ากันเองของพี่น้องและคนในชาติเดียวกัน”
“จะดีหรือพะยะค่ะ การเดินทางไปเผ่าคาลีส์กระหม่อมคิดว่าเสี่ยงเกินไป แล้วเจ้าชายชารีฟร์จะยอมเจรจาด้วยหรือพะยะค่ะ”
อาดิลร้องถามด้วยความตกใจกับความคิดของเจ้าเหนือหัวทั้งสองทั้งของเจ้าชายฮารีฟร์ผู้เป็นประมุขแห่งอัลนูรีนและเจ้าชายซารีฟร์อนุชาองค์รอง การเดินทางไปยังถิ่นศัตรูที่โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปราณีต่อมวลมนุษย์ด้วยกันไม่ละเว้นแม้กระทั่งสายเลือดเดียวกันก็เท่ากับว่าเป็นการเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย