สุจาและฤดีกินอาหารเสร็จพอดี แต่อินญาและเชนยังเอร็ดอร่อยกับอาหารเช้าฝีมือของสุจาผู้นั่งมองทุกคนกินอย่างอิ่มใจ เขาหันไปทางติ๊เบี่ยแล้วก็อุทาน
“ต๊ายตาย ลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไร พุ้ยเอาๆ เดี๋ยวติดคอ”
สุจารีบคว้าขวดน้ำและลุกขึ้นส่งให้มนุษย์จำแลง ซึ่งเขารับไปเก็บใส่ย่ามไว้แล้วแหงนหน้ายิ้มให้สุจาพร้อมคำกล่าว
“เก่อลองเห่อเดมะเด้”
“อูย ไม่ต้องขอบคุณหนูหรอกผู้เฒ่า กินให้อิ่มๆ นะจ๊ะ หากไม่พอขอเติมใหม่ได้”
สุจาพูดภาษาอาข่ากับติ๊เบี่ย อีกฝ่ายสั่นหน้าและส่งจานกระดาษที่เกลี้ยงเกลาคืนให้สุจา ส่วนตะเกียบพลาสติกเขาเอาเหน็บผ้าโพกไว้
“ช่วยเรียกติ๊เบี่ยมานั่งคุยกันหน่อยนะว่าจากนี้เราจะเดินทางไปทิศไหน” ชดตะโกนบอกสุจาเป็นภาษาอังกฤษ
ติ๊เบี่ยลุกขึ้นเหมือนเข้าใจสิ่งที่ชดพูด
“โอเค เล็ตสโก” เสียงเล็กแหลมตอบขึ้น
“เฮ้ย” สุจาเผลอร้องออกมา “อุ๊ยขอโทษค่ะ ผู้เฒ่าพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยหรือ!!!”
“ก็เพิ่งพูดได้หลังจากฟังพวกท่านพูดกันมาตั้งแต่เช้ามืด” ติ๊เบี่ยตอบเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง
“นี่แปลว่าผู้เฒ่านอนฟังพวกเราพูดกันอยู่ใช่ไหม” สุจาถาม
“ข้านอนพักผ่อนแต่ตัว แต่สมองข้ายังทำงานอยู่ เรื่องภาษาต่างเผ่าพันธุ์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ฟังไปฟังมาก็เข้าใจได้ ส่วนที่ยากนั้นคือเรื่องของหัวใจที่ข้าอ่านไม่ออก” ติ๊เบี่ยกล่าว
แล้วสุจากับติ๊เบี่ยก็เดินไปหาชดและคนอื่นๆที่นั่งรออยู่บนผืนเสื่อ
ชดก้มดูนาฬิกาข้อมือ เกือบแปดโมงเช้าแล้ว วันนี้คือวันที่ 2 เมษายน และเป็นวันที่สองของการเดินทาง เขามองติ๊เบี่ยร่างเล็กที่เดินคุยกับสุจาเข้ามาใกล้ เมื่อทั้งสองนั่งลงแล้ว ชดหันไปบอกอะผ่าว่า
“ถามเขาซิหมู่บ้านที่เขาจะพาเราไปนั้นห่างไกลจากที่นี่ขนาดไหน ต้องขึ้นเขากี่ลูก ใช้เวลาสักเท่าไร”
สุจายกมือห้ามอะผ่าไว้ เขาสะกิดแขนติ๊เบี่ยผู้ซึ่งมองไปรอบๆและทำจมูกยุกยิก จากนั้นมนุษย์จำแลงก็พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ เขาส่งเสียงฟุตฟิตผสมสำเนียงของทุกคนที่เขาเงี่ยหูฟังตั้งแต่พบกัน
“หมู่บ้านที่ข้าจะพาท่านไปนั้น อยู่ห่างจากที่นี่ราวๆ แปดพันงู ไปทางตะวันยามเช้า ผ่านภูเขาไปสองลูก เราต้องไปถึงน้ำตกใหญ่ก่อนดวงอาทิตย์จะตรงหัว”
เชน อินญา ฤดี และอะผ่าอ้าปากค้างเมื่อฟังติ๊เบี่ยพูดภาษาอังกฤษออกมา ส่วนชดนั่งกอดอกทำหน้านิ่ง เขามองสุจาและบอกว่า
“ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมแปลกใจได้อีกแล้ว คุณไม่ต้องคิดเลยว่าผมจะมีคำถาม”
“ดีใจจังที่ผู้เฒ่าพูดภาษาอังกฤษได้” อินญาลุกเดินเข้าไปใกล้ชายร่างเล็กและยิ้มให้ “ขอถามอะไรหน่อยนะคะ คืออินญาอยากรู้ว่าแปดพันงูนี่มันเท่าไร” หญิงสาวทำหน้าพออกพอใจเมื่อได้พูดกับเจ้าพังพอนแปลงกายโดยไม่ต้องผ่านล่าม
“หนึ่งงูก็เท่ากับความยาวของปลายหางจรดหัวงูไง แม่หนูผมแดง” ติ๊เบี่ยตอบอินญา
“งูมันตัวยาวไม่เท่ากันนะคะ แล้วมาตรฐานมันอยู่ที่ไหน” อินญาแย้ง
“มาตรฐานแปลว่าอะไร” ติ๊เบี่ยทำหน้างง
“ถามใหม่ก็ได้ค่ะ คือเราจะเอางูตัวไหนมาวัดคะ” อินญาพูด ทุกคนมองอินญาสลับกับมองติ๊เบี่ย
เจ้ามนุษย์จำแลงพยักหน้าหงึกๆ เขาทำท่านึกแล้วตอบอินญาด้วยหน้าตาขึงขังว่า
“งูที่พวกเราใช้วัดเป็นงูขนาดกลาง ความยาวก็คงเท่ากับท่านนี่แหละ” เขาบอกพร้อมกับถอยห่างออกไปนิดหนึ่งและทำท่าประเมินความสูงของหญิงสาว
“ถ้าอย่างนั้นหนึ่งงูก็เท่ากับหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซ็นติเมตรน่ะสิคะ” อินญาบอกความสูงของตัวเอง
“แปดพันงูก็จะประมาณ...” อะผ่าขยับริมฝีปากและกลอกตาขึ้นด้านขวา เขากำลังแปลงค่าระยะทาง “เอาแปดพันคูณด้วยร้อยเจ็ดสิบแล้วใส่จุดทศนิยมสองตัว...”
“สิบสามกิโลเมตรครึ่งกว่าๆ”
ชดชูโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นให้ทุกคนเห็น โจทย์ตัวเลขได้รับการสะสางอย่างว่องไวด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ยังใช้ได้บางฟังก์ชั่น
“พวกท่านอยากรู้อะไรอีกล่ะ” ติ๊เบี่ยอมยิ้มภูมิใจที่ใครๆก็อยากเข้ามาพูดคุยกับตน
“ผู้เฒ่าจ๊ะ ฉันขอถาม” ฤดีชะโงกตัวไปหามนุษย์จำแลง “ที่หมู่บ้านริมธารมีประชากรกี่คน”
“ที่เป็นคนมีแปดสิบ” ติ๊เบี่ยตอบพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาใบหน้า
“ทำไมน้อยจังเลย” สุจาอุทาน เชนมองติ๊เบี่ยและยิ้มให้พร้อมเอ่ยถามว่า
“แล้วที่ไม่ใช่คนมีเท่าไรครับ”
“มีไม่มากนัก หลักๆ ก็มีจิ๊มุ่ย จิ๊เม้าว์ ที่เหลือเป็นพวกฝึกหัดที่รอการพัฒนา...” ติ๊เบี่ยบอก
“พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนบ้าง” เชนถามต่อ
“เดี๋ยวไปเห็นแล้วก็จะรู้เอง ถ้าบอกหมดตอนนี้มันจะไม่สนุก”
ติ๊เบี่ยตอบพลางมองปากของผู้พูดพร้อมกับเอียงหูฟังถ้อยคำและเสียงที่เปล่งออกมาของแต่ละคนเพื่อจดจำไปใช้
“แล้วในจำนวนประชากรแปดสิบคนที่ว่า มีญิผ่ารวมอยู่ด้วยหรือเปล่าคะ” ฤดีถาม
ติ๊เบี่ยพยักหน้าตอบรับและอธิบายเพิ่ม
“ผู้อาวุโสของหมู่บ้านข้ามีหลายคน ต่างอยู่ร่วมกันมาเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วน ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญมีเจ็ดคน ข้าจะบรรยายไปโดยไม่เรียง
“คนแรกคือ เจิ่วมะ ผู้เป็นหัวหน้าประกอบพิธีกรรมทั่วไป ตอนนี้เขาไม่ค่อยว่างเพราะต้องออกไปทำพิธีเรียกขวัญตามบ้านให้แก่ผู้คนที่ยังไม่หายตกใจกับเสียงระเบิดกัมปนาทของลูกไฟที่มาตกในหุบเขาหลังหมู่บ้านเมื่อเดือนที่แล้ว
“ผู้อาวุโสสำคัญคนที่สอง คือ บะจี-นายช่างใหญ่ที่ตอนนี้ทำงานหนักเหงื่อไหลไคลย้อยทุกวัน เขาต้องตีมีดทำครัววันละสามสิบเล่ม ไม่รวมจอมเสียมที่ผู้คนตื่นมาเจอว่ามันบิดเบี้ยวทุกเช้า เอ่อ เกวียนเหล็กของท่านทั้งสองก็ต้องระวังไว้หากเข้าเขตหมู่บ้านไปแล้ว ถ้าท่านนอนหลับไปยามค่ำและตื่นมาพบว่ามันบิดเบี้ยว ท่านก็ต้องไปหา บะจี ให้เขามาช่วยซ่อมให้ แต่เกวียนคันใหญ่ขนาดนี้ข้าสงสัยว่าเขาคงซ่อมไม่ไหว
“ผู้อาวุโสสำคัญคนที่สามคือ พิมะ ซึ่งเป็นผู้ร่ายคำสวดในงานศพ แต่พวกเราไม่เคยมีใครตาย เขาก็เลยว่างงาน เขามักออกเดินทางไกลเพื่อช่วยสวดศพให้คนที่ตายอย่างกะทันหันในหมู่บ้านอื่น เขารู้ด้วยตัวเขาเองว่าหมู่บ้านไหนมีใครตาย แล้วเขาก็เอาข้าใส่ย่ามเป็นเพื่อนเดินเท้าไปยังหมู่บ้านนั้น ๆ พิมะ ผู้นี้ชุบเลี้ยงข้ามาตั้งแต่ข้ายังตัวเล็กๆ เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วพ่อแม่ข้าถูกนายพรานดักจับเอาไปขาย ข้านอนหิวโหยอ้าปากพะงาบเจียนตายอยู่ในรังอย่างโดดเดี่ยว เขาเดินทางผ่านมาเห็นและเมตตาแบ่งข้าวปุกให้ข้ากินจนมีแรงขึ้น พอเขาออกเดินทาง ข้าก็ร้องไห้วิ่งตามไปกอดแข้งกอดขาเขา ในที่สุดเขาก็อุ้มข้าใส่ย่ามไว้และเลี้ยงดูข้า เขาไปสวดในงานศพที่ไหนข้าก็ไปกับเขาด้วย เมื่อฟังหลายครั้งเข้า ข้าท่องจำบทสวดได้ทุกคำ จากนั้นร่างของข้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนตามที่ข้านึกคิด ข้าว่าจะเล่าเรื่องนี้ทีหลัง แต่ก็เผลอเล่ามาตอนนี้
“ผู้อาวุโสคนที่สี่และห้าคือ บูแซะ และ หน่าเหงอะ เป็นผู้ดูแลความสงบ คอยไกล่เกลี่ยเรื่องราวต่างๆ บังคับใช้กฎระเบียบตามที่ตกลงกันไว้ ที่หมู่บ้านข้าพวกเขาไม่ค่อยมีงานทำเพราะพวกเราไม่เคยทะเลาะกันและปฏิบัติตามประเพณีอันดีงามสม่ำเสมอ เขาทั้งสองจึงไปปลูกถั่วปลูกงา คอยรักษาความสงบให้ฝูงนกกระจอกในไร่ คอยตัดสินความยามที่นกสองฝูงจิกตีกัน” ติ๊เบี่ยหัวเราะคิกๆ แล้วเขาก็พูดต่อ
“ผู้อาวุโสคนที่หกและเจ็ดเป็น คะมา ทั้งสองคน ตำแหน่งนี้เป็นเหมือนผู้ช่วยทั่วไป ทำหน้าที่สนับสนุนงานทุกอย่างของหมู่บ้านเพื่อให้ทุกสิ่งลุล่วงไปด้วยดี ตอนนี้พวกเขาอาสาเป็นลูกมือตีมีดของ บะจี จนชำนิชำนาญในการสูบลมและหลอมเหล็ก
“ผู้อาวุโสคนที่แปด คือคนที่ท่านถามหา นางคือ ญิผ่า ผู้ทรงความรู้ด้านสมุนไพรและเวทมนตร์ นางชุบชีวิต...” เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ติ๊เบี่ยก็ชะงัก เพราะพระอาทิตย์เริ่มลอยดวงขึ้นสูง
“เอาละพวกท่าน ข้าชักจะพูดมากเกินไปแล้ว ออกเดินทางกันเสียทีดีกว่านะ เพราะเราต้องไปถึงน้ำตกก่อนพระอาทิตย์ตรงหัว ไม่เช่นนั้นพวกท่านต้องลำบากปีนป่ายตะกายโขดหินผากว่าจะไปถึงหมู่บ้าน ถ้าอยากถามอะไรข้าก็ลิสต์คำถามไว้ โอเค้”
ติ๊เบี่ยพูดคำหลังด้วยสำเนียงของอินญาแล้วดีดตัวแผล็วลุกขึ้นยืน ย่ามใบใหญ่ไกวแกว่งซึ่งเขาก็ขยับให้กระชับแนบบ่าไว้
ชดเห็นดีด้วย เขายันร่างท้วมใหญ่ลุกจากพื้นหิน เชนส่งมือให้และช่วยดึงเขาขึ้นมายืน จากนั้นเชน อินญา และฤดีต่างช่วยกันเก็บของเข้าหลังรถอย่างว่องไว ทั้งถุงนอน กระเป๋าเสื้อผ้า กล่องอาหารสดที่ยังอยู่ในสภาพดีเนื่องจากอากาศเย็นจัดบนยอดดอย ยังมีเสบียงสำหรับตอนบ่าย สุจาดูแลกำกับไม่ให้มีเศษขยะเหลืออยู่แถวนั้นแม้แต่ชิ้นเดียว ชดและอะผ่าอุ่นเครื่องรถและตรวจดูความเรียบร้อยของพาหนะอีกครั้ง ตัวถังรถทั้งสองคันมีรอยถลอกโดยรอบจากการบุกป่าฝ่าดงเมื่อเย็นวาน รถของโนอาห์ที่ชดขับมามีรอยบุบเป็นแห่งๆ แต่รถฮัมเมร่าที่หุ้มเหล็กกล้ายังอยู่ในสภาพปกติ
“คุณลุงชดขับนำ แล้วผมจะขับตาม” อะผ่าบอก
“ตกลง” ชดตอบ
จากนั้นอะผ่า เชน และอินญาก็ขึ้นรถคันสีขาวที่ตอนนี้กลายเป็นสีขุ่น
“ผู้เฒ่ามานั่งรถคันนี้ค่ะ” สุจาดึงแขนติ๊เบี่ยไปที่เบาะหลัง
“ให้เขามานั่งข้างหน้าเถอะนะ” ชดบอก “เขาจะได้ชี้ทางให้ผม”
“อ้อ จริงค่ะ หนูลืมไป”
สุจาพูดแล้วจูงติ๊เบี่ยไปที่ประตูหน้าและช่วยดันร่างเขาขึ้นไปนั่งข้างชด เจ้าพังพอนแปลงร่างทำท่าสนใจกับหน้าจอต่างๆที่กะพริบพราว เขาก้มหน้าไซ้ไปตามปุ่มปมและใช้จมูกดมตรงโน้นตรงนี้
“ไปทางไหน” ชดถามเป็นภาษาอังกฤษ
“กลับทางเก่า” ติ๊เบี่ยเงยหน้าขึ้นมาแล้วชี้นิ้วไปยังผืนป่าที่แหวกเป็นทางอันเป็นผลงานการบุกตลุยมาของรถทั้งสองคันเมื่อคืนนี้
ชดหันรถขับไปตามหนทางเดิมได้ระยะหนึ่ง ติ๊เบี่ยก็บอกให้เขามุดเข้าป่าด้านขวาตามทิศที่พระอาทิตย์ฉายแสง แต่เข็มทิศในรถของชดกลับชี้ไปอีกทาง
“เห็นไหมคุณฤดี นี่คือเหตุผลที่เราหลงป่าเมื่อขับตามเข็มทิศที่ชี้บอกมาค่ำวานนี้ ถ้าอย่างนั้นหนทางที่จะกลับไปยังถนนสู่ดอยผาชันมันต้องไปด้านซ้าย” ชดชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขากลับบ้าน เราก็ขับรถตามดวงตะวันตอนบ่าย เราจะถึงถนนที่เรามาแน่นอนกว่าใช้เข็มทิศที่อาจถูกสนามแม่เหล็กจากที่ไหนสักแห่งทำให้เปลี่ยนองศา” ฤดีบอก
“ตอนนี้เราอยู่บนเทือกเขาผาแดงนะคะ ” สุจาย้ำ
“นั่นสิ หมู่บ้านผาแดงน่าจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้” ชดชำเลืองมองติ๊เบี่ยที่นั่งนิ่งตั้งใจฟังพวกเขาสามคนคุยกันด้วยภาษาไทย
“ไม่ไกลหรอก” ติ๊เบี่ยตอบด้วยภาษาไทยเสียงสูงต่ำตามที่ได้ยิน
ทั้งสามคนเริ่มเข้าใจความสามารถพิเศษของมนุษย์จำแลงผู้นี้ในการจดจำภาษาพูดที่ผ่านหูและนำมาเรียบเรียงเป็นถ้อยคำเพื่อสื่อสาร
“แต่พวกท่านอ้อมผ่านมาแล้ว” ติ๊เบี่ยบอก
“เป็นเพราะอานุภาพของลูกไฟใหญ่ที่ตกจากฟ้า” ชดดักคอเจ้าพังพอน เมื่อได้ฟังติ๊เบี่ยก็ลอยหน้าลอยตาพูดจ๋อยๆว่า
“คงเป็นเช่นนั้นตามที่ท่านกล่าว ตั้งแต่ลูกไฟดวงนั้นตกจากฟ้าส่องแสงวาบเป็นทางเหมือนดาวหางลงมาระเบิดในหุบเขา ไม่ว่าอะไรก็ดูผิดทิศผิดทางไป แม้แต่ถนนเข้าหมู่บ้านข้าเมื่อก่อนอยู่ทางซ้าย แต่บัดนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ขวา ซุ้มประตูเคยอยู่ด้านหน้าก็เปลี่ยนไปอยู่ด้านหลัง คนที่เคยเข้าป่าหาผลไม้ก็หลงทิศหาทางออกไม่ได้หลายวัน เพราะป่ามันเกิดสลับข้าง ป่าไผ่เคยอยู่ทิศเหนือก็ดันย้ายไปอยู่ทิศใต้ ป่ากล้วยเคยอยู่ท้ายหมู่บ้านมันเกิดย้ายไปอยู่ทางเข้า พืชผักสวนครัวปลูกไว้ในสวนตอนนี้พากันชูคอสลอนอยู่ริมระเบียงบ้าน ดีเหมือนกันไม่ต้องเดินไปไกล อยากกินผักอะไรมันก็อยู่ใกล้มือ”
พอพูดถึงคำว่ากิน ติ๊เบี่ยก้มลงควักขนมปังออกมาจากย่ามและเอาใส่ปากเคี้ยวจนแก้มโป่ง ชดชำเลืองมองแต่ไม่พูดอะไร เพราะในใจเขาคิดถึงเรื่องที่อะผ่าพาพวกเขาหลงตั้งแต่เข้าทางแยกออกจากดอยผาชันเมื่อเย็นวาน และจากนั้นเมื่อเขาถอยรถกลับทางเก่า เข็มทิศก็พาเขาผิดทิศผิดทางมาเรื่อยจนเลยหมู่บ้านผาแดงไปไกลและต้องนอนค้างบนลานหินกันเมื่อคืนนี้ หรือต้นเหตุจะเป็นเพราะสิ่งที่ติ๊เบี่ยเล่ามาจริงๆ ชดคลางแคลงใจ แต่ก็เป็นไปได้ตามที่ฤดีบอกว่าอาจมีสนามแม่เหล็กตรงไหนสักแห่งที่แผลงฤทธิ์ทำให้เข็มทิศรวน
“แล้วที่ผู้เฒ่าให้เรารีบเดินทางไปที่น้ำตกก่อนเที่ยงนี่เป็นเพราะอะไรจ๊ะ” ฤดีถาม
ติ๊เบี่ยเคี้ยวขนมปังจนหมดแล้วกลืนเอื๊อกลงไป เขาไอสองสามครั้งก่อนยื่นมือไปรับแก้วน้ำที่สุจารีบส่งให้ เขาแหงนหน้าเทน้ำลงลำคอจนหมด เมื่อเก็บแก้วพลาสติกสีสวยลงย่ามแล้วเขาก็ตอบคำถามฤดี
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้คุณผู้หญิง ทุกเที่ยงวันน้ำตกแห่งภูผาดำจะหยุดไหลชั่วขณะเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นตรงหัว ในเวลานั้นเราสามารถมองเห็นปากถ้ำใหญ่อ้ารออยู่ เกวียนเหล็กสองเล่มนี้ต้องรีบขับผ่านเข้าไปอย่างเร็วก่อนน้ำตกจะไหลซู่ลงมาปิดปากทางอีกครั้ง”
ติ๊เบี่ยทำปากมุบๆมิบๆ เหมือนรอคำถามต่อไป ดูท่าเขาพอใจที่ได้ฟังและพูดภาษาใหม่ๆ ที่เขาเพิ่งเคยได้ยิน ทั้งชด ฤดี และสุจาเริ่มคุ้นกับเสียงเล็กแหลมของมนุษย์จำแลงที่พยายามเลียนสำเนียงของพวกตน
“มันก็แปลกดีนะที่น้ำตกหยุดไหลชั่วขณะทุกเที่ยงวัน ทำไมจึงเป็นแบบนี้คะ” ฤดีถามด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องนี้อันที่จริงเป็นความลับของหมู่บ้านเราตั้งแต่อพยพมาตั้งหลักปักฐานหลังภูผาดำก็สักร้อยปีแล้วมั้ง แต่พวกท่านเป็นแขกผู้มีเกียรติ ดังนั้นข้าจะบอกให้ว่าลำธารของหมู่บ้านอันเป็นต้นเค้าของน้ำตกนี้มีสะดือใหญ่ มันหายใจวันละครั้งยามพระอาทิตย์ตั้งฉากเหนือหัว ขณะที่สะดือลำธารหายใจเข้า มันจะดูดน้ำให้ไหลวนลงไปในโพรงใหญ่ลึกสุดหยั่ง น้ำในลำธารแห้งเหือดชั่วขณะ เมื่อมันหายใจออก น้ำก็จะทะลักพลุ่งขึ้นสูงราวน้ำพุและไหลลงหน้าผาส่งเสียงซ่านซ่าอย่างเดิม” ติเบี่ยเริ่มพูดภาษาไทยได้คล่องปากขึ้นหลังจากได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆออกมา
“หมู่บ้านของท่านช่างมีแต่เรื่องมหัศจรรย์” ฤดีพูด
“ขอถามอีกนิดนะผู้เฒ่า” ชดหันมาทางติ๊เบี่ย “ที่ท่านเดินทางออกจากหมู่บ้านเมื่อคืนนี้ ท่านลอดน้ำตกออกมาได้อย่างไร”
ชดพยายามทำใจเป็นมิตรกับมนุษย์จำแลง เขาทำเป็นมองไม่เห็นเศษขนมปังที่หล่นกระจายไปทั่วเบาะรถ รวมทั้งบนเสื้อผ้าและบนใบหน้าแหลมๆ ที่ผ้าโพกหัวเหมือนจะเอียงหล่นทุกขณะที่รถสะเทือน
“อ๋อ ข้าไต่ปีนอ้อมไปตามโขดหินอันเป็นวิธีถนัดของข้า ส่วนผู้คนจากหมู่บ้านริมธารส่วนใหญ่ไม่เคยออกไปไหน จะมีก็แต่ พิมะ ที่เดินทางไปค้างคืนที่อื่น บ่อยครั้งที่เขาใช้เส้นทางเข้าถ้ำด้านริมธารทะลุไปยังน้ำตก โดยเขาไปรอที่ปากถ้ำก่อนเที่ยงวัน เมื่อน้ำตกหยุดไหล เขาก็รีบเร่งออกไป เมื่อเสร็จธุระวันรุ่งขึ้นเขาจะเดินทางกลับมารอจนพระอาทิตย์ตั้งฉากเหนือหัว พอถึงเวลาที่สะดือลำธารสูบน้ำลงไปในโพรง เขาก็จ้ำฝีเท้าเข้าถ้ำอย่างทันท่วงทีก่อนน้ำตกหยุดไหล”
“แล้วหากเราไปไม่ทันพระอาทิตย์ตรงหัวล่ะคะ”
สุจาชะโงกหน้าไปถามพลางควักผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดเศษขนมปังออกจากเสื้อและผ้าโพกหัวของติ๊เบี่ย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยื่นหน้ามาให้สุจาปัดอย่างเต็มใจ
“เรื่องนั้นแหละจะเป็นปัญหาของพวกท่านสามคน เพราะหากไปไม่ทัน เราต้องปีนป่ายแบบเดียวกับข้า ซึ่งมนุษย์ธรรมดาที่สูงวัยจะลำบาก เนื่องจากทางขึ้นสู่ลำธารเหนือน้ำตกนั้นสูงชันมาก แต่คนหนุ่มสาวที่อยู่ในเกวียนเหล็กอีกคันน่าจะปีนได้ เพราะพวกเขายังแข็งแรงมีพละกำลัง” ติเบี่ยตอบ
“แสดงว่าทางเข้าหมู่บ้านมีสองทาง คือ เข้าไปในถ้ำที่อยู่เบื้องหลังน้ำตก และอีกทางคือปีนเขาขึ้นไป” ฤดีพูด
“ใช่แล้ว ที่ข้าบอกให้พวกเท่านเข้าทางปากถ้ำก็เพื่อจะได้นำพาหนะเข้าไปเป็นเครื่องทุ่นแรง แต่หากอยากสนุกก็จอดรถทิ้งไว้ แล้วปีนไต่ชะง่อนหินขึ้นไปสักร้อยงู” ติเบี่ยตอบ
“แปลว่าน้ำตกสูงเกือบสองร้อยเมตรเลย” ฤดีคำนวณจากความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตรของอินญา
“แล้วถ้าเราเข้าไปในถ้ำ มันจะนำเราไปออกที่ไหน” ชดถาม
“มันเป็นถ้ำที่กว้างใหญ่มีหลายทางแยก แต่ละแยกยาวติดต่อกันไปหลายพันงู บางแยกไปโผล่ใต้เทือกเขาผาชัน บางแยกไปโผล่ที่ดอยนางแก้ว บางแยกไปสุดที่เมืองเก่าสมัยโบราณ เส้นทางที่จะไปถึงริมธารเหนือน้ำตกนั้นท่านก็เพียงขับตรงไป”
ชดมองกระจกหลังเห็นรถอะผ่าตามมาติดๆ เขาพยายามจดจำสิ่งที่ติ๊เบี่ยบอกไว้ เมื่อนิ่งไปครู่หนึ่งเขาก็ถามต่อ
“นี่ ผู้เฒ่า เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้วเราตรงไปอย่างเดียวเลยหรือ ระยะทางมันสักเท่าไรก่อนจะถึงริมธ...”
ก่อนจะถามหมดประโยค ชดสะบัดพวงมาลัยเบี่ยงรถหลีกงูตัวใหญ่ที่ห้อยหัวลงมาจากกิ่งไม้ เมื่อติ๊เบี่ยมองเห็นงูตัวนั้น เขากระโดดขึ้นเบาะรถทำท่าเตรียมกระโจน
“เปิดรถให้ข้าลงไปสู้กับมันหน่อยได้ไหม ข้าจะแสดงให้ดูอีกที ใช้เวลาแค่สามลมหายใจเท่านั้น” เขาย่อเข่าและหันไปดูชด หูกลมๆของเขาเขาโผล่ขึ้นมาจากผ้าโพกผมเหมือนเตรียมแปลงร่าง
“ไม่ต้องเลยค่ะ ผู้เฒ่า เมื่อเช้ามืดที่ช่วยชีวิตหนูไว้ หนูขอบคุณมากและจะไม่ลืมพระคุณตลอดชีวิต แต่ไอ้งูตัวนี้มันไม่ได้ทำอะไรเรา ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ”
สุจาพูดจาเสียงหวานกับพังพอนในร่างมนุษย์และส่งผลส้มให้เขาสองลูก ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับและหันมายิ้มอวดฟันแหลมคมแหลมกับสุจา เมื่อนั่งลงดีแล้วเขาก็ตอบคำถามของชดที่ทุกคนเงี่ยหูตั้งใจฟัง
“เมื่อน้ำตกหยุดไหลและเราเข้าไปในถ้ำทันเวลาแล้ว ท่านต้องขับรถตรงไปเรื่อยๆ ในถ้ำนั้นท่านจะเห็นทางแยกเป็นระยะที่ทำให้ไขว้เขว นอกจากนั้นยังมีภาพลวงตาที่อาจทำให้เข้าใจผิด ท่านต้องทำจิตใจให้มั่นคง เมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีทางโค้งทั้งซ้ายและขวา ท่านต้องขับเกวียนเหล็กไปทางซ้า...เอ่อ...ข้าคิดว่าน่าจะเป็นทางขวานะ...สักราวห้าสิบลมหายใจเข้าออก แล้วมันจะไปโผล่ที่ปากถ้ำตีนภูผาดำ ลำธารจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เราควรพักผ่อนกินอาหารที่ริมน้ำก่อนเดินทางต่อไปยังซุ้มประตูหน้าหมู่บ้าน ที่กลายเป็นประตูหลังตั้งแต่ลูกไฟมันตกลงมา แต่เอาเถอะ ประตูหน้าหรือประตูหลังมันก็เป็นทางเข้าหมู่บ้านได้ทั้งสอง ท่านไม่ต้องกังวล เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกท่าน เรียนไปรู้ไปเดี๋ยวก็จำได้” ติ๊เบี่ยยืดตัวอธิบายอย่างละเอียด
“หากวันหน้าพวกเราจะเข้ามาที่หมู่บ้านนี้อีกครั้ง เราก็ไปตามเส้นทางที่ท่านบอกใช่ไหม” ชดถามเผื่อไว้
“เส้นทางที่ข้าบอกมันไม่เคลื่อนย้ายไปไหนหรอกนะ แต่วันหน้าข้าไม่รู้ว่าเราจะยังอยู่หมู่บ้านเดิมหรือเปล่า ฟังจากบรรดาผู้อาวุโสที่ร่วมประชุมกันเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาบอกว่าใกล้จะได้เวลาอพยพกันอีกครั้งแล้ว ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
ติ๊เบี่ยพูดพลางทำท่าจ้องดูต้นไม้ใบใหญ่ที่ยืนเด่นสองข้างทางแล้วก็พยักหน้าหงึกๆกับตนเอง
“ไอ้ต้นไม้พวกนี้เมื่อก่อนพวกมันอยู่ฟากขะโน้น ข้าจำได้เพราะมันออกผลหวานหอม ข้าทำเครื่องหมายไว้ทุกต้นแล้วก็หาไม่เจอ ที่แท้พวกมันย้ายมาอยู่ตรงนี้” ติ๊เบี่ยพูดจ้อไม่หยุดเมื่อมีคนฟังที่เขาพูด
“ผู้เฒ่าครับ ผมเลิกแปลกใจในทุกสิ่งที่ท่านเล่ามาตั้งแต่เช้าและจะไม่ถามอะไรเกี่ยวกับผลของลูกไฟที่มาตกในหุบเขา แต่ผมอยากรู้อีกนิดว่าจากนี้พวกท่านจะอพยพไปที่ไหน และเหตุใดจึงเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อชดจบคำถามแล้วเขาก็มองตามสายตาติ๊เบี่ย เจ้าพังพอนกำลังจ้องพวงผลไม้ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้สูง
“ขอข้าขึ้นไปเอาผลไม้นั้นลงมาสักหน่อยจะได้ไหม ใช้เวลาไม่ถึงห้าลมหายใจ” ติ๊เบี่ยทำตาละห้อย
ชดพยักหน้า เขาเหยียบเบรกและทำไฟกะพริบให้อะผ่าที่กำลังตามมารู้ว่าเขาจะหยุดรถ ชดกดปุ่มเปิดหน้าต่างรถด้านซ้าย ติ๊เบี่ยลอดตัวออกไปในพริบตาแล้วกระโดดเกาะลำต้นไม้ไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วไปถึงผลไม้พวงใหญ่นั้นและดึงกระชากใส่ย่ามทั้งพวง จากนั้นเผ่นแผล็วกลับลงมาขึ้นรถโดยที่ชดมองแทบไม่ทัน
“ไปกันได้แล้ว”
ติ๊เบี่ยบอกพร้อมกับหยิบผลไม้ออกมาให้สุจาหลายผลเพื่อตอบแทนน้ำใจที่เอื้อเฟื้อเขามาโดยตลอดตั้งแต่พบกัน ส่วนชดนั้นถึงกับอึ้งไป เขาสั่นศีรษะด้วยความทึ่งและมองกระจกข้างไปยังรถคันหลัง เขาเห็นอะผ่า อินญา และเชนทำสีหน้าประหลาดใจในความว่องไวของติ๊เบี่ย จากนั้นชดก็ออกรถไปตามทางที่มัคคุเทศก์ร่างเล็กชี้บอก
“พี่ฤดี คุณชดลองชิมค่ะ” สุจาเอาผลไม้แจกให้ทุกคนชิม
“อร่อยมากจริงๆ ติ๊เบี่ย” ฤดีบอกอย่างชอบใจ
“ยอดเยี่ยม” ชดบอก “แต่อย่าลืมตอบคำถามผมนะ”
“อ้อ เรื่องที่ว่าหลังจากนี้พวกเราจะย้ายไปไหนกันน่ะหรือ คือพวกท่านต้องถามเหล่าผู้อาวุโสซึ่งกำลังรอพวกท่านอยู่” ติ๊เบี่ยบอกพลางกัดกินผลไม้จนน้ำไหลย้อยลงสองข้างแก้ม
“ขอถามอีกนิดนะคะผู้เฒ่า พวกเขาอยากพบพวกเราเรื่องอะไรกัน” ฤดีถาม
“ใจเย็นไว้ก่อนคุณผู้หญิง อีกไม่นานพวกท่านก็จะรู้ หน้าที่ของข้าคือการนำทางท่านไปที่หมู่บ้าน แต่ข้าทำเกินหน้าที่มาหลายอย่างแล้ว คงต้องเซฟตัวเองหน่อย” ติ๊เบี่ยว่าพลางกัดกินผลไม้ต่อแล้วสะกิดชด “เมื่อโผล่จากตรงนี้ไป หากไม่เจอริมผา แปลว่าเรามาถูกทางแล้ว”
“อ้าว เอ๊ะ! แล้วหากเจอริมผาล่ะ จะให้ผมทำอย่างไร” ชดขมวดคิ้ว
“ก็กลับรถแล้วถอยตรงไป” เสียงแหลมเล็กบอก พลางงึมงัมบ่นเมื่อมองเห็นสองข้างที่ไม่คุ้นตา
“แปลว่าอะไรครับ ผู้เฒ่า คำว่ากลับรถแล้วถอยตรงไปน่ะ” ชดซัก เสียงของเขาเริ่มเครียด
“คือว่าหากเราทะลุชายป่าข้างหน้าไปแล้วถึงริมผาโดยบังเอิญ ก็ขอให้ท่านจอดรถอยู่กับที่เดี๋ยวหนึ่ง แล้วกลับรถ จากนั้นก็ถอยตรงไป” ติ๊เบี่ยเว้นระยะเพื่อหายใจแล้วพูดต่อ “คือหมายความว่าเอาท้ายรถพุ่งไปข้างหน้าน่ะ”
“อ้าว แล้วไม่ตกเหวหรือนั่น” ชดแทบจะหยุดรถเมื่อได้รับคำตอบ
“น่าจะไม่ตกหรอกท่าน เพราะเหวที่ท่านเห็น จริงๆ แล้วมันคือทุ่งหญ้า มันเปลี่ยนร่างเป็นเหวตอนที่ไม่มีใครเห็น แต่ในเมื่อเรารู้ทันว่ามันคืออะไร มันก็หลอกเราไม่ได้ ทีนี้เราก็หลอกมันบ้างโดยกลับรถและทำท่าว่าจะไปอีกทาง แต่อันที่จริงเราจะถอยตรงไปอย่างเร็ว แล้วทุ่งหญ้าก็จะปรากฏตัวขึ้น จากนั้นเราหันหัวรถขับตรงไป แค่สิบแปดลมหายใจก็จะถึงน้ำตก”
ชดสะบัดศีรษะอย่างไม่เข้าใจ เขานึกภาพไม่ออก แต่ก็ไม่ซักถามอะไรเพิ่ม เพราะคำอธิบายอันคลุมเครือของติ๊เบี่ยอาจยิ่งทำให้ชีวิตเขาสับสนมากขึ้น เขามองตรงไปข้างหน้าและเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนไปอย่างระมัดระวังโดยมีรถของอะผ่าขับตามมาไม่ห่าง