เวลาล่วงผ่านไป ดวงอาทิตย์ขึ้นเฉียงด้านหน้า ชดและอะผ่ายังขับรถไปตามเส้นทางในป่าทึบ อากาศเบื้องนอกรถเย็นสบายจากพายุที่กระหน่ำอย่างหนักเมื่อวานหลังแห้งแล้งมาหลายเดือน
ในรถที่อะผ่าขับมา อินญานั่งมองต้นไม้เขียวขจีอย่างมีความสุข ส่วนหนุ่มเชนนั่งกอดอกหลับตาอยู่ในความนึกคิดของตน ในจิตใจเขาเกิดความรู้สึกประหลาดลึกล้ำ ราวกับเขาดุ่มเดินทางมาด้วยจุดประสงค์ส่วนตนทั้งที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า เขาตามอินญามาด้วยการตัดสินใจเพียงไม่กี่นาทีหลังจากรู้ว่าเธอจะมาเมืองไทย อินญาและเขาจับเที่ยวบินสุดท้ายจากสหรัฐฯ มาถึงประเทศไทยได้อย่างถูกจังหวะก่อนสายการบินระหว่างประเทศจะถูกสั่งห้ามจอดที่สุวรรณภูมิ อันเป็นมาตรการป้องกันโรคระบาด เฮมาลอยด์ ที่คร่าชีวิตคนจำนวนมากทั่วโลก รัฐบาลประเทศต่างๆ ประกาศปิดชายแดน ห้ามเดินทางเข้าออก
เมื่อถึงบ้านโนอาห์ สุจาเดินออกมาต้อนรับและหยอกล้อเขา หลังจากนั้นหมี่ยะ ชด และฤดีก็ออกมาทักทายพูดคุยอย่างกันเอง หมี่ยะพาอินญาเข้าไปพักยังเรือนพักหลังใหญ่ซึ่งกำลังจัดพิธีสวดศพคืนสุดท้าย ส่วนตัวเขานั้น อาตุ-หลานชายหมี่ยะพาไปหอพักนักเรียนทุน ซึ่งเขาได้พบกับหนุ่มสาวชาวอาข่ามากหน้าหลายตาและจดจำชื่อใครไม่ได้จนถึงบัดนี้ แต่เขารู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่กับพี่น้องและญาติสนิท ภาษาที่พวกนักเรียนพูดคุยกันนั้นช่างฟังคล้ายสำเนียงชาวนกฟ้าอันเป็นชนเผ่าของเขา ทั้งเสียงสั้น เสียงยาว เสียงจากลำคอ เสียงหนัก-เบาที่แสดงความรู้สึก แม้จะฟังไม่รู้ความหมายแต่เขามีความรู้สึกลึกๆว่าเข้าใจ
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็ไปพบอินญาและหมี่ยะที่ห้องครัว สุจายืนอยู่หน้าเตากำลังอุ่นอาหารและตักให้เขากินจนอิ่มแปล้ เป็นมื้ออาหารที่เอร็ดอร่อยอย่างยิ่งหลังจากกินอาหารกล่องที่เสิร์ฟบนเครื่องบินมาแล้วสองวัน สุจาชวนเขาคุยไม่หยุดปาก ส่วนอินญาเล่าให้หมี่ยะฟังถึงพ่อและแม่ของเธอที่ฝากความระลึกถึงมาให้ เมื่อกินอาหารอิ่มหนำสำราญแล้วหมี่ยะก็พาอินญาและเขาไปเคารพศพโนอาห์ ในห้องโถงบนชั้นสองของเรือนใหญ่เขาเห็นโลงไม้รูปจันทร์เสี้ยวตั้งเด่น เขานึกถึงเผ่านกฟ้าของตน ในอดีตผู้วายชนม์ของพวกเขาก็นอนหลับชั่วนิรันดร์ในโลงที่ขุดจากไม้ทั้งต้นเช่นนี้ รวมทั้งพิธีสวดปากเปล่าจากพิมะก็แทบไม่ต่างจากพิธีสวดส่งวิญญาณที่โวไวดาแห่งชาวนกฟ้าเป็นผู้นำสวด
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไป พวกผู้คนที่นั่งอยู่ในห้องโถงต่างหันมามองหนุ่มสาวผู้มาใหม่ หมี่ยะกระซิบบอกญาติพี่น้องว่าหลานสาวคุณโนอาห์มากับเพื่อนชาย อินญาเดินเข้าไปที่โลงศพและคุกเข่าคารวะพร้อมกับบอกโนอาห์ว่าเธอมาแล้วและตั้งใจมาช่วยหมี่ยะทำงาน เสียงสวดของพิมะดังอยู่ไม่ขาดสาย เขานิ่งฟังอย่างตั้งใจ ถ้อยคำภาษาโบราณรินไหลออกจากลำคอที่ร่ายออกมาเหมือนน้ำจากลำรางกระบอกไม้ไผ่กระทบโขดหินกระเซ็นซ่านซ่าอยู่ชั่วนิรันดร์
อะผ่าผู้นั่งอยู่หลังห้องโถงส่งยิ้มให้เขาและอินญา จากนั้นก็ลุกขึ้นมาทักทาย อะผ่าพูดภาษาอังกฤษได้ดีขณะที่เขาและอินญาพูดภาษาไทยหรือภาษาอาข่าไม่ได้แม้แต่คำเดียว อะผ่าซักถามเขาว่ามาจากไหน เขาตอบอะผ่าว่าเขาเป็นเพื่อนอินญา เรียนหนังสือมาด้วยกันนับสิบปี อะผ่าดูเหมือนมีสีหน้าดีใจที่เขาไม่ใช่คู่รักของอินญา... ... ...
เมื่อเชนนึกมาถึงตอนนี้ อะผ่าก็เบรกรถกะทันหัน เขาลืมตาขึ้นทันเห็นติ๊เบี่ยที่กระโจนออกจากหน้าต่างรถคันหน้าอีกครั้งแล้วโผนขึ้นต้นไม้ข้างทาง เข้าเด็ดดึงผลไม้ป่าพวงใหญ่กอดแนบอกไว้ จากนั้นโดดลงบนหลังคารถฮัมเมร่าและเผ่นแผล็วลงมาที่หน้ารถอะผ่าก่อนจะแบ่งผลไม้สีเหลืองสดให้อินญาที่เปิดกระจกหน้าต่างและชะโงกตัวออกไปรับอย่างดีใจ
“แต๊งกิ้วค่ะ” อินญาพูด
ติเบี่ยยิ้มรับแล้วกระโจนกลับขึ้นหลังคารถคันหน้าและมุดตัวเข้าไปทางหน้าต่างรถด้านซ้าย จากนั้นชดก็ขับรถต่อไป เขาเริ่มทำใจได้กับพฤติกรรมของผู้นำทาง
“ผู้เฒ่าใจดีจัง” อินญาถือพวงลูกไม้ผิวขรุขระไว้และแกะชิมหนึ่งลูก มันหวานหอมชื่นใจ เธอส่งให้อะผ่าและเชนได้ชิมด้วย
“เขาเป็นพังพอนหรือเป็นลิงนี่” อะผ่าแกล้งถามหน้าทะเล้น
“ดูท่าจะเป็นครึ่งลิงครึ่งพังพอน” เชนตอบ แล้วทุกคนก็หัวเราะกัน
“เขาบอกว่าที่หมู่บ้านเขามีสัตว์ที่พูดได้อีกสองสามชนิด ชื่ออะไรนะ อินญาจำไม่ได้” อินญาทำท่านึก
“ชื่อจิ๊มุ่ย จิ๊เม้าว์ เป็นชื่อผู้หญิง คงเป็นสัตว์น่ารักตัวเล็กแบบกระรอกกระแตอะไรแบบนั้น” อะผ่าเดา
“หรือจะเป็นพังพอนแบบเขา” เชนทำหน้าสงสัย
“นั่นสิ ถ้าเป็นอย่างเขาก็คงสนุกดี น่าจะวุ่นวายพิลึก เอ่อ แต่ถ้าเป็นสัตว์ชนิดอื่นที่เรานึกไม่ถึงล่ะ” อะผ่าพูดกลั้วหัวเราะ
“ก็คงต้องคอยดูกันต่อไป” เชนว่า
เขามองป่าทึบสองข้างทางที่เห็นแต่ต้นไม้เกี่ยวพันกันราวกับมีหลังคาสีเข้มคลุมอยู่เหนือหัว แดดที่ส่องลอดลงมาทำให้รอบตัวพวกเขาดูเหมือนผืนผ้าใบที่แต่งแต้มด้วยสีสันหลากหลาย ทั้งสีเขียวเข้มและสีดำของเปลือกไม้ตามลำต้น สีน้ำตาลของใบไม้ที่ร่วงหล่นกองทับถม สีเขียวอ่อนของยอดไม้ที่แตกผลิออกมาหลังจากได้รับฝนชุ่มฉ่ำเมื่อวันวาน
เวลาสิบเอ็ดโมงกว่า รถฮัมเมร่าสีเงินที่เต็มไปด้วยเศษกิ่งก้านไม้บนฝากระโปรงยังแล่นต่อไป เสียงเล็กๆของติ๊เบี่ยบอกชดซ้ำด้วยประโยคเดิมว่า
“พอเลยจากข้างหน้าไป ถ้าเจอริมผา...”
“เราต้องกลับรถและถอยตรงไป...” ชดพูดต่อทันทีโดยไม่รอให้ติ๊เบี่ยพูดจบประโยค เขาเม้มริมฝีปากขณะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อหากเขามุดออกจากชายป่าที่รกทึบนี้ไปแล้วเจอริมผา การกลับรถแล้วถอยตรงไปแบบที่ติ๊เบี่ยบอกนั้นค่อนข้างยอกย้อนสำหรับสมองเขา
อะผ่าที่ขับรถตามมาไม่สามารถรู้ได้ว่ารถคันหน้าจะพาไปที่ไหน เขาได้แต่ขับรถตามหลังด้วยความไว้วางใจ
“ใกล้จะถึงแล้ว”
ติ๊เบี่ยแหงนดูต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่รอบด้าน ขณะที่รถฮัมเมร่ายังตลุยเดินหน้าบุกฝ่าเข้าไปในพุ่มไม้หนา หน้าจอหนึ่งของชดบอกว่าพวกเขาอยู่ที่ความสูง 1850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
“ข้าสงสัยว่าป่ามันจะกลับด้านเสียแล้ว” ติ๊เบี่ยทำจมูกยุกยิกไปมาอย่างไม่แน่ใจ
“เมื่อคืนข้าเดินผ่านมาต้นมะมื่นใหญ่มันไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วต้นก่อที่ผลเต็มต้นมันหายไปไหน” เขาทำเสียงบ่นอย่างอ่อนใจ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านโชเฟอร์ ขับตรงไปเรื่อยๆ อย่างที่ข้าบอก ถ้าไม่เจอริมผา แปลว่าเรามาถูกทาง...”
“...แต่ถ้าเจอริมหน้าผา เราก็กลับรถและถอยตรงไปเลย...เฮอะ” ชดท่องอาขยานพร้อมกับทำหน้านิ่ว เขาหันไปหาสุจาและฤดีที่นั่งอยู่ข้างหลัง “จะเอายังไงดี เราควรทำตามที่พ่อคนนี้บอกหรือไม่”
สุจาทำปากยื่นอย่างกังวล เขาตอบเสียงเบาว่า “หนูคิดว่าคงต้องเชื่อผู้เฒ่า เพราะเราไม่ใช่เจ้าถิ่น”
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นค่ะ” ฤดีตอบสั้นๆ
“งั้นขอผมจอดรถคุยกับอะผ่าเดี๋ยว เขาจะได้รู้ว่าเราจะต้องเจออะไร”
ชดบอกแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน เมื่ออะผ่าทำไฟกะพริบตอบและจอดรถแล้วชดก็กวักมือเรียกให้เขาลงมาฟังสิ่งที่เขาจะอธิบาย เมื่อชดลดกระจกลงทุกคนได้ยินเสียงน้ำตกดังซ่านซ่าอยู่ไม่ไกล
“มีอะไรครับ” อะผ่าถามเมื่อเดินมาถึงหน้าต่างของชด
“คือยังนี้” ชดชะโงกตัวออกไปพูด
“ผู้เฒ่าพังพอนบอกว่าจากตรงนี้เราอาจไปโผล่ที่ริมหน้าผา ซึ่งหากเราเจอสถานการณ์นี้ เขาแนะนำให้เรากลับรถ แล้วเราต้องถอยยาวออกจากริมผาตรงไป เขาบอกว่าเหวลึกที่เราจะเห็นอยู่เบื้องหน้าคือภาพลวงตา เมื่อเราถอยตรงไปแล้ว เหวที่เราเห็นจะกลับกลายเป็นทุ่งหญ้า จากนั้นเราก็หันหัวรถขับเดินหน้าต่อไปไม่กี่นาทีก็จะถึงน้ำตกแห่งภูผาดำ”
ชดเหลียวไปมองหน้าติ๊เบี่ยซึ่งนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนหันกลับมาพูดต่อ
“เมื่อถึงน้ำตก ขอให้ทุกคนอย่าลงจากรถ เพราะเราอาจพลาดเวลาสำคัญที่น้ำตกจะหยุดไหลยามเที่ยงวัน ซึ่งมันกินเวลาแค่ครึ่งนาที เมื่อน้ำตกหยุดไหลแล้วเราจะเห็นปากถ้ำใหญ่ เราต้องรีบขับรถเข้าไปก่อนสายน้ำจะตกลงมาปิดปากถ้ำอีกครั้ง มิเช่นนั้นเราต้องรออีกหนึ่งวันจึงจะเอารถเข้าไปได้ ผมจะขับรถนำไป ส่วนคุณก็ขับตามหลังมา เอาละไปได้ เราต้องรีบแล้ว เพราะมันใกล้ที่ยงเต็มที”
“ครับผม” อะผ่ากลั้นหายใจก่อนตอบรับคำและวิ่งกลับไปนั่งประจำที่หลังพวงมาลัยของรถคันหลัง จากนั้นชดก็เหยียบคันเร่งเดินหน้า
“หากไม่เจอริมผา เราจะเจออะไร มันจะเป็นเส้นทางแบบไหน ผู้เฒ่าพังพอน” ชดหันไปถามมัคคุเทศก์เสียงแหลมที่ตอนนี้ทำท่าเอียงหัวดูต้นไม้นอกหน้าต่างรถจนผ้าโพกผมขยับลงมาถึงบ่า หูกลมๆที่มีขนของเขาโผล่ออกมาอย่างชัดเจน
“ถ้าออกจากชายป่าข้างหน้าแล้วไม่เจอริมผาแปลว่าเราเข้าช่องถูกและเราจะไปโผล่ที่น้ำตกภายในเวลาสิบห้าลมหายใจ”
ติ๊เบี่ยตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ ก่อนอธิบายต่อไปด้วยเสียงอึกอัก
“คือ...แต่ว่า...เอ่อ...อ้า...อืม...โอกาสที่เราเข้าช่องผิดมาแล้วนี่ค่อนข้างชัด ข้าแน่ใจมากขึ้นว่าเราคงต้องทะลุชายป่าออกไปที่ริมผา และเราก็ต้องเสี่ยงกลับรถและถอยตรงไป เผื่อมันจะเป็นทุ่งหญ้าที่ลวงตาให้เราเห็นเป็นเหวลึก! เอ่อ...แต่หากไม่ใช่ภาพลวงตา มันก็คือเหวจริง!”
“ว้าย เมื่อกี้ไม่ได้พูดอย่างนี้นะคะ” สุจาร้อง
“เอ่อ แม่หนูคนสวย เป็นเพราะภาษาไทยของข้ายังไม่เก่ง ข้าก็เลยพูดผิดบ้างถูกบ้างไป”
ติ๊เบี่ยงึมงำแก้ตัวข้างๆ คูๆ เขาขยับผ้าโพกผมให้เข้าที่และชะโงกหน้าดูซ้ายขวาด้วยสีหน้าสงสัย จากนั้นก็แหงนดูต้นไม้สูงทุกต้นๆ “ทำไมข้าไม่เคยเห็นต้นไม้พวกนี้มาก่อนเลยเนี่ย”
“พวกมันคงพากันย้ายมาจากที่อื่น” ชดพูดดัก
“อา ใช่แล้ว ท่านเริ่มรู้ทันข้าทุกฝีก้าวแล้ว” ติ๊เบี่ยดีดนิ้วเปาะและหัวเราะคิกๆ
ชดสั่นหัวและถอนหายใจ เหงื่อเริ่มซึมลงจากขมับสองข้างแม้ในรถจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เขาเหลือบตามองกระจกส่องหลังเห็นฤดีและสุจานั่งจับมือกันไว้ ทั้งสองคาดเข็มขัดนิรภัยแน่นหนา
ผืนป่าค่อยๆ บางตาลง ชดมองเห็นแสงสว่างอยู่เบื้องหน้า นาฬิกาหน้าจอบอกเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง เขาต้องไปให้ถึงน้ำตกก่อนพระอาทิตย์ตรงหัว แต่การที่เขาเอาชีวิตของตนและคนอื่นมาเสี่ยงกับการนำทางของพังพอนแสนกลมันทำให้เขารู้สึกผิด เขาอยากหยุดรถและถอยกลับตั้งแต่ตรงนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของฤดีและยิ้มที่ให้กำลังใจของสุจา ชดก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ เบื้องหลังของเขาคือรถอะผ่าที่ตามมาอย่างกระชั้นชิด ชดกำพวงมาลัยไว้แน่นเมื่อรถฮัมเมร่ายอดทรหดโผล่ทะลุชายป่าออกมา แสงแดดแผดจ้าและหมู่เมฆสีขาวก้อนใหญ่ที่ลอยเรี่ยเบื้องหน้าทำให้เขาตาพร่าไปชั่วขณะหนึ่ง พระอาทิตย์เบื้องบนใกล้จะตั้งฉากกับพื้นโลก
ชดมองเห็นหุบเหวเวิ้งว้าง รถคู่ใจจอดกึกที่ริมหน้าผา เขาลดกระจกลงอย่างว่องไวและยื่นแขนออกไปให้อะผ่าเห็น ไม่กี่วินาทีต่อมารถโฟร์วีลสีขาวขุ่นชะลอความเร็วขึ้นมาจอดเทียบ ผู้โดยสารรถทั้งสองคันเหลียวมองกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชดก้มหน้าซบพวงมาลัยอึดใจหนึ่งแล้วเงยหน้า เขายกมือให้สัญญาณอะผ่า พาหนะทั้งสองเข้าเกียร์ถอยหลัง ชดและอะผ่าเอี้ยวตัวระวังรอจังหวะให้รถอีกคันถอยท้ายรถมาจอดที่ริมหน้าผาเคียงกัน โชเฟอร์ทั้งสองต่างพยักหน้าให้อีกฝ่ายและถอนเท้าออกจากเบรกแล้วเหยียบคันเร่งเต็มที่
“โว้ววววว!”
อินญาร้องขึ้นเมื่อรถที่เธอนั่งถอยพรวดออกจากริมหน้าผาสูงชัน เธอมองไปด้านข้างทั้งซ้ายและขวา เธอร้องออกมาอีกครั้ง
“โอ๊วววว หม่ายยยยย ก๊อดดดดดด!!!”
ทันใดนั้นสนามหญ้าสีเขียวสดก็ปรากฏขึ้นโดยรอบ อะผ่าหมุนพวงลัยแล้วใส่เกียร์เดินหน้าทันที เขาพารถโฟร์วีลพุ่งตามหลังฮัมเมร่าที่เร่งความเร็วตรงไปยังเส้นทางที่ติ๊เบี่ยชี้ อะผ่าตะโกนสุดเสียง
“เย้!”
เชนชะโงกตัวไปตบบ่าอะผ่า “ยอดไปเลยเพื่อน”
ส่วนในรถฮัมเมร่า สุจาน้ำตาไหลพรากเพราะความปีติที่ยังมีชีวิตรอด เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
“หนูไม่เคยเห็นทุ่งหญ้าที่ไหนสวยงามเท่านี้เลย ฮือๆๆ” เขาเผลอสะอื้นออกมา
“นึกว่าต้องไปอยู่ก้นเหวเสียแล้ว” ชดรำพึง เขามองติ๊เบี่ยที่ยิ้มปากกว้างและทำหน้าสนุกสนาน พังพอนร่างมนุษย์เหลือบมองพระอาทิตย์แล้วพูดด้วยเสียงเร่งเร้า
“อีกแปดลมหายใจ” ติ๊เบี่ยเริ่มนับ “เร็วอีกนิด เดี๋ยวไม่ทัน”
ชดพารถห้อตะบึงผ่านทุ่งหญ้าที่กว้างสุดตา เบื้องหน้าพวกเขาคือภูเขาหินแกรนิตสีดำสูงตระหง่าน มีสายน้ำตกสีขาวอยู่ตรงกลาง อะผ่าตามติดมาอย่างกระชั้น
“สูงมากเลย” สุจาอุทานเมื่อมาถึงน้ำตกใหญ่ที่ส่งเสียงคำรามก้อง ฟองฝอยสีขาวใสสาดกระจายกระทบแสงแดดก่อให้เกิดสายรุ้งเป็นวง
“ข้างบนต้นธารคงจะกว้างใหญ่” ฤดีรำพึงพลางมองสำรวจ เธอนึกถึงแผนที่ของโนอาห์ที่เขากากบาทไว้ว่าตามเทือกเขาของดอยผาแดงต้องมีน้ำตกสักแห่งที่ตกสำรวจเพราะถูกบดบังจากป่าไม้หนาทึบ
“ถึงเสียที” ติ๊เบี่ยขยับผ้าโพกหัวอีกครั้งและทำมือบอกให้ชดจอดชิดทางเข้าน้ำตก หยาดน้ำกระเซ็นกระทบกระจกหน้ารถราวกับสายฝนที่กำลังพร่างพรำ
อะผ่าพารถโฟร์วีลมาจอดต่อท้ายตามที่ชดบอกไว้ ทุกคนแทบไม่หายใจ สายตาจับจ้องกระแสน้ำตกใหญ่แห่งภูผาดำที่ส่งเสียงดังครึกโครมลอดเข้ามาในห้องโดยสารที่ปิดสนิท
“เตรียมตัว” เสียงเล็กแหลมบอกเมื่อเงาของพระอาทิตย์หดสั้นลง
ทันใดนั้นน้ำตกที่กำลังพุ่งแรงก็หยุดไหล เหลือแต่สายน้ำย้อยหยดจากโขดหินขรุขระ ทุกคนในรถมองเห็นปากถ้ำที่เปิดอ้ารออยู่
“เข้าไปเลยยยย!” ติ๊เบียตะโกนบอกเสียงแหลมปรี๊ด
ชดตัดความคิดเรื่องอื่นออกไป เขากดปุ่มเปิดไฟสูง มันสาดแสงจ้าเข้าไปในถ้ำสีดำสนิท เขาเหยียบคันเร่งและพารถแล่นพรวดเข้าไป อะผ่าตามติดไปราวกับเป็นรถพ่วงของรถคันหน้า เมื่อผ่านปากถ้ำเข้ามาแล้ว ทั้งหมดเหลียวหลังดู ทันใดนั้นสายน้ำก็ไหลพลั่กลงมาปิดปากถ้ำราวม่านหนา แสงสว่างจ้าหรี่ลงจนหม่นมัว
“ฟิ้วว!” อินญาพ่นลมออกมา “นี่ถ้าอะผ่าไม่บอกก่อนว่าต้องเจออะไร อินญาต้องหัวใจวายตั้งแต่ถอยรถออกจากริมผามาแล้ว
“ผมก็เพิ่งรู้ตอนที่เราจอดรถและคุณลุงชดเรียกผมไปสั่งว่าต้องทำอย่างไรนั่นแหละ” อะผ่าเปิดไฟต่ำและขับตามหลังรถคันหน้าไปโดยทิ้งระยะประมาณห้าเมตร
“ผมเคยเจอเรื่องประหลาดใจมาเยอะ แต่เรื่องเหวใหญ่กลายเป็นทุ่งหญ้านี้มันเหมือนธรรมชาติเล่นมายากลเลยนะ” เชนบอก “แถมน้ำตกหยุดไหลครึ่งนาทีให้รถพวกเราแล่นผ่านเข้ามาได้ทั้งสองคัน”
“โชคดีที่พื้นถ้ำนี้เรียบสนิทไม่มีหินงอกหินย้อย” อะผ่าพูดอย่างสบายใจขึ้นหลังจากผ่านเส้นทางที่ใจหายใจคว่ำมาแล้ว สายตาเขาเพ่งตามรถคันหน้าไป สองข้างทางในถ้ำมืดมิดเหมือนอุโมงค์รถไฟ อากาศเย็นเยือกจนเขาต้องหรี่เครื่องปรับอากาศ
ในรถฮัมเมร่า ชดประคองพวงมาลัยและมองไปรอบๆ แสงไฟสว่างจ้าจากหน้ารถส่องให้เห็นผนังหินแนวโค้งที่เรียบกริบราวกับใช้เครื่องจักรตัด
“เราจะเห็นทางแยกหลายแห่ง อย่าไปสนใจมัน ให้เรามุ่งหน้าตรงไปอย่างเดียว” ติ๊เบี่ยบอกชดเพื่อเตือนความจำในสิ่งที่เขาบอกไว้
ชดจำที่เจ้าพังพอนบอกได้ ครู่หนึ่งเขาก็เห็นทางแยกข้างหน้า
“ข้าเคยหนีมาเที่ยวในถ้ำและเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปที่แยกนี้ เข็ดจนตาย” ติ๊เบี่ยเล่า
“ทำไมหรือคะผู้เฒ่า” สุจายื่นหน้ามาถาม
“มันยาวหลายแสนงู ข้าเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ รู้ตัวอีกทีหลงทางเสียแล้ว เสบียงข้าไม่ได้พก ข้าต้องหาตะใคร่น้ำที่ขึ้นเป็นคราบตามผนังถ้ำกินประทังชีวิตแรมเดือน แต่ในที่สุดก็คืบคลานหาทางออกมาจนได้ ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พอกลับถึงหมู่บ้าน ข้าก็ถูกพิมะดุจนร้องไห้”
ติ๊เบี่ยเล่า
“พิมะบอกข้าว่าถ้ำใหญ่หลายแห่งในโลกนี้เชื่อมต่อกันถึงหมดด้วยเส้นทางใต้ดินอันลึกลับซับซ้อน ตั้งแต่ถ้ำน้ำแข็งในทวีปคนขาว เทือกเขาอัลไตในไซบีเรีย ใต้เนินหิมาลัยอันมโหฬาร อาระกันโยมาในประเทศพม่า เรื่อยมาจนถึงเขาหลวงของประเทศไทย
“เอาไว้ให้พิมะของข้าเป็นคนเล่าเรื่องถ้ำใต้ดินที่เชื่อมต่อกันนี้ให้พวกท่านฟังเองก็แล้วกัน ข้าจำรายละเอียดไมได้เพราะไม่เคยเดินทางผ่าน แต่เขาเคยไปจนทั่วแล้ว เขาจึงรู้ว่ามันมีอันตรายและสิ่งลวงตาที่จะทำให้ท่านเสียสติ เขาบอกว่าถ้าข้าซุกซนแอบหนีไปเที่ยวอีกจนหาทางกลับไม่ได้ ข้าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในอุโมงค์ใต้ดินจนวาระสุดท้าย ข้าไม่อยากตายในถ้ำมืด ข้าจึงไม่ออกสำรวจอีก แต่คราวนี้ข้าจำเป็นต้องทำหน้าที่นำทางท่าน อาจมีอะไรที่ติดๆ ขัดๆ รออยู่ข้างหน้าก็อย่าว่ากันนะ หึๆ”
ประโยคที่ติ๊เบี่ยทิ้งท้ายทำให้ชดนิ่วหน้า ในสมองเขาเต็มไปด้วยคำถามว่า “อะไรอีกล่ะทีนี้!”
“อีกเดี๋ยวก็จะถึงทางโค้งแล้ว ท่านต้องขับเกวียนเหล็กคันนี้วนไปทาง...เอ่อ...ขวา...แล้วมันจะไปโผล่ที่ริมลำธารอันเป็นต้นน้ำตก”
ติ๊เบี่ยส่งเสียงเจื้อยแจ้วอธิบายต่อไปว่า
“เอ่อ แต่ว่าท่านไม่ต้องตกใจนะหากถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแล้วท่านจะมองไม่เห็นปากถ้ำที่ท่านทะลุออกไป”
ชดกะพริบตาปริบๆ เมื่อพังพอนช่างเจรจาอธิบายมาถึงตรงนี้ เขากลั้นใจฟังต่อ
“ปากถ้ำขาออกนี่มันเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่แถวนี้แหละ หากขากลับท่านหามันไม่เจอก็ลองไปดูด้านล่าง คือ...ข้ารับรองได้ว่ามันไม่หายไปไหน เพราะมันติดอยู่กับภูเขา เพียงแต่ท่านจะต้องเดาเอาหน่อยว่ามันจะเลื่อนไปอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา ขึ้นสูงหรือลงต่ำ หากท่านโชคดีก็จะเจอมันอยู่ติดพื้นดิน”
ชดยกมือเกาศีรษะ เบื้องหน้าของเขาเป็นทางตัน มีแยกโค้งซ้ายและขวา ชดหมุนพวงมาลัยเข้าโค้งขวาตามที่เจ้าพังพอนทำไม้ทำมือชี้บอก ขณะที่รถกำลังวนขึ้นสู่ที่สูงชดยังต้องการความกระจ่างในสิ่งที่ติ๊เบี่ยอธิบายก่อน
“ผู้เฒ่าพังพอน...เรื่องปากถ้ำทางออกที่เลื่อนขยับนี่ ท่านไม่ได้บอกพวกเรามาก่อนใช่ไหม ผมชักสับสนกับเรื่องนี้ อันที่จริงก็สับสนทุกเรื่องตั้งแต่ท่านบอกเล่ามา เช่น เรื่องทางเข้าหมู่บ้านกลายเป็นทางออก ด้านหน้ากลายเป็นด้านหลัง ป่ากล้วยขยับเข้าไปแทนที่ป่าไผ่อะไรนั่น แต่เรื่องปากถ้ำขาออกจะย้ายที่นี่เรื่องใหม่ใช่หรือเปล่า” ชดถาม เขาพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงอาการแตกตื่น
“ใช่ๆๆ ท่านพูดถูกแล้ว คือข้าเพิ่งนึกออกว่ามันเคยขยับลงเบื้องล่าง เอ่อ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรอีก ข้ามองเห็นแล้วว่าทางออกยังอยู่ที่เก่า ท่านโชเฟอร์ที่น่ารัก ข้าขอถามสักคำ...เกวียนเหล็กของท่านแข็งแรงพอไหม” ติ๊เบี่ยพูดรัวเร็วเหมือนลิ้นพันกัน
ชดอึ้งไปนิดหนึ่ง เขามองเจ้ามนุษย์จำแลงที่ทำท่าเตรียมพร้อมสำหรับบางสิ่งและตอบอย่างไม่ลังเลว่า
“แข็งแรงสิ ไม่อย่างนั้นคงไม่ขึ้นดอยสูงบุกป่าทึบมาถึงถ้ำนี้ได้”
“ข้าหมายถึงมันจะแยกเป็นชิ้นๆหรือเปล่าหากตกจากที่สูง” ติ๊เบี่ยมองชดอย่างต้องการคำตอบจริงๆ
“หากสูงไม่มากมันก็ยังเป็นชิ้นเดียวอยู่ แต่ว่าท่านถามผมทำไมล่ะ อยากรู้สมรรถนะของรถคันนี้หรือ” ชดพยายามเข้าข้างตนเองว่าเจ้าพังพอนผู้เฒ่าแค่ชวนเขาคุย
ติ๊เบี่ยนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เขากลอกตามองขึ้นไปยังที่ทุกคนมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ชดประคองพวงมาลัยมั่น แสงไฟจากรถอะผ่าฉายส่องมาติดๆจากเบื้องหลัง เสียงเครื่องยนต์รถทั้งสองคันคำรามกึกก้องขณะเร่งเครื่องวนขึ้นที่สูงรอบสุดท้าย
“เดี๋ยวนะ ผู้เฒ่า บอกผมอีกทีซิ” ชดกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกหูอื้อ เขาหันมาหาติ๊เบี่ย “เมื่อเราออกทะลุปากถ้ำแล้วเราจะเจออะไร มันสำคัญที่ผมต้องรู้ เพื่อผมจะได้เตรียมรับสถานการณ์ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความแข็งแรงของรถ”
“ท่านโชเฟอร์คนเก่ง ท่านไม่ต้องกังวลใจหรอกหากรถคันนี้แข็งแรงพอ ข้าบอกไว้แล้วว่าเมื่อเราออกจากปากถ้ำ เราจะไปเจอลำธารที่มีเส้นทางเลียบสู่ประตูหมู่บ้าน วันนี้ซุ้มประตูหน้ามันอาจกลับมาที่เก่าแล้ว แต่ไม่ว่าประตูหน้าหรือประตูหลัง เราสามารถเข้าหมู่บ้านได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ประตูหน้ามันกว้างกว่า เกวียนเหล็กทั้งสองลอดผ่านได้” ติ๊เบี่ยเบี่ยงประเด็น
“แล้วถ้าเป็นประตูหลังหมู่บ้านล่ะ” ชดถาม สายตาจ้องไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังที่เพิ่มเป็นพิเศษ
“ถ้าเป็นประตูนั้น หากท่านจะลอดไป ท่านก็ต้องเดินเอา แต่หากไม่ต้องการเดิน ท่านแค่ขับรถไปด้านข้าง พวกท่านก็จะถึงหมู่บ้านได้เช่นกัน” เจ้าพังพอนหัวเราะคิกๆ
“อ้อ ง่ายๆ อย่างนี้เอง เฮ้อ” ชดโล่งใจ แสงสว่างจ้าจากนอกปากถ้ำส่องเข้ามาโดยฉับพลัน
ติ๊เบี่ยหันมาหาฤดีและสุจาแล้วรีบบอกว่า “หาที่เกาะให้มั่นไว้นะ”
“ห้ะ!” ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน
ก่อนที่ชดจะทันได้ถามอะไรเขาก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนเมื่อรถฮัมเมร่าตกฮวบจากปากถ้ำลงสู่พื้นหญ้าหนาทึบริมตลิ่งของลำธารใหญ่อันเป็นต้นทางของน้ำตก
“เฮ้ย!” ชดแผดเสียง
เมื่อสติกลับคืนมาแล้วเขาก็เหยียบคันเร่งจนมิดพารถขยับหนีได้ทันก่อนที่รถอะผ่าจะตกกระแทกพื้นตามมาในอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง ชดหันมาถามฤดีและสุจาที่ยึดเกาะที่จับไว้อย่างเหนียวแน่น
“มีใครคอหักไหม!”
“หนูไม่เป็นอะไรค่ะ เพียงแต่จุกนิดหน่อย” สุจาที่ยังใจหายใจคว่ำบอกเสียงสั่นพร้อมกับทาบมือไว้ที่หน้าอก “โชคดีที่เราตกลงมาบนพื้นหญ้านุ่มๆ เฮ้อ ผู้เฒ่านะผู้เฒ่า น่าจะเตือนกันเนิ่นๆ จะได้เอาหมอนมารองก้น”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ฤดีตอบชด เธอกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อว่าทุกคนไม่มีใครบาดเจ็บ ชดเคลื่อนรถไปจอดสนิทและดับเครื่องก่อนเปิดประตูรถยันตัวออกมา
ส่วนรถโฟร์วีลสีขาวจมโคลนลงไปลึก อะผ่าผ่อนคันเร่งและเหยียบซ้ำ ผ่านไปครึ่งนาทีเขาก็พารถพรวดออกจากริมตลิ่งมาจอดคู่กับรถของชดใต้ต้นไม้ใหญ่
“ผู้เฒ่า!” ชดเรียกชายร่างเล็กที่ตะเกียกตะกายลุกจากพื้นรถ ผ้าโพกผมส่ายไปมาตามจังหวะร่างกาย
“ผนังถ้ำมันปิดแล้วใช่ไหม” ติ๊เบี่ยชิงถามเพราะเกรงชดจะต่อว่าที่นำทางจนตกจากที่สูง ชดหันตัวและแหงนหน้าไปยังทิศทางที่รถสองคันตกลงมา เขาหยีตาแล้วหันไปตอบเจ้าพังพอนที่กำลังเก็บข้าวของต่างๆที่ตกหกหล่นใส่กลับลงไปในย่าม
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเรามองไม่เห็นอะไรนอกจากผนังภูผาสีดำที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์จนแสบตา” ชดบอกเสียงเรียบ เขาเลิกแปลกใจแล้วกับทุกปรากฏการณ์ที่พวกเขาประสบ
“อีกไม่นานมันคงกลับมา ท่านอย่าจ้องมองนาน เดี๋ยวตาจะบอดจากแสงสะท้อนของตะวัน” ติ๊เบี่ยบอกด้วยน้ำเสียงหวังดี
“แล้วเราจะกลับเข้าไปได้อย่างไรในเมื่อมันอยู่สูงแบบนั้น” ชดถามต่อขณะใช้มือนวดต้นคอที่รู้สึกเคล็ด
“อีกสองวันมันอาจจะเลื่อนต่ำลงมาก็ได้ ข้าเดาใจมันไม่ถูก ข้าเองก็ปวดหัวจะแย่แล้วกับเรื่องพวกนี้ ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรข้าเลยนะ ข้าชักจะหิวข้าว”
ติ๊เบี่ยตอบพลางโดดลงจากรถพร้อมย่ามใบใหญ่ ชดมองเห็นฤดีและสุจาออกไปยืนพูดคุยกับอะผ่า เชน และอินญาแล้ว
“มีใครบาดเจ็บตรงไหนไหม” ชดส่งเสียงถามหนุ่มสาวทั้งสาม
“อินญามองเห็นรถคุณลุงชดพุ่งลอยอยู่กลางอากาศและตกโครมลงไป อินญาจับที่เกาะได้ทัน ไม่อย่างนั้นหัวคงโขกกับกระจกหน้ารถ” อินญาสะบัดแขนสะบัดขาให้ทุกคนดูว่าไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก
“ผมยืดแขนยันพวงมาลัยเข้าไว้ กลัวมันจะกระแทกหน้าอก แต่ดีที่รถตกลงในดินโคลน ไม่กระเทือนเท่าไรครับ แต่รถคุณโนอาห์ตอนนี้ดูเหมือนอยากนอนพัก” อะผ่าตอบพลางสำรวจสภาพรถว่ามีส่วนใดเสียหาย
“ผมไม่เป็นไรเช่นกันครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” เชนตอบพลางมองไปรอบๆ
ชดก้มๆเงยๆรอบรถฮัมเมร่าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีชิ้นส่วนไหนหลุดออก ท้องเขาร้องโครกคราก นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาบ่ายโมงครึ่ง
“เราพักกินอาหารเที่ยงกันเถอะ” ชดบอกอย่างอ่อนใจ
“เดี๋ยวหนูจะเอาเสื่อมาปูนั่งกินอาหารกันที่ริมลำธารนะคะ” สุจาบอกพร้อมกับเดินไปเปิดหลังรถซึ่งตอนนี้มอมแมมเปื้อนเปรอะไปทั่วตัวถัง
“ได้ปิ๊กนิกกันอีกมื้อ เดี๋ยวเราค่อยขับรถเข้าหมู่บ้าน หาอะไรใส่ท้องกันก่อนเพราะบ่ายนี้อาจยาวนานกว่าที่คิด”
ชดพูดพลางหย่อนตัวนั่งลงเหยียดขาบนเสื่อที่สุจาปูไว้ เขารับอาหารกล่องใหญ่จากอินญาและเปิดดู สุจาจัดเตรียมทุกสิ่งพร้อมไว้ในกล่อง ทั้งข้าวผัด ผักสด ผลไม้ และน้ำดื่ม
ติ๊เบี่ยไม่พูดไม่จาให้เสียเวลา เขายกแขนสองข้างรับกล่องอาหารแล้วหยิบตะเกียบในย่ามออกมาพุ้ยกินจนแก้มตุ่ย สุจาแอบมองอย่างเอ็นดู เขาส่งขนมให้อีกสองชิ้น ซึ่งติ๊เบี่ยก็รับมาใส่ย่ามไว้
อากาศริมลำธารเหนือน้ำตกเย็นสบาย กลิ่นดอกไม้ป่าโชยมาจากที่ไกลๆ เสียงนกร้องคุ้กคูและเสียงขันของไก่ป่าฟังน่าอภิรมย์