สุจาและอะผ่ามองติ๊เบี่ยที่นั่งกินแครอทอย่างไม่สนใจใคร ทั้งสองมองหน้ากันและทำตาปริบๆ
เมื่อติ๊เบี่ยกินแครอทหมดไปหนึ่งหัว เขาใช้แขนเสื้อเช็ดปากแล้วเก็บแครอทอีกหัวลงไปในย่าม จากนั้นเขาก็ทำหน้านิ่งแบบเดิม แต่คราวนี้มีเศษสีส้มติดอยู่ตามริมฝีปาก คอ ใบหน้า และผ้าโพหัว
“เชน เธอรู้ได้อย่างไรว่าต้องเอาแครอทให้เขากินเขาถึงจะยอมคืนเข็มทิศให้อินญา” สุจาซัก
“ผมจะอธิบายทีหลังครับ เดี๋ยวเราฟังเขาตอบคำถามคุณชดก่อนว่าที่รถของพวกเราหลงทางเป็นฝีมือของพวกเขาหรือเปล่า”
อะผ่าถามติ๊เบี่ยซ้ำอีกครั้ง เมื่อได้รับคำตอบ เขาก็หันมาบอกทุกคน
“เขาบอกว่าเมื่อคืนนี้รถของเราน่าจะถูกอิทธิฤทธิ์จากลูกไฟที่ตกจากฟ้าลงมาที่หุบเขาหลังหมู่บ้านริมธารเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งหลังจากนั้นพวกเครื่องมือทำงานที่เป็นเหล็ก ทั้งมีดทำครัว มีดพร้า จอบ เสียม ขวาน เกิดบิดเบี้ยวไปใช้ทำอะไรไม่ได้ บะจี ต้องเอามาหลอมและตีขึ้นมาใหม่ พอใช้ไปได้ครั้งหรือสองครั้งมันก็บิดเบี้ยวผิดรูปร่างไปอีก พวกเขาเชื่อว่าเป็นเพราะอานุภาพของลูกไฟนั้น มันทำลายป่าทั้งหุบเขา สัตว์น้อยใหญ่ตื่นตกใจวิ่งเตลิดออกมาและไม่ยอมกลับเข้าไป พวกชาวบ้านเดินไปดูก็เห็นแต่ป่าราบ ต้นไม้หักโค่นซ้อนทับกันไปมายิ่งกว่าถูกพายุกระหน่ำ”
พออะผ่าพูดมาถึงตรงนี้ ชดก็พูดแทรกว่า
“ลูกไฟใหญ่อะไรกัน มันมีฤทธิ์ขนาดนั้นเลยหรือ แผ่รัศมีทำการออกมานับสิบกิโลเลยนะหากเป็นเรื่องจริง” เขาเริ่มระอากับนิทานหลอกเด็กที่ชายแปลกหน้าสรรหามาเล่า
ติ๊เบี่ยรีบอธิบายเพิ่มเติมให้อะผ่าและสุจารับรู้ด้วยเสียงเล็กแหลมเป็นจังหวะด้วยสำเนียงฟังยากของเขาเนื้อความว่า
“ข้าจะบอกให้ฟัง ตอนหัวค่ำคืนวันหนึ่งของเดือนที่แล้ว พวกชาวหมู่บ้านริมธารได้ยินเสียงหวือๆ ดังมา เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า เราเห็นแสงวาบพุ่งเป็นสายลงในหุบเขา จากนั้นเสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังขึ้นจนบ้านเรือนสั่นคลอน พวกเราตกใจมากเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่มีใครกล้านอนหลับเพราะเกรงภัยจะมาถึง
“รุ่งเช้าพวกผู้หญิงเข้าครัวเตรียมทำอาหาร ปรากฏว่ามีดที่เคยใช้หั่นผักบิดเป็นเกลียวใช้การไม่ได้ พวกผู้ชายคว้ามีดพร้าคว้าจอบเพื่อเข้าป่าไปดูว่าลูกไฟมันพุ่งตกลงที่ตรงไหน แต่พวกเขาพากันร้องด้วยความตกใจเพราะใบมีดมันเบี้ยวบิดจนผิดรูป ตั้งแต่วันนั้น บะจี ของเราต้องซ่อมเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวบ้านทุกเช้า แต่เวลาผ่านไปไม่นานมันก็บิดเบี้ยวไปอีก”
อินญาและเชนจับสังเกตติ๊เบี่ย ขณะที่พูดอธิบายผ้าโพกหัวของเขาเริ่มขยับเลื่อนลงไปด้านหลัง เผยให้เห็นหูกลมหนาคล้ายหูหนูที่กางออกมาแว่บหนึ่ง จากนั้นเขาก็ใช้มือขยับผ้าให้เข้าที่อย่างเดิม ส่วนก้นที่นั่งอยู่บนลานหินก็มีพวงหางแพลมออกมา พอรู้ตัวเขาก็เอามือจัดมันยัดกลับเข้าไปในกางเกง
ฤดีเองเหมือนจะเห็นสิ่งที่เชนและอินญากำลังเพ่งตาดู แต่เธอนิ่งเงียบไว้เพื่อสังเกตการณ์
ส่วนชดนั้นแม้จะมองเห็น แต่เขาเชื่อว่าชายแปลกหน้ากำลังเล่นกลเพื่อตบตาพวกเขา
“เอาอย่างนี้ พวกเราไปชงกาแฟดื่มกันดีกว่า ยืนกันนานแล้วผมชักเมื่อยและเบื่อจะฟังไอ้หัวขโมยนี่ปั้นน้ำเป็นตัว อะผ่ากับเชนจับตาดูเขาดีๆ ตัวเล็กแค่นี้หากมีปัญหาอะไรก็เอาไฟฉายเคาะหัวมันสักเปรี้ยง เดี๋ยวผมจะเอากาแฟมาให้คุณสองคน”
ชดบอกพร้อมกับเดินหันหลังหนีติ๊เบี่ยไปยังหลังรถเพื่อต้มน้ำร้อน ขณะนี้เวลาหกโมงกว่าแล้ว ร่างกายของเขาเริ่มต้องการอาหาร
อะผ่าทรุดตัวลงนั่งกับลานหิน ส่วนเชนยืนพิงหน้ารถอยู่หลังอะผ่า
สุจากระซิบบางอย่างกับฤดีและอินญา จากนั้นหญิงทั้งสามก็คว้าผ้าขาวม้าของชดที่แขวนไว้ตรงกระจกรถและเดินย่องเข้าไปในป่าด้านหลัง ชดที่ยืนรอน้ำเดือดมองตามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องเข้าไปลึกหรอก” ชดตะโกนบอก “ไม่มีใครแอบดู”
“แหม พี่ชดคะ พวกหนูเป็นผู้หญิงก็ต้องอายสิคะ จะยืนฉี่แบบผู้ชายได้อย่างไร” สุจาส่งเสียงออกมาหลังผ้าขาวม้าที่อินญาและฤดียืนขึงบังตาไว้
“มันยังไม่สว่างดี ไม่กางผ้าก็ไม่มีใครเห็นหรอก” ชดต่อปากต่อคำกับสุจาขณะที่เตรียมถ้วยกาแฟ
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของอินญาก็ดังขึ้น เธอยืนตกตะลึงทิ้งผ้าที่กางไว้ลงกับพื้น
“งูค่ะ งูตัวใหญ่อยู่ข้างหลัง อาโฮสุจาอย่าขยับ เดี๋ยวมันกัดเอา”
สุจาที่กำลังลุกขึ้นยืนทำหน้าตกใจสุดขีด เบื้องหลังของเขางูเห่าตัวหนึ่งกำลังแผ่พังพาน มันอ้าปากเห็นเขี้ยวแหลมและตวัดลิ้นไปมา จากนั้นมันก็ยืดหัวขึ้นสูงและพุ่งเข้าฉก
วินาทีนั้นเอง พังพอนตัวหนึ่งเผ่นแผล็วลงจากลานหินตรงเข้ากัดคองูเห่าตัวนั้นได้ทันก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวลงบนร่างของสุจา ลำตัวยาวสีดำเป็นมันดิ้นพราดและพยายามเลื้อยหนี แต่เจ้าพังพอนตัวดีกัดคอมันไว้แน่น สัตว์ตัวยาวบิดลำตัวเร่าๆ พยายามรัดร่างพังพอนไว้แต่ไม่สำเร็จ ไม่กี่นาทีต่อมางูเห่าเจ้ากรรมก็นอนตายลำคอเป็นแผลเหวอะหวะ
“คุณลุงชดครับ มาดูอะไรนี่” อะผ่าเรียกชดที่กำลังเดินไปดูซากงู แต่เมื่อได้ยินเสียงอะผ่าทางหน้ารถชดก็หันตัวกลับ
“มีอะไรหรือ” ชดถาม แล้วสายตาเขาก็เห็นเสื้อผ้าสีดำและย่ามกองอยู่บริเวณที่ติ๊เบี่ยนั่งเมื่อครู่ เชนยืนกอดอกอยู่ใกล้อะผ่า ทั้งคู่มองเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ชดมองไปที่เจ้าพังพอนที่ตอนนี้ขยับมาใกล้พวกเขา
สุจา ฤดี และอินญาที่เพิ่งหายจากอาการตกใจพากันเข้ามายืนหลังชด ทั้งหมดมองดูพังพอนผู้กล้าหาญที่กระโจนไปช่วยชีวิตสุจาไว้
“อย่าบอกนะว่าไอ้เจ้าติ๊เบี่ยหน้าแหลมนั่นคือพังพอนตัวนี้” ชดมองเชนและอะผ่าสลับกัน
เจ้าพังพอนวิ่งวนรอบเสื้อผ้าสีดำที่กองไว้แล้วซุกตัวเข้าไป พริบตาเดียวชายร่างเล็กก็ปรากฏร่างตามเดิม เขาขยับผ้าโพกหัวที่เอียงไปมาให้ตั้งตรงและครอบหูเอาไว้ ริมฝีปากของเขาเปื้อนเลือดสดๆ เชนบอกใบ้ให้เขาโดยเอาปลายนิ้วไล้ริมฝีปากตนเอง ซึ่งเมื่อติ๊เบี่ยเห็นก็เข้าใจและยกแขนเสื้อขึ้นเช็ด จากนั้นเขาล้วงใบยาสูบออกมาจากย่ามแล้วมวนด้วยใบตองแห้งที่พกติดมา เขาควานหาหินเหล็กไฟพร้อมเศษนุ่นและตีแก๊กๆจนมีประกายไฟ พอเศษนุ่นลุกไหม้เขาก็จ่อมวนใบยาแล้วสูบด้วยท่าทางสบายใจ
ความเงียบเข้าครอบงำสถานที่แห่งนั้นครู่ใหญ่ ชดหันหลังเดินไปนั่งยังถุงนอนของเขา ทุกคนเดินตามไป ทิ้งติ๊เบี่ยไว้ให้นั่งอยู่คนเดียว
“ใครก็ได้ เล่าเรื่องให้ผมฟังที” ชดมองไปที่อะผ่าและเชน
เชนมองชดก่อนกระแอมนิดหนึ่งและบอกทุกคนว่า
“เมื่อคุณชดไปชงกาแฟที่ท้ายรถ อะผ่าและผมก็เฝ้าติ๊เบี่ยไว้ ครู่หนึ่งเราได้ยินเสียงอินญาหวีดร้อง เราหันไปดูพร้อมกัน เรามองไม่เห็นงูเห่าเพราะมันอยู่ในที่มืดและไกลจากสายตา แต่ผมทันเห็นสัตว์ตัวเล็กหางเป็นพวงยาวเผ่นแผลวออกไปจากที่ติ๊เบี่ยนั่ง เสื้อผ้ากับย่ามหลุดพรึ่บออกจากตัวและกองอยู่บนพื้น เขากระโจนไปเร็วมากจนผมมองไม่ทัน พอเห็นอีกทีงูเห่าก็ถูกกัดตายแล้ว”
“สรุปว่าเจ้าพังพอนหางยาวก็คือเจ้าติ๊เบี่ยหน้าแหลม ว่างั้นเถอะ” ชดพูดและเหลียวมองชายร่างเล็กที่นั่งอยู่บนลานด้านหน้ารถคนเดียว
“ครับ” อะผ่าบอก
“คือ ผมขอพูดตรงๆนะ ผมไม่ได้เตรียมใจว่าการเดินทางครั้งนี้จะมาเจอเรื่องปาฏิหาริย์เหมือนหนังแขก ตอนแรกผมคิดแค่ว่าเราอาจพบความยากลำบากในการค้นหาหมู่บ้านริมธาร หรือต้องควานหาตัวญิผ่าตามที่คุณโนอาห์เขียนบอก และจากนั้นก็จบเรื่องด้วยความสุข คือเราได้ตัวยาออกไปช่วยชีวิตคนที่เจ็บป่วยทุกข์ทรมาน แต่นี่เพิ่งคืนแรกของการเดินทาง แล้วเราก็ต้องมาเจอกับพังพอนที่แปลงร่างเป็นคน หรือคนที่แปลงร่างเป็นพังพอน ผมควรจะวางท่าทีอย่างไรดีกับเจ้านั่น”
ชดบุ้ยปากไปที่ติ๊เบี่ยที่ตอนนี้สูบยาเส้นพ่นควันโขมง พร้อมกับควักแครอทหัวที่สองออกมาเคี้ยวล้างปาก
“ไม่ว่าเขาจะเป็นพังพอนหรือมนุษย์ พี่คิดว่าสุจาต้องไปขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตเอาไว้”
ฤดีบอกสุจาที่เพิ่งนึกได้ เขาสะดุ้งแล้วรีบลุกขึ้นไปหาติ๊เบี่ยและออกปากขอบคุณอย่างน่ารัก เขาเรียกชายร่างเล็กว่า “น้องชาย”
“อายี้ พี่ต้องขอขอบคุณเธอมากที่ช่วยชีวิตพี่ หากเธอไม่เข้าไปช่วย ปานนี้พี่คงตายไปแล้ว”
พูดจบสุจาก็พนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อย ติ๊เบี่ยหัวเราะแล้วตอบว่า
“เอ่อ คนสวยใจงาม ข้าน่าจะอายุเกินท่านไปหลายร้อยปีนะ มาเรียกข้าว่า อายี้ นี่จักกะจี้จริงๆ” ติ๊เบี่ยพูดกับสุจาพร้อมกับทำเสียงจึ๊กจั๊กไปด้วย
เมื่อสุจาฟังติ๊เบี่ยพูด เขาทำหน้าไม่เชื่อ
“ท่านอายุหลายร้อยปีแล้วเหรอ”
“ข้าเองก็จำไม่ได้” ติ๊เบี่ยบอกหน้าตาเฉย “ข้านับอายุตัวเองมาจนเบื่อ จนเลิกนับเมื่อสองสามร้อยปีที่แล้ว ซึ่งหากข้าตั้งใจนับอย่างต่อเนื่องจริงจังก็อาจถึงพันปี” ติ๊เบี่ยกินแครอทต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย
อะผ่าแปลความที่ติ๊เบี่ยพูดให้ทุกคนได้รู้
“เฮอะ แค่เขาแปลงร่างเป็นพังพอนได้นี่ยังแปลกไม่พอใช่ไหม” ชดหัวเราะหึๆ พลางหันไปหาสุจา “ถามเขาหน่อยซิว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นมนุษย์หรือพังพอน”
เชน อินญา ฤดี และอะผ่านั่งเงียบรอฟังอย่างตั้งใจ
สุจาถามติ๊เบี่ย ซึ่งคำตอบที่ได้ทำให้ทุกคนอึ้ง
“เขาบอกว่าเขาเป็นพังพอนค่ะ” สุจาบอก
ชดกัดฟันแล้วถามสุจาว่า
“แล้วทำไมตอนแรกถึงได้บอกว่าเป็นคน”
สุจาเอ่ยปากถามเขา คำตอบที่ได้คือ
“ก็คุณชดถามเขาว่าเป็นผีหรือคน และเขาก็ไม่ได้โกหก เพราะเขาบอกคุณชดว่าเขาไม่ใช่ผี” สุจาบอกด้วยสีหน้าขบขัน
“เออ จริงของมัน” ชดพึมพำ
ฤดีเขยิบเข้าไปใกล้ติ๊เบี่ยแล้วเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ค้างอยู่ในใจ “แล้วที่เมื่อกี้ผู้เฒ่าท่องชื่อบรรพชนอาข่าออกมาอย่างถูกต้องทั้งหมดนั่นจำมาจากไหนคะ นามสกุลที่บอกมานั้นเป็นของใคร อีกทั้งเรื่องราวประวัติความเป็นมาของคนเจ็ดตระกูลที่เล่ามานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ต้องขออภัยที่เสียมารยาทถามนะคะ แต่ดิฉันสนใจในเรื่องราวของชนชาติชาวอาข่า จึงอยากทราบเพื่อประดับความรู้”
ติ๊เบี่ยตอบคำถามฤดีด้วยท่าทีสำรวม สุจาหันไปแปลให้ชด เชน และอินญาฟัง
“เขาบอกว่าลำดับชื่อบรรพชนที่เขาท่องให้พวกเราฟังนั้น เขาจำมาจากงานศพที่พิมะผู้เลี้ยงดูเขาไปทำพิธีให้ เขาฟังพิมะคนดังกล่าวร่ายคำสวดตามที่ต่างๆ กว่าร้อยครั้งเขาจึงจำได้ พิมะผู้นี้เมื่อไปที่ไหนมักพาเขาไปด้วย โดยใส่เขาไว้ในย่าม เขาได้ฟังคำสวดอยู่เป็นประจำตามพิธีศพค่ะ นามสกุลที่เขาเอ่ยอ้างมานั้นเป็นของคนโบราณที่ตายไปนานแล้ว ส่วนประวัติชาวหมู่บ้านริมธารเป็นเรื่องที่เขาจดจำจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในหมู่บ้าน”
อะผ่าถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำตอบของติ๊เบี่ย เขานึกขึ้นได้ถึงพิมะผมมวยผู้ร่ายคำสวดในงานศพของอาบ๊อถู่ผู้ถูกงูกัดตายที่หมู่บ้านผาแดงเมื่อนานมาแล้ว เขาได้พบพิมะคนดังกล่าวคราวที่ไปร่วมงานศพและอัดเทปเสียงสวดเอาไว้เพื่อนำไปถอดความและเขียนรายงานส่งมูลนิธิ อะผ่าจำได้ว่าชายผมมวยสะพายย่ามใบใหญ่มาด้วย ตอนที่นั่งกินอาหารอะผ่าเหลือบเห็นเขาหย่อนผักและผลไม้ลงไปในย่าม เขาแน่ใจว่าต้องมีตัวอะไรสักอย่างอยู่ในย่ามนั้น เขาจึงคอยจับตามองไว้ระหว่างอัดเทปคำสวด ไม่นานเขาก็เห็นหน้าแหลมๆของสัตว์ชนิดหนึ่งโผล่ออกมา มันมองโน่นมองนี่อยู่พักหนึ่งแล้วก็หดหัวกลับลงไป”
อะผ่าจึงออกปากถามติ๊เบี่ยว่า
“พิมะที่ท่านว่ามา เขาไว้ผมยาวเกล้ามวยกลางกระหม่อมใช่ไหม”
“ผู้อาวุโสหมู่บ้านเราไว้ผมยาวเกล้ามวยด้วยกันทั้งสิ้น”
ฤดีและอะผ่ามองหน้ากัน ทั้งสองแสดงอาการดีใจเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น
เมื่อถึงตอนนี้ชดก็ลุกขึ้นและเดินไปชงกาแฟดื่มที่หลังรถโดยไม่พูดอะไร ทุกอย่างที่เขาได้เห็นและได้ยินมันช่างเหลือเชื่อและเป็นเรื่องบังเอิญจนเกินกว่าสมองของเขาจะย่อยไหว สุจาและอินญาเดินตามเขามาอย่างเงียบๆ และจัดการชงกาแฟจากนั้นยกถือไปให้อะผ่า เชน และฤดี
“ผู้เฒ่าจะดี่มกาแฟด้วยกันไหมคะ” สุจาถามติ๊เบี่ย
ติ๊เบี่ยส่ายหัวแต่จับตามองแก้วกระดาษในมือสุจาอย่างสนใจ สุจาเมื่อเห็นดังนั้นจึงเดินไปหยิบแก้วเปล่าส่งให้เขาหนึ่งใบ เขารับไปแล้วลองใช้ฟันคู่หน้าแทะดูสองสามครั้งและส่งคืนให้สุจา
“หม่าคึ!”
ติ๊เบี่ยบอกสุจาว่ามันไม่อร่อย สุจาได้ฟังก็หัวเราะ เขาหยิบขนมปังในกล่องออกมาส่งให้ติ๊เบี่ยหลายชิ้น เจ้าพังพอนรับมาถือไว้และเก็บใส่ย่าม
“เราจะเอาอย่างไรต่อไปดี หลงทางก็หลงแล้ว เข็มทิศก็ใช้ไม่ได้ กินข้าวกลางป่า นอนนับดาว เจอพังพอนพันปีขี้โม้ที่เล่าเรื่องโกหกเป็นฉากๆ จากนี้ไปจะเจออะไรอีก” ชดดื่มกาแฟแก้วที่สอง ตามด้วยขนมปังอีกจานใหญ่ “หากเจ้ามนุษย์จำแลงตัวนี้เหาะได้ผมคงไม่มีอะไรจะแปลกใจแล้ว”
สุจามองชด เขารู้ว่าชดเริ่มสับสนและหงุดหงิดกับเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ขับรถหลงทางเมื่อตอนค่ำและต้องนอนพักค้างคืนบนลานหินโล่งแจ้ง ซึ่งสร้างความเครียดเกินพออยู่แล้วเพราะเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของคณะ ไหนยังต้องพูดคุยกับติ๊เบี่ยผ่านล่าม เพราะเขาพูดภาษาอาข่าไม่ได้ นอกจากนั้นสุจายังเกือบถูกงูเห่ากัด โชคดีที่เจ้าพังพอนมาช่วยไว้ได้ทัน ซึ่งหากสุจาเป็นอะไรไป ชดคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิตที่เหลือ
“เดี๋ยวหนูจะทำอาหารมื้อเช้าและเตรียมเสบียงไว้สำหรับมื้อบ่าย เพราะไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรข้างหน้า อินญากับเชนมาช่วยอาโฮหน่อย” สุจาบอก
อินญาและเชนรีบเดินไปช่วยสุจาเตรียมอาหารเช้าและจัดเสบียง ไม่มีการพูดคุยกันมากนักแม้ว่าอินญาอยากฟังเชนอธิบายเรื่องที่เขารู้ได้อย่างไรว่าติ๊เบี่ยจะมีหูมีหางโผล่ออกมา แต่สุจาทำท่าบอกหนุ่มสาวทั้งสองว่าตอนนี้ชดกำลังใช้ความคิด ขอให้อยู่กันเงียบๆสักพัก ส่วนอะผ่าใช้เวลาตรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องยนต์รถโฟร์วีล ฤดีกับชดหันหน้าปรึกษากันที่ด้านหนึ่งห่างออกไป
“เราจะไว้ใจไอ้เจ้านั่นได้ไหม สิ่งที่เขาบอกพวกเราช่างกลับกลอก มาทำท่าหลอกว่าเป็นชาวอาข่า เอาไปเอามากลายเป็นพังพอนไปเสียฉิบ ถามอะไรก็โม้ออกมายืดยาวราวกับเล่านิยาย เอาประวัติศาสตร์มาอ้างยังไม่พอ ยังต่อด้วยเรื่องลูกไฟจากฟ้าที่ตกลงมาในป่าใกล้หมู่บ้าน คือผมคิดว่าเขาเป็นสัตว์ผีสิงอะไรสักอย่างเหมือนหมาจิ้งจอก เจ้าเล่ห์เพทุบาย แถมเจออะไรที่ถูกใจก็จับยัดลงย่ามหมด”
“แต่สิ่งที่เขาบอกมาก็น่าคิดนะคะ คุณชด ที่ว่าเขามาจากหมู่บ้านริมธารหลังน้ำตก กลุ่มผู้อาวุโสส่งเขามานำทางพวกเราไป แต่เรายังไม่ได้ถามเขาว่ามันเรื่องอะไรกัน”
“มีเรื่องที่ต้องถามเขาเยอะแยะไปหมด เสียดายที่ผมพูดภาษาอาข่าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผมจะซักเขาให้ละเอียดกว่านี้” ชดถอนหายใจ
“เรามีสุจาและอะผ่าสองคนนี้ก็ช่วยเราได้มากแล้วค่ะ ฉันเองก็พอเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่ยอมรับว่าฟังยากจริงๆ ทั้งสำเนียง ทั้งการใช้ภาษา หลายคำที่เขาพูดมาฉันไม่เข้าใจเลย” ฤดีเหลียวมองไปที่ติ๊เบี่ย ตอนนี้เขาหงายหลังลงนอนบนลานหินและหลับตา “เขาบอกว่าออกเดินทางจากหมู่บ้านหลังจากเห็นไฟจากตะเกียงเจ้าพายุและมาถึงนี่เมื่อตอนใกล้รุ่ง คงจะเหนื่อยมาก แถมยังกระโจนไปสู้กับงูเห่าอีก”
ชดมองตามสายตาของฤดีและนึกภาพเจ้าพังพอนที่กระโจนแผล็วเข้างับคองูเห่าอย่างกล้าหาญ เขาส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ
“ผมไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ นี่มันเพิ่งคืนแรกของการเดินทาง จากนี้ไปเราจะเจออะไรกันอีก” เขาพูดซ้ำอย่างขัดข้องใจ
“คุณชดคะ โลกนี้มีสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่รอบตัวเรา จริงๆแล้วธรรมชาติเองก็เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ ต้นไม้สูงใหญ่เติบโตขึ้นมาจากเมล็ดพันธุ์เล็กๆ มนุษย์เราเองก็เถอะที่แม้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เจริญก้าวหน้าขนาดไหนก็ไม่อาจรู้ที่มาของตนเอง คนบางพวกเชื่อว่ามนุษย์คนแรกมาจากชายหญิงคู่หนึ่งที่ถูกขับไล่ออกมาจากสวรรค์ ความเชื่อของคนอีกพวกหนึ่งบอกว่ามนุษย์เกิดมาจากการที่เทวดาลงมากินของสกปรกบนพื้นดินแล้วเหาะกลับวิมานไม่ได้ นักวิชาการสมัยเก่าบอกว่ามนุษย์กลายพันธุ์มาจากลิง คนบางกลุ่มกลับเชื่อว่าพวกเรามาจากดาวดวงอื่น สารพัดที่สรรหามาบอกกล่าวในเรื่องของตัวเราที่ไม่มีใครรู้
“เรื่องเล่าของติ๊เบี่ยและสิ่งที่เราจะพบเจอต่อไป ฉันมองว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับที่ผีเสื้อโตมาจากหนอน ไม่ใช่เรื่องอภินิหาริย์หรือแฟนตาซี แต่ เอ่อ แค่เหนือความคาดหมายไปหน่อยเท่านั้น คุณชดคงเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดนะคะ”
ฤดีจบคำพูดของเธอและยกถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่ม ชดส่ายหน้าและกล่าว
“ผมทำใจไม่ได้ว่าต้องมาพบเจอเรื่องพวกนี้ แต่ผมอยากบอกคุณว่าผมดีใจที่พวกเราขณะนี้ยังปลอดภัย เราผ่านค่ำคืนที่นอนกลางลานหินกันด้วยดี และโชคดีที่สุจาไม่ถูกงูกัด คราวหลังพวกผู้หญิงหากปวดท้อง ไม่ต้องเดินไปหลังต้นไม้ นั่งยองๆ เห็นหน้ากันแบบส้วมคนจีนสมัยก่อนก็สนุกดี” ชดพยายามปรับสภาพจิตใจเขาให้หงุดหงิดน้อยลง “เราไปกินข้าวกันดีกว่า สุจายกอาหารไปวางแล้ว”
ชดและฤดีเดินไปนั่งบนเสื่อ
“เราจะชวนผู้เฒ่าติ๊เบี่ยมานั่งกินด้วยดีไหมคะพี่ชด” สุจาถามความเห็น
“ลองชวนดูก็ได้ แต่ผมว่าเขาคงไม่มา หาอะไรให้เขานั่งกินตรงนั้นแหละ” ชดเสียงอ่อนเมื่อเห็นท่าทีของสุจาที่สำนึกบุญคุณติ๊เบี่ยและไม่รังเกียจว่าเขาเป็นพังพอน
สุจาเดินไปก้มดูชายร่างเล็กที่นอนหลับตา
“โถ คงเหนื่อยตอบคำถาม” สุจารำพึง เขาเดินกลับมาและยกอาหารจานหนึ่งไปวางข้างตัวผู้เฒ่าพังพอนพร้อมตะเกียบหนึ่งคู่
“ดีนะคะที่เราซื้อเสบียงมาเยอะแยะเตรียมเอาไว้ไปฝากชาวบ้านผาแดง ไปๆมาๆ พวกเราได้กินเองมื้อที่สองแล้ว และยังทำใส่กล่องไว้กินตอนบ่ายได้อีกมื้อ หากเราถึงหมู่บ้านริมธารแล้ว อาหารที่เหลือคงได้ทำกินมื้อต่อไปและมีเผื่อแผ่ชาวบ้าน” ฤดีชวนชดคุย เชน อินญา อะผ่า และสุจา เข้ามานั่งกันครบแล้ว
“ขอบคุณมากนะสุจาที่เหน็ดเหนื่อยทำอาหารให้พวกเรา แถมยังเป็นล่ามที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย อะผ่าอีกคน” ชดตบหลังมือสุจาและพยักหน้าให้อะผ่า
“ใช่ค่ะ อินญาก็ขอขอบคุณอาโฮสุจามากที่ทำอาหารให้อินญาได้กิน และช่วยเป็นล่ามแปลภาษาให้อินญารู้เรื่องอย่างละเอียด” หญิงสาวจุ๊บแก้มสุจาหนึ่งที
“ผมก็ช่วยเป็นล่ามด้วยนะ” อะผ่าพูดยิ้มๆและใช้นิ้วชี้แก้มตนเอง
“อินญาขอบคุณอะผ่าหลายเรื่อง ฝากเชนหอมแก้มอะผ่าสองข้างเลยค่ะ” อินญาบอกด้วยดวงตาพริบพราว อะผ่ารีบเอามือปัดป้องเมื่อเชนแกล้งยื่นจมูกไปใกล้ ทุกคนหัวเราะออกมา
จากนั้นมื้ออาหารเช้าก็เริ่มขึ้น
“เชน มีอยู่เรื่องหนึ่งนะที่อินญาอยากรู้ เธอรู้ได้อย่างไรว่าผู้เฒ่าพังพอนจะมีหูมีหางโผล่ออกมาจากเสื้อผ้าเขา และรู้ได้อย่างไรว่าเขาชอบกินแครอท”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารและถามเชน มันเป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ เชนตักข้าวผัดเข้าปากสองสามคำก่อนอธิบายอย่างละเอียดว่า
“อย่างที่อินญารู้และที่ผมเคยเล่าให้ทุกคนฟังแล้วเมื่อตอนบ่ายวันที่ฝังศพคุณโนอาห์ว่าผมมาจากชนเผ่านกฟ้า ตระกูลผมเป็นโวไวดาซึ่งทำหน้าที่คล้ายพิมะและญิผ่าของชาวอาข่า ซึ่งเป็นงานสืบทอดต่อกันมาหลายสิบชั่วคนตั้งแต่ก่อนสมัยที่เราอพยพสู่ทวีปใหม่ บรรดาบรรพบุรุษของผมต่างมีเวทมนตร์ที่นำมาใช้เพื่อช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ให้รอดและเพื่อทำลายล้างศัตรู มีสัตว์หลายชนิดที่ใกล้ชิดกับพวกเรา เช่น หมีป่า กวาง สุนัขจิ้งจอก นกอินทรีซึ่งก็คือนกฟ้าสัญลักษณ์ชนเผ่าของผม”
เชนตักข้าวผัดใส่ปากอีกสองคำรวด เขาเคี้ยวแล้วพูดต่อ
“ในสมัยโบราณสัตว์เหล่านี้แปลงร่างเป็นคนได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งจากอาคมที่เราเสกและสักไว้ตามตัวพวกมัน ในทางกลับกันพวกเราบางคนก็สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อเล็ดลอดไปสืบข่าวในค่ายของศัตรู ซึ่งในขณะที่สายลับของเราอยู่ในร่างสัตว์ พวกเขาก็มีสัญชาตญาณแบบสัตว์ เมื่อเสร็จภารกิจและกลับร่างมาเป็นมนุษย์แล้วบางครั้งสัญชาตญาณสัตว์ยังคงอยู่ ทำให้มีสันดานแบบสัตว์สืบต่อมาจนถึงลูกหลาน บางคนเป็นฆาตกรเหี้ยมโหดเหมือนหมาป่า บางคนมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยเหมือนหนูที่ชอบคาบสิ่งของเข้าไปเก็บในรัง”
เชนพูดไปและกินอาหารไปอย่างไม่ขาดจังหวะ
“มีสัตว์บางชนิดหลังจากแปลงร่างเป็นคนแล้ว สมองและจิตใจได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาสูงขึ้น พวกเขาปรับอุปนิสัยและสมรรถนะให้เรียนรู้ได้เทียมเท่ามนุษย์ ในยุคนั้นมีทั้งมนุษย์แท้และมนุษย์ที่เพิ่งแปรเปลี่ยนมาจากสัตว์ อีกทั้งมีสัตว์ที่แปลงร่างเป็นคน รวมถึงสัตว์ครึ่งคนที่เป็นลูกของสัตว์ที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกัน
“พวกที่เป็นมนุษย์ไม่แท้หรือครึ่งมนุษย์เราอาจสังเกตได้จากลักษณะบางอย่างทางกายภาพของพวกเขา บางคนหูแหลม นัยน์ตายาวเฉียง บางคนมีเขี้ยวยาวกว่าธรรมดา บางคนแขนยาวขายาวผิดส่วน หรือบางคนมีหางที่เก็บซ่อนไว้ ในเรื่องอุปนิสัยของสัตว์บางชนิดที่ถ่ายทอดมาถึงรุ่นลูกหลานรุ่นหลังที่เป็นมนุษย์เกือบเต็มตัวแล้วเราก็สังเกตเห็นได้เช่นกัน บางคนดุดันนิสัยกักขฬะ บางคนเป็นนักฆ่า บางคนชอบกินเลือดสดๆ หรือกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน บางคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเห็นได้โดยไม่พลาดแม้ว่าทางร่างกายของพวกเขาจะเป็นมนุษย์ทุกประการ นั่นคือนัยน์ตาที่เรืองแสงยามกระทบแสงไฟ”
เชนชำเลืองมองติ๊เบี่ยก่อนพูดต่อ
“สำหรับผู้เฒ่าคนนี้ก็เช่นกัน ผมมองดูใบหน้าและรูปกายที่ผิดส่วน ทั้งหน้าผากกว้าง คางแหลม ตัวเล็กแกรน พันผ้าโพกซ่อนหูไว้ อุปนิสัยกล้าหาญ เห็นได้จากที่เขายืนเผชิญหน้ากับพวกเราหกคนโดยไม่หลบหลีก แววตาเรืองแสงสีเขียวของเขาทำให้ผมรู้ได้ว่าเขาเป็นสัตว์ แต่เชื่อว่าเขาไม่เป็นอันตราย เพราะหากเขาชั่วร้ายป่านนี้พวกเราคนใดคนหนึ่งคงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้ว เพราะเมื่อคืนนี้พวกเรานอนอยู่กลางแจ้งไม่มีเกราะกำบังนอกจากรถสองคันขนาบซ้ายขวา
“ผมจึงลงความเห็นว่าเขาเป็นสัตว์ที่พัฒนาตนและจิตใจมาเป็นเวลายาวนานจนสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ เห็นได้จากเขามีความจำเป็นเลิศ สามารถถ่ายทอดคำสวดคำสอนจากพิมะผู้เลี้ยงดูเขาให้พวกเราฟังราวกับกำลังอ่านหนังสือ แถมยังเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ภายในของชาวหมู่บ้านริมธารได้อย่างน่าสนใจ
“ครั้งแรกผมเดาไม่ออกว่าเขาเป็นสัตว์ประเภทไหน โดยเฉพาะเมื่อเห็นเขาเอาเข็มทิศอินญาใส่กระเป๋าหน้าตาเฉย ผมคิดว่าเขาเป็นพวกหนูหรือกระรอกที่ชอบเก็บสะสมของต่างๆไว้ในโพรง ผมจึงบอกให้อินญาสังเกตดูหากหูและหางของเขาโผล่มา ซึ่งผมก็เห็นทั้งสองอย่างแต่ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงหวีดร้องขึ้น ผมเหลียวไปดูทางต้นเสียง หันมาอีกทีก็เห็นแต่เสื้อผ้ากับย่ามกองไว้ จากนั้นเมื่อรู้ว่ามีพังพอนไปกัดงูเห่า ผมจึงแน่ใจ
“ส่วนเรื่องที่ผมเอาแครอทไปแลกเข็มทิศอินญากลับคืนมาได้นั้น ผมรู้ว่าเขากำลังหิวเพราะเดินทางจากหมู่บ้านมาหลายชั่วโมง ความจริงผักหรือผลไม้อื่นๆเขาก็กินได้ แต่ผมเห็นว่าแครอทสีสวยยั่วน้ำลายดี เรื่องก็มีเท่านี้แหละครับ” เชนจบการอธิบายและลุยกินอาหารต่อเพื่อให้ทันอะผ่าซึ่งตักข้าวผัดเติมสองครั้งแล้ว
ทุกคนนั่งเงียบเมื่อเชนพูดจบ ครู่หนึ่งอะผ่าก็เอ่ยว่า
“อันที่จริงแล้วผมชอบผู้เฒ่าพังพอนนะครับ เพราะเขามีเรื่องเล่าน่าสนใจที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน แม้ภาษาของเขาจะฟังยากราวกับภาษาอาข่าโบราณ อีกทั้งเขาพร้อมจะตอบคำถามของเราอย่างเป็นมิตร ไม่มีคำบ่นว่าหรือโต้แย้ง”
“ผมเองไม่ได้รังเกียจเขาหรอกนะ” ชดเอ่ยเสียงอ่อน “ผมแค่กังวลอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร มาทำไมแต่มืด มาดีหรือมาร้าย เพราะผมเป็นห่วงชีวิตของพวกเราทุกคน ผมจำเป็นต้องทำตัวกร้าวเข้าไว้เพื่อตัดไม้ข่มนาม แต่พอฟังที่เชนอธิบาย ผมก็เข้าใจอะไรได้ดีขึ้น แม้ว่าจะไม่ทั้งหมด ภารกิจของเรายังเพิ่งเริ่ม ดังนั้นมาช่วยกันคิดกันดีกว่าว่าเราควรทำอะไรต่อไปหลังอาหารเช้า” ชดจบคำพูดของเขาพร้อมกับยกขวดน้ำประจำตัวขึ้นดื่ม