ข่านลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นแล้วเดินออกจากพลับพลาไปหาจิมุ่ยและจิเม้าว์ที่ถูกล่ามขาไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่ พวกทหารทั้งหลายลุกตามออกไปเพื่อคุ้มกัน ข่านเข้าไปเจรจากับช้างเด็กทั้งสองครู่หนึ่งผ่านล่าม แล้วก็ได้ข้อตกลงว่าพวกเราทั้งแปดต้องเป็นตัวประกันอยู่ในค่าย โดยที่พวกเขาจะนำจิมุ่ยกับจิเม้าว์ไปใช้งานจนเสร็จศึก
‘ถ้าอย่างนั้นเราจะขอต่อรอง’
บูแซะเปิดการเจรจารอบสอง ซึ่งยิ่งเจรจาพวกเราก็ยิ่งเสียเปรียบ และในที่สุดเมื่อจบการเจรจารอบสุดท้าย พวกเราก็กลายเป็นทาสต้องแบกหามเสบียง ญิผ่าผู้ปกปิดความงามของนางไว้โดยนุ่งห่มผ้าเก่าขาดและใช้ดินโคลนพอกหน้าก็ต้องทำงานหุงหาอาหารเลี้ยงเหล่าทหารที่ออกรบ ส่วนจิเม้าว์และจิมุ่ยไม่ยอมพูดภาษาคนอีกต่อไปหลังจากเสียรู้ข่านและล่ามเจ้าเล่ห์แสนกลจนพวกเราทั้งหมดถูกจับไปเป็นทาสแรงงาน
“ช้างดึกดำบรรพ์วัยเด็กทั้งสองถูกบังคับให้ชักลากเครื่องยิงโบราณที่มีน้ำหนักมหาศาลพร้อมด้วยกระสุนหินขึ้นเขาไปลูกแล้วลูกเล่าเพื่อถล่มกำแพงที่เจ้าอาณาจักรใหญ่สร้างไว้ป้องกันชายแดน พวกเราทั้งแปดต้องเดินทางไปกับกองทหารของคนเถื่อนเป็นเวลาถึงสองปี
“และแล้วข่านองค์นี้ก็บุกถล่มกำแพงใหญ่ด้านหนึ่งลงได้และพากองทหารอันเกรียงไกรเข้าไปถึงพระราชวังใหญ่ของเมืองหลวงและตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ช้างดึกดำบรรพ์เพื่อนของเราถูกขังไว้ในพระราชฐานเพื่อใช้ออกศึกในคราวต่อไป พวกเราแปดคนถูกปลดเป็นไพร่ทำหน้าที่ดูแลให้อาหารสัตว์พาหนะในโรงเลี้ยง จิมุ่ยและจิเม้าว์ยังปิดปากเงียบไม่ยอมพูดคุยสิ่งใดอีกแม้แต่กับเรา
“แล้ววันหนึ่งองค์จักรพรรดิข่านก็ล้มป่วยด้วยโรคร้ายที่ทำลายอวัยวะภายใน แพทย์หลวงนับสิบเรียงหน้ากันมาถวายโอสถแต่ไม่มีใครรักษาได้ จึงมีประกาศเรียกหมอต่างๆจากมณฑลน้อยใหญ่ให้เข้ามาในวังหลวงโดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากใครสามารถเยียวยาองค์จักรพรรดิ์ให้หายขาดจากโรคที่กำเริบ นายแพทย์ผู้นั้นจะได้รางวัลเป็นทองคำสิบกระสอบ แต่ถ้ารักษาไม่หาย หมอเหล่านั้นต้องถูกประหาร
“พวกเราเห็นหมอใหญ่จากทุกมณฑลเดินเข้าพระราชวังมาแล้วไม่มีใครกลับออกไป ในที่สุดญิผ่าก็บอกทหารหลวงว่านางสามารถเยียวยาอาการป่วยขององค์จักรพรรดิได้ นางยินดีถวายชีวิตหากการรักษาไม่เป็นผล
“องค์จักรพรรดิข่านเมื่อทรงทราบก็เรียกนางให้ไปรักษา ญิผ่าเตรียมผอบใส่เลือดสีขาวขุ่นโชยกลิ่นสมุนไพรหอมที่หยาดหยดจากปลายนิ้วของนางและเดินทางเข้าไปในวังหลวง นางปกคลุมใบหน้าและร่างกายที่สูงสง่าอย่างมิดชิดมิให้ผู้ใดได้เห็นเค้าความงาม...
“นางให้องค์จักรพรรดิดื่มยาเพียงหนึ่งหยด เพียงไม่นานเขาก็ฟื้นจากอาการป่วย จากนั้นเขาเรียกนางให้เข้าไปที่ท้องพระโรงและให้มหาดเล็กขนทองคำสิบกระสอบมารอมอบให้ ญิผ่าบอกเขาว่านางไม่ต้องการทรัพย์สินสิ่งใด ขอเพียงแต่ปล่อยพวกเราเจ็ดคนรวมทั้งนางให้เป็นอิสระและปล่อยช้างดึกดำบรรพ์สองตัวนั้นให้เดินทางออกนอกมณฑล...
“องค์จักรพรรดิข่านบอกนางว่าเขายินดีปล่อยทาสทั้งเจ็ดรวมทั้งตัวนางให้ไปตามทางที่ต้องการพร้อมทั้งจะมอบทองคำให้สิบกระสอบตามสัญญา แต่ช้างดึกดำบรรพ์สองตัวนี้เขาขอยึดไว้เป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับประดับเกียรติยศและเพื่อนำไปใช้ในการศึก
“ญิผ่าเมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกว่า
‘ตัวยาที่ข้ารักษาท่านข่านไปนั้นออกฤทธิ์เพียงสามวันครึ่ง หากเลยกำหนดนี้ไปท่านจะถึงแก่ความตาย ท่านโปรดมอบอิสรภาพให้เราและช้างทั้งสอง แล้วข้าจะมอบตัวยาที่เหลือให้ท่านดื่ม หลังจากนั้นท่านจะมีอายุยืนยาวไปจนชราภาพ แต่หากท่านไปก่อสงครามที่ไหนอีก ยานี้จะออกฤทธิ์เป็นพิษให้ท่านได้รับความทรมาน’
‘อ้อ อย่างนั้นหรือ นางตัวดี เจ้าคงลืมไปแล้วว่าพรรคพวกทั้งเจ็ดของเจ้าและช้างสองตัวนั้นอยู่ในกำมือข้า หากพรุ่งนี้ข้ามีอันเป็นไป พวกทหารจะสังหารพวกเจ้าทุกคนให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน ส่วนช้างดึกดำบรรพ์จะกลายเป็นสมบัติของโอรสข้า’ จักรพรรดิหัวร่อ แล้วตะโกนสั่ง
‘มหาดเล็ก จับนังหมอเถื่อนคนนี้ไว้ เปิดผ้าคลุมหน้ามันออก ข้าอยากเห็นว่ามันอัปลักษณ์ขนาดไหนถึงได้นุ่งห่มคลุมปิดมิดชิด แล้วจากนั้นลากตัวมันไปขังคุกมืดรอไว้สามวัน หากข้าสิ้นชีพไป ก็จงสังหารมันและพรรคพวกให้ตายช้าๆ โดยเฉือนเนื้อมันออกวันละชิ้นให้แร้งกากินจนกว่าจะหมดตัว’
“ผ้าคลุมหน้าของนางถูกมหาดเล็กคนหนึ่งกระชากเปิดออก เมื่อได้เห็นรูปโฉมแท้จริงของนาง ทั้งจักรพรรดิและทหารมหาดเล็กที่อยู่ในท้องพระโรงถึงกับตกตะลึงด้วยผิดคาด องค์ประมุขยืนนิ่งเป็นครู่ใหญ่ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งบนบัลลังก์
‘ข้าเปลี่ยนใจแล้ว!’
จักรพรรดิเอี้ยวร่างสูงใหญ่ตะโกนสั่งหัวหน้านางในที่ยืนแอบอยู่หลังม่านด้านหลัง
‘เอาตัวนางไปขังไว้ในพระราชฐานชั้นใน แล้วพวกเจ้าจงไปจับเอาคนทั้งเจ็ดผู้เป็นพรรคพวกของนางมาไว้เป็นตัวประกัน ให้ทหารสามกองพันไปล่ามช้างดึกดำบรรพ์ตรึงขาทั้งสี่ไว้กับเสาใหญ่ให้แน่นหนา อ้อ อย่าลืมให้นางแม่หมอผู้นี้อาบน้ำนมแล้วประพรมของหอม จัดหาเสื้อผ้าเนื้อละเอียดให้นางสวมใส่พร้อมเครื่องประดับ’
พูดจบเขาหันกลับมาประกาศก้องท้องพระโรง
‘ข้าจะไปเจรจากับนางในค่ำวันนี้เพื่อให้นางมอบตัวยาที่เหลือ’ องค์จักรพรรดิอดีตข่านของเหล่าอนารยชนปิดการประชุมด้วยแววตาที่คุโชนด้วยไฟราคะ
“ตกค่ำหลังจากเสพอาหารและสุราจนเต็มคราบ องค์จักรพรรดิเดินอาดๆ เข้าไปในห้องที่มีทหารยามยืนเฝ้าอย่างแน่นหนา เขาตรงรี่ไปที่เตียงซึ่งมีร่างหนึ่งนั่งหันหลังให้แล้วยื่นมือออกไปสัมผัส ทันใดนั้นเขาก็แผดเสียงร้องไม่เป็นภาษาและล้มลงบนพื้น เหล่าทหารวิ่งพรูเข้ามา ทุกคนเห็นภาพที่น่าสยดสยอง ผิวหนังตามร่างกายอ้วนใหญ่ของพระราชากลับกลายเป็นเปลือกไม้ขรุขระมียางสีน้ำตาลไหลออกมาจนชุ่ม นิ้วทั้งสิบเปลี่ยนเป็นกิ่งไม้แห้งแตกเปราะ นัยน์ตาเหลือกลานและหายใจหอบถี่
“ญิผ่าลุกขึ้นจากที่นั่ง นางยืดกายยืนค้ำองค์จักรพรรดิที่กำลังกลายร่างเป็นต้นไม้แห้งและพูดกับเขาว่า
‘อีกไม่กี่อึดใจท่านจะกลายเป็นซากไม้ซุง’
นางชูผอบหนึ่งขึ้นให้เขาเห็น
‘นี่คือยาที่จะรักษาให้ท่านกลับสู่สภาพเดิมและจะอยู่ไปจนสิ้นอายุขัย โปรดสั่งทหารให้ปล่อยพวกเราและช้างสองตัวนั้นเดี๋ยวนี้หากท่านยังรักชีวิต ท่านมีโอกาสอีกเพียงสามลมหายใจ’
องค์จักรพรรดิพยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อผู้เป็นญิผ่ามองเห็นเช่นนั้นแล้ว นางก็คุกเข่าลง เปิดผอบ และหยดยาเข้าไปในปากเขา ครู่หนึ่งร่างกายที่กำลังกลายเป็นต้นไม้ก็กลับสู่สภาพเดิม
‘ข้าขอบใจเจ้า นางแม่หมอ’ ชายร่างอ้วนใหญ่กล่าวพลางโซเซลุกขึ้น เขาหันไปสั่งนายทหาร ‘พวกเจ้าจงไปปลดปล่อยสหายทั้งเจ็ดของนางและช้างทั้งสอง’
“นายทหารสองคนตบเท้าออกไปจากห้อง จากนั้นญิผ่าทำการเจรจากับองค์จักรพรรดิอยู่ครู่หนึ่งแล้วนางก็เดินออกมาจากพระราชฐานโดยมีทหารวังไปส่งจนถึงที่พัก
“สามวันต่อมานางและพวกข้าก็ออกเดินทางบนหลังจิมุ่ยและจิเม้าว์ ในห้วงเวลานั้นอาณาจักรขององค์จักรพรรดิก่อศึกอยู่รอบทิศ อดีตข่านผู้มีเล่ห์กลได้จัดการให้เราเข้าร่วมขบวนราชทูตที่กำลังเดินทางสู่ทิศใต้เป็นขบวนใหญ่และมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัย
“ซึ่งเรื่องราวหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลาหกร้อยปี นางผู้รู้ศาสตร์แห่งการเยียวยาจะได้สาธยายต่อไปเมื่อพวกเรากินอาหารมื้อค่ำกันอิ่มหนำสำราญแล้ว และหากท่านมีคำถามตกค้างหรือเรื่องสงสัยอันใดก็เก็บไว้พูดคุยกันภายหลังได้”
ผู้อาวุโสจบการเล่าประวัติของพวกเขาเจ็ดคนท่ามกลางความเงียบของผู้มาเยือน
“ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจทั้งสิ้นทุกสิ่งที่ท่านเล่า”
ชดเอ่ยและหันไปดูหน้าฤดี อินญา อะผ่า เชน และสุจา ทุกคนพยักหน้ายอมรับและถอนหายใจออกมา
“ชีวิตเป็นสิ่งลี้ลับ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ท่านจะได้รู้ในค่ำคืนนี้ เดี๋ยวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันให้สบายตัวกันก่อนดีกว่านะ พวกท่านเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าและนอนในที่ลำบากยามค่ำคืน อีกทั้งถูกเจ้าติ๊เบี่ยหลอกให้หัวปั่นมาตลอดทาง” พิมะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบพระคุณมากค่ะ พวกดิฉันไม่ได้อาบน้ำกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ หากส่งกลิ่นตุๆออกไปต้องขออภัยด้วยนะคะ” สุจากล่าว
“พวกท่านพักผ่อนกันที่เรือนหลังนี้ก็แล้วกัน ฝ่ายหญิงอยู่ฟากซ้าย ฝ่ายชายอยู่ฟากขวา ห้องน้ำห้องท่าอยู่ด้านหลัง หรือหากท่านอยากอาบน้ำในลำธารก็ตามสบาย ถ้าท่านกระหายน้ำดื่ม เรามีท่อไม้ไผ่ต่อจากลำห้วยเข้ามาถึงในบ้าน เป็นน้ำที่สะอาดใสบริสุทธิ์ แม้หลังจากที่ลูกไฟมาตกที่หุบเขา พวกข้าจะระแวงว่ามันอาจทำให้น้ำดื่มของเราเป็นพิษ แต่ผู้อาวุโสญิผ่ารับรองว่าน้ำนี้ยังใช้ดื่มได้”
ผู้มาเยือนทั้งหกหันไปมองญิผ่าผู้มีรูปร่างสูงสง่าใบหน้างดงาม นางนั่งสงบเสงี่ยมไม่แสดงท่าทีอวดวิชาหรือทำท่าว่าเป็นคนสำคัญ ซึ่งยิ่งทำให้นางน่านับถือ
“เอาละ เชิญพวกท่านตามสบาย พวกเราจะกลับไปจัดการธุระที่บ้านซึ่งอยู่ถัดท่านไปคนละหลัง” เจิ่วมะพูด
ชดและผู้ร่วมเดินทางต่างลุกขึ้น
“เดี๋ยวพวกผมจะไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าจากรถนะครับ” ชดพูด
“มีอาหารสดและผลไม้หลายอย่างที่เราจะเอามาร่วมแบ่งปันกับพวกท่านค่ะ” สุจาพูด
พวกเขาทั้งหกออกจากห้องแล้วลงบันได จากนั้นเดินไปยังรถที่จอดอยู่บนลานดินหน้าหมู่บ้าน เสียงพูดคุยหยอกเย้าดังมาขณะที่กลิ่นหอมหวนของอาหารที่ชายหนุ่มหญิงสาวชาวอาข่ากำลังจัดเตรียม พวกเขาโบกมือและยิ้มให้แขกแปลกหน้า สุจาและอะผ่าโบกมือตอบและทักทาย
เมื่อไปถึงรถ ทุกคนยกกระเป๋าเดินทางของตนลงมา สุจา อินญา อะผ่าและเชนช่วยกันยกอาหารสดและผลไม้ที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานเอาไปให้ชาวบ้านหนุ่มสาวที่กำลังช่วยกันประกอบอาหารแล้วพูดจากันด้วยท่าทีเป็นมิตร จากนั้นผู้มาเยือนขอตัวไปอาบน้ำชำระคราบไคลให้สะอาดหมดจด
ชด อะผ่า และเชนนำกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปไว้ในห้องด้านขวา ซึ่งก็คือห้องที่พวกเขานั่งพูดคุยกันตลอดสามชั่วโมงที่ผ่านมาแต่ขณะนี้บรรดาผู้อาวุโสต่างลุกออกไปหมดแล้ว มีฟูก หมอน และผ้าห่มสะอาดสะอ้านสามชุดวางไว้ที่มุมหนึ่ง
สุจา อินญา และฤดีพักรวมกันที่ห้องด้านซ้ายซึ่งมีขนาดเดียวกับห้องด้านขวา มีผ้าห่ม ฟูก และหมอนสามชุดวางไว้ให้เช่นเดียวกัน
จากนั้นทุกคนลงไปอาบน้ำที่ริมธารหน้าบ้านพัก เวลาขณะนั้นหกโมงครึ่ง แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สลัวลง กลิ่นดอกไม้ป่าโชยผสมผสานกับกลิ่นสมุนไพรที่ลอยมาจากบ้านติดกับพวกเขา
“ผมเดาว่าญิผ่าอยู่บ้านหลังนี้” เชนบอกอินญาที่กำลังเริงร่าว่ายน้ำในลำธารอย่างชุ่มฉ่ำใจ
“เพราะว่ากลิ่นกายนางที่เตะจมูกเธออยู่ใช่ไหมจ๊ะ”
สุจามองเชนอย่างรู้ทัน ทั้งสองว่ายน้ำตามกันไป น้ำที่เย็นฉ่ำทำให้พวกเขารู้สึกอยากจะหยุดกาลเวลาไว้
“ครับ ผมสังเกตตั้งแต่เราขึ้นไปนั่ง มีกลิ่นสมุนไพรบางอย่างอวลอยู่ แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือมันเป็นกลิ่นที่ผมคุ้นเคย” เชนพูดพลางสะบัดผมยาวของเขาจนน้ำกระจาย
“เธอเคยได้กลิ่นนี้มาก่อนหรือ” อินญาถามอย่างแปลกใจ สุจาว่ายน้ำมาใกล้เชนอย่างต้องการรู้คำตอบ
“ตอนแรกผมนึกว่าเป็นกลิ่นจากเครื่องรางนี้” เชนชี้ที่เครื่องประดับไม้หินสีคล้ำเข้มรูปทรงครึ่งวงกลมที่เขาห้อยคอไว้
“แต่เมื่อมองไปรอบๆ ผมจึงรู้ว่าทุกคนก็ได้กลิ่นนี้ด้วยเพราะผมได้ยินเสียงอินญากับอาโฮสุจาซุบซิบกัน” เชนถอดสายสร้อยส่งให้อินญาและสุจาดู
“จี้ชิ้นนี้เป็นสิ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษคนแรกของตระกูลโวไวดา พ่อของผมได้รับมาจากปู่เมื่อครั้งที่เขายังเล็กเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเขาจะต้องเป็นโวไวดาคนต่อไป และเมื่อมาถึงรุ่นผม พ่อก็ทำพิธีบอกกล่าวบรรพบุรุษและมอบของสิ่งนี้ให้ตั้งแต่ผมอายุสิบขวบ”
“โอ้โห” สุจาอุทาน
อะผ่าลอยตัวเข้ามารวมกลุ่มกับบุคคลทั้งสาม ขณะที่ชดและฤดียังนั่งพักผ่อนที่ริมท่าน้ำ
“มันเป็นหินเกิดจากไม้ หรือพูดอีกอย่างว่ามันคือไม้ที่กลายเป็นหินที่เราเรียกกันว่าฟอสซิล เครื่องรางชิ้นนี้เป็นแก่นของไม้สนหอมต้นหนึ่ง อายุของมันไม่มีใครประมาณได้ ปู่ของผมบอกว่ามันเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดของตระกูลเรา แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะบอกหรอกนะครับ อาโฮสุจา เรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่เมื่อกี้คือกลิ่นสมุนไพร อาโฮลองดมดูนะครับว่าได้กลิ่นอะไร” เชนกล่าว ใบหน้าของเขาสว่างพราวด้วยความภูมิใจในสมบัติของครอบครัว
สุจาถือสร้อยคอนั้นไว้ด้วยความระมัดระวังด้วยเกรงว่าจะทำมันตกน้ำ เขายกจี้ไม้หินชิ้นนั้นจ่อที่จมูกและสูดลมเข้าไป
“โอ้แม่เจ้า นี่เป็นกลิ่นเดียวกับที่อวลอยู่ในห้องฝั่งขวาที่เรานั่งกันอยู่เมื่อครู่”
สุจาอุทานแล้วส่งสร้อยคอนั้นให้อินญาผู้รับไปคล้องแขนเพื่อกันหล่น หญิงสาวยกจี้รูปครึ่งวงกลมขึ้นแตะจมูกแล้วอุทานว่า
“เชน มันมีกลิ่นอย่างนี้ตลอดเวลาเลยหรือ”
“ใช่แล้วอินญา หากยกขึ้นแตะจมูกเราจะได้กลิ่นจางๆ จากเนื้อหิน มันเป็นของเก่าแก่ผ่านยุคสมัยต่างๆมานับไม่ถ้วน ส่งผ่านจากมือต้นตระกูลคนแรกของผม มันมีประวัติยาวนานหากจะเล่าต้องใช้เวลานาน เอาไว้มีโอกาสเหมาะผมจะเล่าให้ฟังนะครับ”
เชนตอบยิ้มๆ แล้วรับสร้อยจากมืออินญากลับมาสวมคออย่างเดิม
“ไหนขอผมดมบ้าง ไม่ต้องถอดออกจากคอนะ” อะผ่าทำท่าโผเข้าไปใกล้เชนผู้ถีบตัวถอยห่างออกไปอย่างเร็วรี่จนน้ำแตกกระจาย เขาหันมาตะโกนว่า
“ทำไมไม่ไปดมตอนอินญาถืออยู่ในมือล่ะ”
ทุกคนหัวเราะออกมา อะผ่ามองอินญาซึ่งสีหน้าอันเบิกบานของเธอทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง ผมสีส้มอมแดงส่องประกาย ขนตายาวเป็นปึกคู่นั้นเหมือนจะอุ้มหยดน้ำใสไว้ได้หนึ่งช้อนชา
เมื่อทุกคนอาบน้ำชำระกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วต่างเดินลงจากบ้านไปยังลานใหญ่ที่พวกเขาจอดรถไว้ ชดถือคบไฟที่บะจีนำมาให้เดินออกหน้า
อาหารค่ำกำลังจะเริ่มขึ้นในหมู่บ้านริมธารหลังน้ำตกแห่งภูผาสีดำ