คะมาคนที่หนึ่งผงกศีรษะรับและออกเสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยคำ
“เมื่อพวกเราฟื้นฟูร่างกายจนเนื้อหนังกลับคืนมาได้ส่วนหนึ่ง นางผู้ชุบชีวิตก็เย็บเสื้อผ้าให้พวกเรานุ่งห่ม เพราะของเดิมที่ติดตัวมานั้นเปื่อยยุ่ยสลายไปไม่มีชิ้นดี ไม่นานพวกเราก็ออกปากถาม
‘ท่านผู้มีพระคุณพอรู้ไหม พวกเราตายมาแล้วกี่ปี’
“นางบอกว่าดูจากสภาพของร่างกายภายใต้กระโจมหนังที่คลุมร่างไว้ นางประเมินว่าพวกเราหมดสิ้นลมหายใจมาแล้วสองพันปี และเมื่อพิจารณาลวดลายปักที่พบในเศษผ้าทอผืนเก่า มันเป็นฝีมือของชาวอาข่าโบราณผู้อาศัยอยู่ในแคว้นทิศตะวันตกของทะเลทรายแห่งความตาย นางอธิบายว่าแว่นแคว้นแห่งนั้นถูกยึดครองโดยจักพรรดิของอาณาจักรใหญ่ผู้แผ่ขยายอาณาเขตไปทุกทิศ บัดนี้พวกเขาเริ่มก่อสร้างกำแพงใหญ่มหึมาเพื่อป้องกันเหล่านักรบบนหลังม้าที่วางแผนเข้าโจมตีแผ่นดินใหญ่ เรื่องที่นางบอกนับเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเรามาก เพราะเมื่อครั้งที่เราเกิดและเติบโตในหมู่บ้าน เราไม่เคยได้ยินว่ามีจักรพรรดิองค์ใดที่สามารถรวบรวมดินแดนได้เป็นผืนเดียว
“พวกเราเพียรบำรุงเนื้อหนังร่างกายกันต่ออีกระยะ โดยที่สตรีผู้ชุบชีวิตและเยียวยาพวกเรานั้น เรายกย่องให้นางเป็น ‘ญิผ่า’”
ฤดีหลับตานึกถึงข้อความในรายงานของอะผ่าแล้วเธอก็เริ่มรู้สึกมีความหวัง
...ผู้เป็นญิผ่าแห่งหมู่บ้านนี้สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายลงแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ นางผู้มีอายุขัยอันยาวนานได้ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้มานับไม่ถ้วนด้วยเมตตา
ผีร้ายแห่งปีหนูหิวจะถูกกำจัดหากท่านเดินทางไปพบหาและขอตัวยาจากนางผู้มีกำเนิดจากพรรณไม้...
จากนั้นคะมาคนที่สองรับช่วงเล่าต่อไปว่า “ในระหว่างที่พวกเรานอนพักฟื้นอยู่ในกระโจมผ้าไหม เราได้ยินเสียงสัตว์บางชนิดส่งเสียงร้องและเล่นตึงตังอยู่รอบนอก แต่ในขณะนั้นเราไม่มีพละกำลังที่จะลุกขึ้น จึงได้แต่ฟังเสียงเดินย่ำไปมา
“แล้ววันหนึ่งมีงวงยาวโผล่ลอดเข้ามาในกระโจม ข้ามองเห็นและส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษา งวงนั้นผลุบออกไป สักเดี๋ยวหนึ่งมันก็โผล่เข้ามาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้มางวงเดียว มีงวงที่สองลอดเข้ามาอีกด้าน ข้าแผดเสียงดังกว่าเดิมจนสหายคนอื่นตื่นขึ้นจากหลับ พวกเขาถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจึงชี้ให้พวกเขาดูงวงทั้งสองที่กำลังส่ายไปทางซ้ายและย้ายไปทางขวา ครู่หนึ่งนางผู้ชุบชีวิตก็เดินเข้ามาพร้อมทั้งส่งเสียงดุ
‘เจ้าทั้งคู่ซนมากไปแล้ว อย่าเข้ามาในนี้เพราะเจ้าจะไม่มีที่นั่ง จงพากันไปเล่นกันใต้ชะง่อนหินก่อน พอถึงยามเย็นเจ้าต้องไปขนน้ำจากโอเอซิสมาให้คนไข้ของข้าได้กินได้อาบ’
“งวงทั้งสองผลุบหายไปจากกระโจม จากนั้นยามค่ำพวกเราตื่นขึ้นก็มองเห็นผลอินทผลัมและน้ำดื่มที่วางรออยู่ เราได้กินอาหารเป็นครั้งแรกหลังจากกลายเป็นซากนอนอยู่ใต้ผืนทรายมานับปีไม่ถ้วน เมื่อพลังร่างกายกลับคืนมาแล้วพวกเราก็ได้อาบน้ำที่เย็นชุ่มฉ่ำชำระคราบไคลที่หมักหมมอยู่ตามซอกเนื้อตัว
“หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าที่ญิผ่าเมตตาตัดเย็บให้แล้ว เราพากันเดินออกไปนอกกระโจมเพื่อออกกำลัง ทันใดนั้นเราก็พบสัตว์รูปร่างโตใหญ่ยืนแอบอยู่ด้านข้าง
‘ระวัง!’ เสียงบะจีตะโกนบอกเพื่อนที่เดินชนขาของสัตว์ตัวนั้นและหกล้มลงไป
‘เฮ้ย’ หน่าเหงอะร้องออกมาไม่เป็นภาษาก่อนหงายหลังก้นกระแทกพื้น
‘มันจะเหยียบเราไหม’ บูแซะละล่ำละลักถามขณะเข้าไปประคองบะจีและหน่าเหงอะ
‘เราดูท่าทีมันก่อน ตอนนี้พวกเรายังไม่มีกำลังวิ่งหนี ใครสักคนต้องเข้าไปเตือนญิผ่าว่าอย่าออกมานอกกระโจม เพราะมีสัตว์ใหญ่ยืนจังก้ารออยู่’
“มีเสียงเหมือนแตรดังมาจากด้านหลังเป็นจังหวะ สัตว์ร่างยักษ์อีกตัวเดินโยกซ้ายโยกขวาออกจากซอกหิน
‘มีสองตัว!’ เสียงคะมาตะโกน
‘มันกำลังหัวเราะ’ เจิ่วมะกระซิบ
‘หรือว่ามันขู่’ พิมะถาม
“ประตูกระโจมเปิดออกอีกครั้ง นางผู้เป็นญิผ่าของเราเดินออกมา เมื่อมองเห็นเหตุการณ์นางก็ส่ายศีรษะ
‘พวกเจ้าสองตัวเล่นซ่อนหากันอย่างนี้ เดี๋ยวกระโจมข้าก็พังหรอก’
“เราทั้งเจ็ดคนเข้าไปรวมตัวกัน จากนั้นญิผ่าก็เดินกลับเข้าไปหยิบตะเกียงออกมาส่องให้แสงสว่าง เมื่อได้เห็นรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาแปลกประหลาดของสัตว์ทั้งสองตัวนั้น พวกเราถึงกับขนลุก มันมีหัวขนาดมหึมาแต่มีดวงตาเล็กนิดเดียว หูสองข้างสะบัดโบกราวกับพัด มีเส้นขนหนาปรกโหนกหน้าผาก มีงวงยาวที่เคยโผล่เข้าไปในกระโจม มันมีร่างกายสูงใหญ่กว่าพวกเราสองเท่า ขนที่ยาวเหมือนต้นหญ้าปกคลุมทั่วตัว ขาแต่ละข้างใหญ่เท่ากับเสาบ้าน
‘มาทำความรู้จักกับเพื่อนของข้าหน่อย’ ญิผ่าบอกสัตว์ทั้งสองซึ่งยืนแกว่งงวงไปมา
‘แปร๊น!’ เสียงเล็กๆ เหมือนแตรดังออกมาจากรูปร่างสูงใหญ่ทำให้พวกเราอดหัวเราะไม่ได้
‘นี่คือช้างดึกดำบรรพ์เพศเมียที่ข้าเจอซากเมื่อหลายวันก่อนตอนที่พวกท่านยังนอนฟื้นฟูกำลังกันอยู่ ข้าชุบชีวิตมันขึ้นมา โชคดีที่อวัยวะภายนอกและภายในของสัตว์ทั้งคู่ยังอยู่ครบเช่นเดียวกับพวกท่าน’ ญิผ่าหันมาบอกเล่าให้พวกเราฟัง แล้วหันไปลูบงวงของช้างทั้งสอง ‘แม้พวกมันมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ดูท่าแล้วน่าจะเพิ่งพ้นจากวัยเด็ก เพราะดูอุปนิสัยขี้เล่นและท่าทางไร้เดียงสา วันหน้าถ้าพวกมันพัฒนาตนจนสามารถพูดภาษาของพวกท่านได้ ท่านจงสอบถามเอาเถิดว่าชาติกำเนิดดั้งเดิมของพวกมันมาจากไหน’
‘ฮ้า เป็นไปได้อย่างไรที่สัตว์จะพูดภาษาคน’ ผู้เป็นพิมะกล่าว ญิผ่ายิ้มอยู่ในหน้าและตอบด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
‘ท่านต้องเชื่อว่ามีปรากฏการณ์ธรรมชาติหลายอย่างที่ท่านนึกไม่ถึง อย่างท่านเองก็ยังสามารถฟื้นจากความตายได้ นับประสาอะไรกับการที่สัตว์จะพูดภาษาคน’
‘จริงสินะ ข้าก็ลืมคิดไป ขออภัยท่านด้วยเถิด’ พิมะตอบเมื่อได้ฟังสิ่งที่นางกล่าว
‘อีกสองสามวันเมื่อพวกท่านแข็งแรงดีแล้ว เราควรเดินทางออกจากเขตทะเลทรายก่อนมหาพายุจะพัดกลบทุกสิ่งอีกครั้ง’ ญิผ่าบอก
“สามวันจากนั้นพวกเราก็ขึ้นนั่งหลังช้างดึกดำบรรพ์ทั้งสองและเดินทางในเวลาค่ำออกจากบริเวณที่เคยฝังร่างของเรามานานถึงสองพันปี พวกเราเจ็ดคนนั่งบนหลังช้างตัวหนึ่ง ส่วนญิผ่านั่งคอช้างตัวที่สองพร้อมทั้งข้าวของต่างๆที่นางมีติดตัวมา
“ระยะเวลาสามเดือนเต็มเราทั้งแปดเดินทางจากกลางทะเลทรายมุ่งสู่ภาคเหนือซึ่งเป็นทุ่งราบกว้างใหญ่ เราแวะพักที่แหล่งน้ำเป็นครั้งคราวแล้วหาเสบียงจากต้นไม้ประเภทอินทผลัมและมะกอกบรรทุกไปด้วย ส่วนน้ำดื่มก็บรรจุลงถุงผ้าไหมห้อยไว้บนหลังช้าง...
“ขณะเดินทางเราได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆของผู้ชุบชีวิตเรา มันมหัศจรรย์เกินกว่าที่ข้าจะนึกถึง พวกท่านคงได้ฟังจากปากของนางเองหลังมื้ออาหารค่ำ”
คะมาคนที่สองกล่าวจบก็หันไปค้อมตัวให้สตรีที่นั่งสงบอยู่มุมห้อง จากนั้นเขาก็ผายมือไปยังบะจีให้เล่าเรื่องต่อไป
“ในช่วงระยะเวลาที่อยู่บนหลังช้าง พวกเราต่างพูดคุยส่งเสียงไปตามทาง สัตว์พาหนะของเราก็เงี่ยหูฟังไปโดยตลอด พอตกเดือนที่สามพวกเราได้ยินเสียงเหมือนเด็กสองคนคุยกันกระหนุงกระหนิง ข้ามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเด็กที่ไหน เห็นแต่ผืนทรายสุดลูกหูลูกตา ข้าเหลียวไปทางเจิ่วมะและคนอื่นๆ ซึ่งทำท่ามองหาเช่นเดียวกับข้า เราต่างเอียงคอฟังเสียงเด็กพูดคุยเป็นภาษาของเรา พวกเขากระซิบบอกกันว่าอีกไม่นานจะถึงทุ่งราบที่ซึ่งพวกเขาเคยอยู่อาศัยระยะหนึ่งหลังจากอพยพหลบภัยมนุษย์จากทุ่งน้ำแข็ง
‘พ่อแม่ของพวกเราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นะ’ เสียงหนึ่งพูด
‘พูดอะไรอย่างนั้น พ่อแม่ลุงป้าน้าอาของพวกเราคงต้องตายจากไปนานแล้ว’ อีกเสียงตอบ
‘ฉันจำไม่ได้เพราะสมองฉันคงหดหายไปเกินครึ่งหลังตื่นจากนอนหลับยาว’ เสียงแรกโอดครวญ
‘นอนหลับอะไรกัน นี่เธอจำไม่ได้จริงๆหรือว่าเราตายไปแล้วและเพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่นานมานี้’ เสียงที่สองถาม
‘จริงๆ หรือ แล้วเราตายและฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร เธอช่วยเล่าให้ฉันฟังได้ไหม พี่สาว’ เสียงแรกอ้อน
‘เธอเรียกฉันว่าพี่สาวได้อย่างไรในเมื่อฉันเป็นน้องเธอ’ เสียงที่สองค้าน
‘อ้าวเหรอ แล้วเธอมาเป็นน้องฉันได้อย่างไรล่ะ’ เสียงแรกสงสัย
‘เฮ้อ ฉันว่าสมองเธอกลายเป็นฝุ่นมากกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือมาก็แห้งเหี่ยว เธอต้องกินอาหารบำรุงมากๆนะพี่สาว แต่เธอไม่ต้องคิดมาก หากเธอนึกอะไรไม่ออกก็ถามฉันละกัน’ เสียงที่สองปลอบใจ ‘มา ฉันจะบอกให้ว่าเราเป็นพี่น้องกันอย่างไรแล้วทำไมเราถึงต้องไปตายกลางทะเลทราย’
“เสียงเล็กๆ คุยกันหงุงๆหงิงๆ เจิ่วมะเริ่มจับทิศทางได้ว่าเป็นเสียงจากปากสัตว์พาหนะที่เรากำลังโดยสาร” บะจีเมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ก็หันไปยิ้มหัวกับเจิ่วมะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ล่วงมา เขาเล่าต่อ
“เจิ่วมะอ้าปากค้างและทำท่าบอกให้เราเงียบ จากนั้นก็ชี้มือลงไปที่หัวช้างดึกดำบรรพ์ทั้งสอง พวกเราเริ่มเข้าใจแล้วว่าเป็นเสียงช้างเด็กคุยกัน ข้าเหลียวไปทางญิผ่า นางกำลังนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เสียงของช้างตัวหนึ่งเริ่มเล่าเรื่องราวให้ช้างอีกตัวหนึ่งฟัง
“‘...เราเกิดมาในดินแดนแห่งธารน้ำแข็ง พ่อและญาติพี่น้องผู้ชายของเราต่างมีงางอนคู่ใหญ่ยาว เธอกับฉันร่วมพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ เธอเกิดก่อนฉันไม่นานเธอจึงเป็นพี่ พวกเรามีลูกพี่ลูกน้องมากมายอีกทั้งบรรดาญาติผู้ใหญ่อยู่กันเป็นโขลงอย่างอบอุ่น
‘วันหนึ่งมีมนุษย์ผู้สวมใส่ผืนหนัง ผมเผ้ายาวรุงรัง พวกเขาถือหอกรุกไล่ฆ่าฟันสัตว์เล็กใหญ่เพื่อเอาเนื้อไปเป็นอาหาร พ่อแม่พี่ป้าน้าอาพาเราเตลิดหนีไกลออกจากทุ่งน้ำแข็งไปจนถึงทุ่งราบกว้างใหญ่และปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายปี แต่ในที่สุดโขลงช้างดึกดำบรรพ์ก็ต้องพากันหนีอีก เพราะมนุษย์ฝูงอื่นเมื่อรู้ว่ามีช้างงายาวอาศัยอยู่ในทุ่งราบ พวกเขาต้องการฆ่าพวกเราเพื่อเอางาและกระดูกไปแกะสลักเป็นอาวุธและเครื่องใช้ พ่อของเราผู้เป็นหัวหน้าฝูงยอมสละชีวิตโดยการวิ่งล่อให้เผ่ามนุษย์ตามไปที่อื่น ส่วนแม่ก็พาพวกเราและญาติพี่น้องหนีขึ้นไปบนภูเขา
‘แม้กระนั้นพวกเรายังหนีไม่พ้นภัยจากมนุษย์ใจร้ายหมู่อื่น พวกเขาขุดคูลึกและไล่ต้อนฝูงช้างให้ตกลงไปทั้งโขลง แม่และพี่ป้าน้าอาช่วยกันดันก้นเรากลับขึ้นไปและส่งเสียงไล่เราให้หนีพ้นจากน้ำมือผู้ล่า เราสองตัวซมซานกลับไปที่ทุ่งราบกว้างใหญ่ จากนั้นเราก็ถูกกลุ่มคนในกองคาราวานจับมัดเชือกล่ามให้เดินต้วมเตี้ยมตามไป พวกเขาจะนำเราไปที่อีกฟากฝั่งของทะเลทรายเพื่อมอบเป็นของขวัญให้หัวหน้าเผ่าผู้ดุร้าย
‘พวกเขาลากเราให้เดินย่ำทรายไปจนถึงโอเอซิส เมื่อกินอาหารกันอิ่มหนำแล้วผู้คนในกองคาราวานต่างนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางตรากตรำยาวนาน เธอกับฉันพยายามดิ้นรนจนเชือกขาด จากนั้นเราก็หนีกระเซอะกระเซิงไปตายเอาดาบหน้าด้วยกัน’
“เมื่อเสียงที่สองเล่ามาถึงตอนนี้ เสียงแรกก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับพูดออกมา
‘ฉันจำได้แล้วตอนนี้ที่เราต่างย่ำผืนทรายร้อนๆ จนเท้าพอง แล้วตกบ่ายพายุทรายก็พัดกระหน่ำ เราพี่น้องได้แต่คุดคู้หมอบชิดอยู่ด้วยกัน จากนั้นฉันก็หายใจไม่ออกเพราะฝุ่นทรายกลบจนมิดร่าง’
“เสียงที่สองก็สะอื้นด้วยเช่นกัน แล้วกล่าวว่า
‘เรานอนหมอบอยู่ใต้กองทรายเช่นนั้นยาวนาน แล้ววันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวพลิกร่างของพวกเราโผล่ขึ้นบนผืนทราย แล้วมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งก็ชุบชีวิตของเราให้ฟื้นขึ้น เราสองตัวกลับมาหายใจอีกครั้ง’
“เสียงแรกพูดต่อไปว่า
‘แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเราฟื้นขึ้นมาแล้วอยู่ในอ้อมอกพ่อแม่ ฉันคงมีความสุขอย่างที่สุด’
“เสียงที่สองตอบรับ
‘เธออย่าคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อแม่และลุงป้าน้าอาของเราคงไม่มีอายุยืนยาวมาถึงบัดนี้ และนี่เวลาก็ผ่านไปแล้วสองพันปี’
‘แต่เธอรู้ได้อย่างเราว่าเวลาล่วงเลยมาแล้วขนาดนั้น เราอาจแค่นอนหลับอยู่ในผืนทรายจริงๆ ก็ได้ เธอว่าไหม’ เสียงแรกถามอย่างสงสัย เสียงที่สองซึ่งพูดคล่องกว่าก็ตอบว่า
‘ฉันได้ยินพวกคนที่อยู่บนหลังของฉันเขาคุยกัน พวกเขาประสบชะตากรรมในวันเดียวกับพวกเราเมื่อสองพันปีที่แล้ว จากนั้นพวกเขาก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยสองมือของผู้หญิงสวยที่นั่งอยู่บนคอของเธอไง’ เสียงที่สองตอบ
‘ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นหนี้ชีวิตนาง’ เสียงแรกพูด
“คงจะใช่” เสียงที่สองตอบ ทันใดนั้นญิผ่าก็ใช้ฝ่ามือลูบหัวช้างน้อยที่เป็นพาหนะของนางพลางพูดปลอบ
‘พวกเจ้าทั้งสองไม่ได้เป็นหนี้ชีวิตข้า ข้าชุบชีวิตพวกเจ้าขึ้นมาเป็นเพราะข้านึกเสียดายซากร่างอันสมบูรณ์ที่ควรจะได้ลุกเดินเหินขึ้นมาได้อีกครั้ง หากเจ้าคิดอยากเป็นอิสระและแยกตัวไป ข้าไม่ห้ามเจ้า แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เผ่าพันธุ์ช้างดึกดำบรรพ์สูญพันธุ์ไปจนหมดสิ้นแล้วเนื่องจากภัยธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ที่โหดร้าย เหลือเพียงเจ้าแค่สองชีวิตซึ่งไม่อาจเข้าไปร่วมอยู่กับฝูงสัตว์อื่น หากเจ้าเดินทางร่อนเร่เตร็ดเตร่ไป พวกเจ้าก็จะถูกมนุษย์ล่าเพื่อเอาไปจัดแสดงเป็นของแปลกให้ผู้คนจ่ายเงินเพื่อเข้าชม พวกเขาจะฝึกหัดเจ้าให้ยืนขาเดียวและบังคับให้เจ้าต้องปีนป่ายเสาสูง นอกจากนั้นเจ้าจะต้องถูกล่ามโซ่เส้นใหญ่ไว้ตลอดเวลา ซึ่งน่าเสียดายนักที่เจ้าได้เกิดเป็นครั้งที่สองแต่ต้องไปมีชีวิตเยี่ยงนั้น แต่หากเจ้าคิดว่าน่าสนุก ข้าจะปล่อยเจ้าไปหลังจากเราถึงทุ่งราบกว้างใหญ่แล้ว’
‘ข้าไม่อยากถูกล่า’ ช้างน้อยตัวแรกยกงวงชูขึ้นไปแตะมือญิผ่า
‘ข้าก็ไม่อยากแสดงละครสัตว์’ ช้างน้อยตัวที่สองยื่นงวงไปแตะมือญิผ่าเช่นกัน
‘เราทั้งสองขอร่วมเดินทางไปกับท่าน’ เสียงเล็กๆทั้งสองพูดประสานกัน
“จากนั้นช้างดึกดำบรรพ์ทั้งสองก็ใช้ชีวิตอยู่อยู่กับพวกเราเรื่อยมาจนกระทั่ง...”
ชดเมื่อฟังบะจีเล่ามาถึงตอนนี้ เขาอดปากไว้ไม่ไหวจึงโพล่งถามแทรกขึ้นมาว่า
“เด็กสาวสองคนที่ยกน้ำชาและผลไม้มาให้ ผมขอเดาว่าพวกเขาคือช้างน้อยสองตัวนั้น”
ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดพยักหน้าพร้อมกัน เจิ่วมะพูดต่อว่า
“นั่นละเขาละ ช้างดึกดำบรรพ์ที่พัฒนาความรู้ความสามารถมาตลอดระยะเวลาหลังจากคืนชีพ ทั้งคู่ช่วยพาเราเจ็ดคนและญิผ่าออกจากทะเลทรายเข้าสู่ทุ่งราบกว้างใหญ่ได้ในรุ่งเช้าวันหนึ่ง พวกเราตั้งที่พักชั่วคราวอยู่ที่ทุ่งราบแห่งนั้น และตั้งชื่อให้สหายสี่ขาผู้แบกบรรทุกเรามาตลอดทางว่า ‘จิมุ่ย’ และ ‘จิเม้าว์’ ซึ่งเป็นชื่อเรียกเด็กน้อยผู้ฉลาดเฉลียว”
หน่าเหงอะรับช่วงเล่าต่อ
“ทุ่งราบกว้างใหญ่ในเวลานั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยผู้เก่งกล้าสามารถในการรบ เชี่ยวชาญการขี่ม้า ยิงธนู แต่พวกเขาไม่เคยเห็นสัตว์ตัวมหึมา ใบหูใหญ่ งวงยาวเช่นนั้นมาก่อน ชาวไร่ชาวนาต่างพากันมุงดูและเอื้อเฟื้อยื่นผักผลไม้ให้ช้างน้อยทั้งสองกิน ในจำนวนนั้นมีผู้อยากได้รางวัลจึงแจ้งบอกไปทางหัวหน้าเผ่าผู้ซึ่งอยู่ในกระโจมหลังใหญ่ไกลออกไป ไม่นานก็มีทหารบนหลังม้าเข้ามาล้อมพวกเราไว้และพูดภาษาของชนเผ่าหนึ่ง พวกเราไม่เข้าใจ ญิผ่านิ่งฟังเหล่าทหารพูดจากันไม่นานนางก็สามารถสื่อสารด้วยภาษาของพวกเขา
‘คนกลุ่มนี้ต้องการช้างสองตัวนี้ไปชักลากเครื่องยิงกระสุนเพื่อไปก่อสงครามกับอาณาจักรใหญ่’ นางบอกพวกเรา
‘ท่านจะทำอย่างไร’ พวกเราถาม
‘เราให้เขาไม่ได้’ ญิผ่าตอบ ‘จิมุ่ยและจิเม้าว์เป็นสมาชิกในหมู่ของพวกเรา’
‘ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสู้กับมัน’ พวกเราพูดพร้อมขยับรวมตัวหันหลังชนกัน ช้างน้อยสะบัดหูสะบัดงวงเตรียมพร้อม
‘พวกท่านไม่มีทางสู้กับคนพวกนี้ไหวเพราะพวกท่านไม่ได้ฝึกตนมาเป็นนักรบและหัวใจของท่านไม่กล้าแกร่งพอจะฆ่าใคร’ ญิผ่าพูดพลางตรึกตรอง ก่อนที่พวกเราจะได้ปรึกษาอะไรมากไปกว่านั้น ทหารบนหลังม้าก็พุ่งหอกเข้าใส่ญิผ่า แต่งวงอันว่องไวของจิมุ่ยคว้าหอกนั้นไว้ได้
‘รีบขึ้นหลังพวกเราเดี๋ยวนี้ ข้าจะพาพวกท่านหนีเข้าป่าใหญ่’ จิเม้าว์ส่งเสียงแปร๋นแปร้ดังแสบหู ม้าพาหนะตกใจยกขาหน้าขึ้นและเหวี่ยงผู้ขี่ลงไปกองที่พื้น พวกเรารีบตะกายขึ้นหลังจิเม้าว์และกำขนของมันไว้แน่น ส่วนจิมุ่ยใช้งวงรัดญิผ่าส่งให้ขึ้นไปนั่งบนคอ
“ทันใดนั้นธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าปักกลางหลังของญิผ่าจนฟุบ แล้วร่างสูงใหญ่ของนางก็คว่ำหน้าร่วงลงไปที่พื้น จิมุ่ยหันตัวกลับยืนคร่อมร่างนางเข้าไว้ ส่วนจิเม้าว์ไล่กระทืบทหารใจหยาบช้าจนแตกกระจาย พวกเราเจ็ดคนรีบลงไปประคองและเห็นเลือดสีขาวขุ่นดุจน้ำนมไหลพลั่กออกมาจนเปียกชุ่มเสื้อผ้านาง ช่างน่าประหลาดใจ
‘พวกท่านรีบกลับขึ้นหลังจิเม้าว์แล้วหนีไปเสียก่อนที่พวกนั้นจะกลับมา’ นางพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
‘แต่ท่านบาดเจ็บสาหัส เราทิ้งท่านไปไม่ได้’ พวกเราตอบพร้อมกัน
‘หนีไปเดี๋ยวนี้ พาจิมุ่ยไปด้วย’ ญิผ่าพูดน้ำเสียงเด็ดขาด
‘พวกข้าจะไม่ไปไหน’ พวกเรายืนกราน ญิผ่าเมื่อเห็นพวกเราดื้อดึงเช่นนั้นนางจึงบอกว่า
‘ถ้าเช่นนั้นท่านโปรดช่วยนำถุงหนังว่างเปล่ามาหนึ่งใบแล้วรองเลือดของข้าเก็บไว้หลังจากถอนลูกธนูออกแล้ว จากนั้นท่านจงช่วยทาเลือดสมานแผลให้ข้าเป็นระยะ ห้าวันถัดไปให้หยอดเลือดใส่ปากข้าวันละถ้วยเล็กจนกว่าข้าจะฟื้น’ เมื่อพูดจบนางก็หมดลมหายใจ”
บูแซะเล่าเรื่องราวต่อจากหน่าเหงอะผู้ยกกระบอกน้ำชาขึ้นดื่ม
“ข้าหักดอกธนูที่ปักทะลุแผ่นหลังของนางเป็นสองท่อนและถอนปลายธนูออกทางด้านหน้าอก เลือดสีขาวขุ่นผสมกลิ่นสมุนไพรหอมไหลพลั่กๆออกมา พวกเราใช้ถุงหนังรองเก็บไว้จนเต็มปรี่
จิมุ่ยและจิเม้าว์ยืนคุ้มกันพวกเราไม่ให้ชาวบ้านที่ยืนมุงเข้ามาใกล้ เมื่อเลือดของนางหยุดไหล พวกเราใช้ผืนผ้าห่อร่างของนางไว้และอุ้มนางขึ้นหลังจิมุ่ย
‘หลบขึ้นภูเขาก่อนที่พวกทหารจะพากันมา’ บะจีร้องบอก
“จากนั้นสัตว์พาหนะทั้งสองก็เร่งฝีเท้าผ่านกลุ่มชาวหมู่บ้านที่มีน้ำใจอารีย์ พวกเขาวางผลไม้ไว้ตามทางให้จิมุ่ยและจิเม้าว์หยิบกินแก้หิว บางคนโยนอาหารห่อใส่ใบไม้ขึ้นมาให้เราใช้เป็นเสบียงและชี้ทางหนีให้ขึ้นภูเขา...”
เมื่อเจิ่วมะเล่ามาถึงตอนนี้ เชนสังเกตเห็นญิผ่ามีน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ
จากนั้นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดต่างผลัดกันเล่า
“พวกเราหลบหนีขึ้นไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาสูง เมื่อลงจากหลังช้างและอุ้มห่อผ้าลงมาวางบนพื้นดีแล้วเราก็แกะเชือกออก สิ่งที่เห็นทำให้เราตกตะลึง ร่างของญิผ่ากลายเป็นต้นไม้ที่เหี่ยวเฉามีรอยบาดแผลจากลูกธนู
‘เอาเลือดในถุงออกมาทาสมานแผลเร็วเข้า’ พิมะบอก บูแซะรีบหิ้วถุงหนังเข้ามา เจิ่วมะผู้ชราใช้มือวักเลือดสีขาวขุ่นชโลมลงไปที่ต้นไม้ในห่อผ้า
‘แท้จริงแล้วนางเป็นต้นไม้สินะ’ เสียงหนึ่งถาม
‘อาจจะใช่หรือไม่ใช่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา แม้ว่านางเป็นต้นไม้ แต่นางก็ชุบชีวิตเราขึ้นมา ถึงคราวนางตาย เราจะชุบชีวิตของนางให้ฟื้นเช่นกัน’ เจิ่วมะบอกพลางห่มคลุมต้นไม้นั้นด้วยเสื้อผ้าที่นางสวมใส่
“หลังจากเจิ่วมะชโลมยาไปสามวัน กิ่งก้านเหี่ยวแห้งของไม้ต้นนั้นเริ่มกลับกลายเป็นแขนและขา ห้าวันให้หลังลำตัวของญิผ่าก็ปรากฏแทนลำต้น เจิ่วมะหยอดเลือดขาวขุ่นใส่ปากนางวันละถ้วยเล็กตามที่นางสั่ง เมื่อพ้นสัปดาห์หนึ่งนางก็ฟื้นขึ้นมาและคุกเข่าคำนับขอบคุณพวกเรา
“เมื่อนางหายดีแล้วเราแปดคนบนหลังช้างสองตัวก็เดินทางลัดเลาะไปตามชายแดนของอาณาจักรข่านผู้เกรียงไกร แล้ววันหนึ่งเคราะห์ร้ายก็มาถึงเมื่อจิมุ่ยและจิเม้าว์ถลำตกลงไปในหลุมที่กลุ่มนักรบของข่านองค์หนึ่งขุดดักไว้ พวกเราถูกจับมัดมือไพล่หลังและนำไปเข้าเฝ้าในพลับพลา
‘ช้างของพวกเจ้า เราจะขอ’ ข่านกล่าวผ่านล่ามซึ่งพูดภาษาชนเผ่าต่างๆได้พอรู้เรื่อง
“พวกเรานิ่งอึ้งและมองหน้ากัน เจิ่วมะอ้าปากตอบออกไปว่า
‘ช้างดึกดำบรรพ์สองตัวนี้เป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับเราทั้งแปด เราคงยกให้ท่านไม่ได้’
‘อ้อ อย่างนั้นหรอกหรือ’
ข่านผู้เอนกายอยู่ในที่นั่งตอบรับ เขามีร่างกายอ้วนใหญ่ไว้หนวดเคราเผ้าผมยาวมัดเปียไว้อย่างหยาบๆ
‘ถ้าอย่างนั้นเราจะให้ม้าฝีเท้าดีกับพวกเจ้าไว้ขี่แปดตัว และเพิ่มให้อีกสามตัวเพื่อให้บรรทุกสิ่งของเครื่องใช้ เจ้าจะว่าอย่างไร’
“ญิผ่าผู้ปกคลุมใบหน้างดงามด้วยผ้าผืนยาวก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวด้วยถ้อยคำเด็ดเดี่ยว
‘พวกเราคงรับน้ำใจจากท่านไม่ได้ ช้างสองตัวนั้นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเรา หากท่านไปเจรจากับเขาทั้งสองสำเร็จและเขาต้องการอยู่กับท่าน เราก็จะไม่ขัดขวาง’
‘เอ๋ ช้างสองตัวนี้พูดภาษาคนได้ด้วยหรือ!’