บทที่ 6 ไมราเซตี
ฤดี สุจา อะผ่า เชน และอินญาต่างพากันเดินตามชดผู้ถือคบไฟไปที่ลานหมู่บ้านเพื่อร่วมรับประทานอาหารค่ำกับบรรดาผู้อาวุโสและชาวบ้านแปดสิบคนรวมทั้งติ๊เบี่ยกับผองเพื่อน
ขันโตกใหญ่หกสำรับจัดเรียงไว้เป็นแถวคู่ มีเก้าอี้กลมเตี้ยสิบห้าตัววางรอบแต่ละสำรับ มุมหนึ่งของลานกว้างมีขันโตกมหึมาปูทับด้วยใบกล้วย บนโตกนั้นเต็มไปด้วยผักผลไม้สารพัดชนิดกองพูนจนล้นถึงขอบ
เมื่อทั้งหมดเดินไปถึง ผู้อาวุโสทั้งแปดและผู้คนทั้งชายหญิงต่างยืนรออยู่แล้ว ชด ฤดี อินญา อะผ่า สุจาและเชน ต่างแนะนำตัวเองทีละคนเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เจ้าบ้านชายหญิงได้รู้จัก เมื่อแขกทั้งหกออกเสียงพูด ชาวบ้านที่ยืนโดยรอบต่างนิ่งฟังสำเนียงและดูริมฝีปากพร้อมทั้งพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
หลังจากนั้นพวกเขาร้องเชิญให้ผู้มาเยือนนั่งกระจายกันไปเพื่อทำความคุ้นเคยกับสมาชิกหมู่บ้านได้ทั่วถึง
บนขันโตกที่จัดเตรียมไว้ มีอาหารสำรับใหญ่หลากหลายชนิด ทั้งเห็ดหายากขุดได้จากป่าลึก ผลไม้เลิศรสที่ออกเฉพาะฤดูกาล ข้าวโพดหวานหักสดจากไร่ ข้าวดอยสีขาวขุ่นอุดมด้วยวิตามิน นอกจากนั้นยังมีหัวเผือกมันต้มสุกคลุกเคล้าถั่วต่างๆ และเครื่องเทศส่งกลิ่นชวนหิว มีภาชนะไม้ไผ่พร้อมตะเกียบคู่วางไว้โดยรอบ
ผู้อาวุโสผายมือให้บรรดาเจ้าบ้านและผู้มาเยือนนั่งลง ต่างคนต่างรักษามารยาทยืนรีรออยู่ จนในที่สุดเจิ่วมะและชดก็ลดกายลงนั่งที่วงแรก ฤดีและพิมะเข้านั่งวงที่สอง สุจากับะจีนั่งวงที่สาม ส่วนคะมาทั้งสองกับอินญานั่งลงวงที่สี่ อะผ่านั่งกับหน่าเหงอะและบูแซะนั่งวงที่ห้า เชนดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้นั่งกับญิผ่าที่ขันโตกวงสุดท้าย เขานั่งตรงข้ามกับนางผู้มีรูปร่างสูงใหญ่เช่นเดียวกับเขา ทั้งสองมีผู้ร่วมวงเป็นหญิงล้วน ทุกคนแต่งกายสวยงามอย่างเต็มที่ด้วยชุดผ้าทอสีดำปักลวดลายแบบโบราณ เครื่องประดับเงินส่งเสียงกระทบเสียดสีกันเป็นจังหวะทุกการขยับตัว
เชนและญิผ่าต่างนั่งลงบนเก้าอี้สูงกว่าตัวอื่น หัวเข่าของเชนยกตั้งล้นเข้าไปที่ขอบขันโตก สาวน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามาใกล้เขาและสอนให้เชนนั่งเบี่ยงตัวเพื่อจะได้ใช้มือถือตะเกียบคีบอาหารได้ถนัด เชนยิ้มอายๆ และขยับท่านั่งให้ด้านขวาของลำตัวอยู่ทางสำรับ เขาชำเลืองมองญิผ่าซึ่งจัดท่านั่งของตนอย่างเหมาะสม กระโปรงยาวคลุมขาทั้งสองข้างอย่างมิดชิด เครื่องประดับศีรษะของนางวูบวาบกระทบแสงจากคบไฟ เมื่อเชนลอบพิจารณาดูแผ่นโลหะกลมที่นางสวมใส่ติดกาย มันคือตลับที่บรรจุบางสิ่งไว้ข้างใน
สุดลานที่ตั้งขันโตกมหึมา ติ๊เบี่ยปรากฏกายในชุดหล่อเหลา เขาพันผ้าโพกสีเขียวสดห้อยชายยาวถึงหลัง เสื้อและกางเกงผ้าทอสีฟ้างามระยับทำให้เขาดูเด่นและน่าภูมิใจ สาวน้อยร่างป้อมสองคนสวมใส่ชุดสีชมพูหวาน เครื่องประดับผมร้อยเรียงด้วยลูกปัดเมล็ดธัญพืชห้อยระย้าผสมดอกไม้สด ผู้ร่วมโต๊ะของเขาทั้งสามประกอบด้วยชายหญิงรูปร่างหน้าตาหลากหลาย บ้างละม้ายนกแก้วที่ส่งเสียงพูดจ๋อยๆ บ้างเหมือนลิงกังที่อมเมล็ดทานตะวันไว้จนแก้มตุ่ยทั้งสองข้าง มีผู้หนึ่งใบหน้าเหมือนเสือปลา อีกผู้หนึ่งดูคล้ายแมวป่าแววตาเรื่อเรือง พวกเขาต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าปักสวยงามฝีมือของหนุ่มสาวหมู่บ้านนี้
เจิ่วมะกล่าวเชิญให้ทุกคนลงมือรับประทาน แสงไฟวับแวมจากคบไฟที่ปักไว้ห่างๆ ส่องให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนและเจ้าบ้านที่ต่างโอภาปราศรัยกันด้วยวิถีแห่งมิตรภาพ อาหารที่จัดวางบนภาชนะไม้ไผ่และใบตองแม้สีสันไม่สดสวยเหมือนอาหารที่ปรุงแต่งใส่สีวิทยาศาสตร์อย่างที่พวกชาวเมืองบริโภค แต่รสชาติและสรรพคุณนั้นเป็นเลิศ
“ไม่มียุงมารบกวนเลย” ชดพูดกับชายที่นั่งติดกับเขาผู้ซึ่งเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้บ้างแล้วเมื่อฟังชดกับเจิ่วสนทนากันครู่หนึ่ง
“พวกเราเอาคบไฟจุ่มลงไปในน้ำมันสะเดา มันส่งกลิ่นไล่แมลงไม่ให้มารบกวน พวกท่านจะมีคบไฟใช้จนถึงรุ่งเช้า” เขาพูดพลางชี้ไปยังเข่งใหญ่ที่วางไว้ด้านหนึ่ง “ในเข่งนั้นมีคบอยู่หลายสิบอัน ท่านหยิบใช้ได้ไม่ต้องเกรงใจ”
“อาหารแบบชาวบ้านถูกปากของท่านไหม” อีกคนหนึ่งเอ่ยปากถามชด ผู้ใช้ตะเกียบคีบเห็ดหมกกับเครื่องเทศใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ผมยังไม่รู้รสเลยครับ แต่ขอเติมให้ผมอีกสักถ้วยได้ไหม” ชดตอบยิ้มๆ ผู้ถามถึงกับหัวเราะชอบใจ
ขันโตกวงที่สอง ฤดีนั่งติดกับหนุ่มสาวที่พูดคุยถามไถ่เธอถึงภูมิหลังและเรื่องต่างๆ เธอตอบคำถามทุกข้อเป็นภาษาอาข่าขณะคีบอาหารใส่ปากด้วยความเอร็ดอร่อย ผู้อาวุโสพิมะคอยช่วยเธอนึกคำพูดในส่วนที่เธอติดขัด
ขันโตกวงที่สาม สุจาสวมใส่กระโปรงกรุยกรายแต่งหน้าทาปากงามพริ้งเป็นจุดสนใจของผู้ที่นั่งร่วมวงด้วย เมื่อเจ้าบ้านรู้ว่าเขาเป็นชาวอาข่าก็ชอบใจ สุจาพูดภาษาอาข่าเล่าให้ผู้ร่วมวงฟังถึงประวัติของตนโดยไม่ปิดบัง ผู้ได้ฟังต่างชมชอบในนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของสุจา ส่วนบะจียิ้มหัวและพูดคุยล้อเล่นกับทุกคนอย่างมีอารมณ์ขัน
ขันโตกวงที่สี่อินญาผู้นั่งกับคะมาทั้งสองและชาวบ้านหนุ่มสาววัยเดียวกับเธอต่างพูดคุยกันสนุกสนานเฮฮาเสียงดังกว่าวงอื่นๆ จนอะผ่าซึ่งนั่งอยู่วงที่ห้าเหลียวหน้ามามองบ่อยครั้ง เขาชอบแววตาสดใสและเสียงหัวเราะที่ปล่อยออกมาอย่างไม่มีจริตของอินญา
“ท่านหลงรักหญิงสาวผู้นี้” หน่าเหงอะผู้นั่งชิดอะผ่ากระซิบพูดและขยิบตา
อะผ่าหน้าแดงและคีบอาหารใส่ปากโดยไม่ได้ดูว่ามันคือพริกทั้งเม็ด เมื่อเคี้ยวลงคอไปเขาไอออกมาและบ้วนใส่มือโยนทิ้งขณะที่น้ำตาไหลพราก หญิงสาวที่อยู่ใกล้รีบรินน้ำชาส่งให้ อะผ่ารับน้ำชาร้อนๆ ไปดื่มโดยไม่เป่า เขาไอพรวดออกมาอีกครั้ง หน่าเหงอะรีบตบหลังเขาเพราะเกรงจะสำลัก
สุดลานหมู่บ้าน รถสองคันจอดพักอย่างสงบหลังเดินทางสมบุกสมบันมาตลอดสองวัน ความมืดสนิทเบื้องนอกคลายตัวออกเมื่อได้รับสัมผัสจากแสงนวลของดวงจันทร์สิบค่ำ เสียงแมลงกรีดปีกและเสียงนกกลางคืนดังแทรกมาเป็นระยะ
ผู้มาเยือนหกคนบัดนี้มิได้นับว่าเป็นแขกแปลกหน้าอีกต่อไปหลังจากนั่งรับประทานอาหารและพูดคุยร่วมวงกับชาวบ้านอย่างไม่แบ่งแยก บทสนทนาเป็นเรื่องทั่วไปทั้งการปลูกข้าว ฤดูกาล ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละฝ่าย และเรื่องที่สร้างความสุขสบายใจ ซึ่งทำให้มื้ออาหารผ่านไปโดยไม่เกิดภาวะหนักหน่วงทางอารมณ์ ชาวบ้านหนุ่มสาวสามารถพูดคุยภาษาอังกฤษอย่างแคล่วคล่องน่าแปลกใจหลังจากได้ฟังชด สุจา อินญา ฤดี อะผ่า และเชนแนะนำตัวเองก่อนหน้าจะนั่งรับประทานอาหาร
“หลังจากพวกท่านอิ่มกันแล้ว พวกเราจะแสดงการเต้นรำให้ท่านชมเป็นการต้อนรับ” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวกับเชนและส่งยิ้มให้อย่างน่ารัก
“ผมก็อยากจะเต้นด้วยเพื่อยืดเส้นยืดสาย แต่ต้องมีผู้สอนนะครับ” เชนตอบหญิงผู้นั้น แต่สายตาเขาจับอยู่ที่ญิผ่าซึ่งเชนสังเกตว่านางกินอาหารเพียงเล็กน้อย
“การเต้นรำของพวกเราไม่มีท่าทางอะไรมาก พวกเราใช้กระบอกไม้ไผ่กระทุ้งไปที่แผ่นไม้ที่วางบนพื้นและขยับเท้าให้เป็นจังหวะ” หญิงสาวคนที่สองอธิบาย เชนทำหน้าแปลกใจ
“ช่างคล้ายคลึงกับชาวนกฟ้าของผม”
จากนั้นเชนก็อธิบายวิธีการเต้นรำรอบกองไฟของชาวพื้นเมืองหลายเผ่าที่อยู่ในทวีปอเมริกาให้ผู้ร่วมวงได้ฟัง หญิงสาวทั้งหมดรวมทั้งญิผ่าต่างพยักหน้า
“เราอยากเต้นแบบนั้นบ้าง” หญิงสาวสองคนพูดพร้อมกัน เชนหงายฝ่ามือแล้วยกขึ้นและพยักหน้า
“ท่านสอนผม ผมสอนท่าน อย่างนั้นเป็นอันตกลง” เขาพูดพร้อมกับส่งผลไม้เข้าปาก
หญิงสาวที่นั่งรอบวงยิ้มแย้มดีใจที่จะเรียนการเต้นรำแบบใหม่ ญิผ่าผู้นั่งสงบเงียบเผยอริมฝีปากยิ้ม เชนหัวใจเต้นแรง เขาเคยเห็นรอยยิ้มนี้มานับครั้งไม่ถ้วนในซอกลึกของความทรงจำ
ส่วนวงอาหารของจิมุ่ยและจิเม้าว์กับติ๊เบี่ยและสหายเริ่มมีความวุ่นวายเล็กน้อย เพราะแก้วพลาสติกสีสวยสามใบที่ติ๊เบี่ยนำมาฝากเพื่อนเกลอไม่พอแจก ผู้ร่วมวงหน้าตาแปลกๆ มองขนมปังสองสามชิ้นที่ผู้เฒ่าพังพอนควักออกมาจากย่ามด้วยความอยากรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร เสียงจุ๊กจิ๊กจ้อกแจ้กและเสียงแซ่กๆดังออกมาเมื่อพวกเขาเริ่มแย่งกัน สุจาหันไปเห็นจึงลุกขึ้นส่องไฟฉายเดินไปยังท้ายรถและหยิบแก้วพลาสติกสีสันต่างๆ มาให้ติ๊เบี่ยแจกเพื่อนคนละใบ นอกจากนั้นยังมอบขนมกรุบกรอบถุงใหญ่ให้พวกเขาจนถ้วนทั่วหลังจากกำชับให้ขุดหลุมฝังถุงพลาสติกให้ลึกๆ มิเช่นนั้นมันจะทำลายสิ่งแวดล้อม เสียงขอบคุณอวยชัยให้พรดังลั่น ติ๊เบี่ยหน้าบานและส่งเสียงแหลมเล็กคุยไม่หยุด
เสียงลม เสียงยอดไม้สะบัดไหวและเสียงน้ำในลำธารต่างบรรเลงประสานเป็นมโหรีให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้ที่กำลังรับประทานอาหารในบรรยากาศธรมชาติไร้แสงไฟฟ้า มีแต่แสงสว่างจากคบไฟที่ปักไว้รอบลานกว้าง
ในที่สุดทั้งอาหารและผลไม้ก็พร่องเข้าสู่กระเพาะของเจ้าบ้านและผู้มาเยือนจนอิ่มแปล้
“ท่านต้องการเพิ่มอีกไหม เดี๋ยวข้าจะตักเติมให้” เสียงชาวบ้านผู้หนึ่งถาม ฤดีผู้ซึ่งวางจานไว้ตรงหน้ารีบยกมือปิดพลางตอบว่า
“ดิฉันอิ่มแล้วค่ะ ขอบพระคุณมาก เป็นอาหารวิเศษสุดที่ปรุงจากน้ำมือและด้วยน้ำใจล้นปรี่ของพวกท่าน พวกเรารู้สึกซาบซึ้งใจมากค่ะ
“อันที่จริงผมยังอร่อยกับทุกสิ่ง แต่ท้องของผมไม่มีที่ใส่แล้ว น่าเสียดาย”
ชดกล่าวเสียงดังพลางน้อมตัวคารวะหญิงชายทั้งหลายผู้ร่วมในการทำอาหารเลี้ยงพวกเขา
“ดิฉันเป็นสุขอย่างที่สุดที่ได้กินอาหารปรุงแบบอาข่าแท้ๆ ทั้งรากผักหอม หน่ออ่อนไม้ไผ่ที่ได้ฝนแรก พืชผักสมุนไพรสารพัดชนิด และข้าวดอยที่หาซื้อไม่ได้ในท้องตลาด”
แล้วสุจาก็กล่าวอวยพรเป็นภาษาอาข่าประกอบด้วยถ้อยคำคล้องจองกันอย่างยืดยาว อะผ่าร่ายกลอนสดสอดรับกับคำกล่าวของสุจา เหล่าเจ้าภาพขานรับด้วยการออกเสียง “เซ้ยๆๆๆๆๆ” และหัวเราะอย่างพอใจ
“อินญาก็ขอขอบคุณเพื่อนใหม่ที่ใจดีมากๆ จัดเลี้ยงต้อนรับจนพวกเราอิ่มลุกแทบไม่ไหวแล้ว อินญาไม่มีอะไรจะตอบแทนนอกจากจะขอร้องเพลงให้ฟัง เป็นเพลงสั้นๆนะคะ แม่สอนอินญาให้ร้องเพลงนี้ตั้งแต่เด็ก อินญาได้กินอาหารอร่อยก็นึกถึงพวกท่าน และอยากแบ่งปันให้พวกเราได้ฟังค่ะ”
หญิงสาวพูดจบก็ชำเลืองมองอะผ่าผู้กำลังจ้องเธอ อินญาร้องเพลงท่อนสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
“เจ้ากระต่ายขาวกระโดดโลดเต้นเป็นจังหวะ
“เขาร้องทักเพื่อนสีชมพู ‘เธอสบายดีไหม’
“เพื่อนตัวน้อยตอบว่า ‘ฉันสบายดี แล้วเธอล่ะ’
“กระต่ายขาวเสียงอ่อย ‘ฉันไม่สบาย’
‘อ้าวเป็นอะไรล่ะ’ กระต่ายสีชมพูถาม
‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่รักเธอ แต่พูดไม่ออก’ กระต่ายขาวตอบแล้วก้มหน้า
‘อ๋อ เรื่องแค่นี้เอง’ กระต่ายสีชมพูเขยิบมาใกล้แล้วกระซิบว่า ‘ฉันก็รักเธอเหมือนกัน’
กระต่ายขาวดีใจและชวนสาวน้อยเต้นรำ...
อินญาร้องเพลงจบ เธอตบมือให้ตัวเอง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน อะผ่ายื่นหน้าไปพูดกับอินญาว่า “ผมเป็นกระต่ายขาว เดี๋ยวผมจะชวนสาวน้อยสีชมพูเต้นรำ”
“อะผ่ากลายเป็นกระต่ายตั้งแต่เมื่อไรจ๊ะ หรือมีผู้เฒ่าติ๊เบี่ยเป็นครูสอน” สุจาล้อชายหนุ่มผู้ทำหน้าขวยเขิน
“แล้วเชนไม่มีอะไรกล่าวหรือ” ชดถาม
“มีครับ” เชนตอบมาจากขันโตกวงสุดท้าย เขาลุกขึ้นและเดินมากลางลาน รูปร่างสูงใหญ่ของเขาเป็นจุดเด่นในแสงคบไฟ ผิวสีน้ำตาลที่มองเห็นบริเวณแขน คอ และใบหน้าดูเหมือนสีเปลือกไม้ยืนต้นที่ท้าแดดลมมานานนับศตวรรษ
“ผมจะแสดงการเต้นรำในแบบชาวนกฟ้าให้พวกท่านดูเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ” เชนยกเก้าอี้กลมเตี้ยติดมือมาด้วย เมื่อพูดจบเขาเดินไปที่อะผ่าและใช้ปลายนิ้วเคาะผืนหนังซึ่งขึงตึงจนใช้แทนกลองได้อย่างเหมาะเจาะ เขาเคาะเป็นจังหวะหนักเบาสลับกัน อะผ่าฟังสองสามเที่ยวก็พยักหน้าและเริ่มพรมปลายนิ้วบรรเลง
เชนเดินออกไปกลางลานอีกครั้งและยืนนิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นย่อขาทั้งสองข้างลง ชูแขนขึ้นเหนือหัว แล้วยกเข่าขึ้นสลับข้าง ฝ่าเท้าขยับไปมา ท่วงท่าสอดคล้องกับจังหวะกลองหนังเก้าอี้ที่อะผ่าบรรเลงด้วยปลายนิ้ว ร่างสูงสะบัดไปมาในแสงของเปลวไฟจากคบ แขนทั้งสองกางออกเหมือนปีกที่กำลังลอยละล่อง จังหวะขยับแขนและขาดูราวกับอินทรีเหินเวหา เขาหลับตาและเงยหน้าขึ้นด้วยท่วงท่าอาบแสงจันทร์
เสียงเคาะผืนหนังเริ่มรุกเร้าดังขึ้นตามน้ำหนักนิ้วของอะผ่าที่เริ่มวาดลวดลายตามการเคลื่อนไหวของผู้แสดง เชนลืมตาแล้วส่งมือให้หญิงสาวที่ร่วมวงอาหาร ทั้งหมดพากันลุกขึ้นและออกมาเต้นรำตามท่วงท่าของเชน หนุ่มที่นั่งอีกวงหนึ่งพากันคว้าเก้าอี้บุหนังของตนมาเคาะจังหวะ อินญาและคะมาโค้งให้กันและลุกขึ้นเต้นตามเสียงกลองที่เริ่มกระหึ่ม
“ทนไม่ไหวแล้ว ขอปล่อยแก่ที่นี่ละนะ” สุจาพูดพลางลุกขึ้นขยับ เสื้อผ้าสีสันสดใสไหวพลิ้วสะบัดไปมาเป็นเส้นสายน่าเวียนหัว “พี่ชดลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยไม่ต้องทำตาปริบๆ รู้นะว่าคิดอะไรอยู่” เขาพูดพลางดึงแขนร่างท้วมกลมของชดให้ลุกขึ้น
“นี่ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนี้นานมากเลยนะ” ชดพูดพลางเต้นตามจังหวะกลองและมองท่าเต้นของเชนที่กำลังหกหน้าหกหลังอยู่หัวแถว ตามหลังเขาคือหนุ่มสาวที่สวมชุดและเครื่องประดับอาข่าอย่างเต็มที่ เครื่องประดับเงินและลูกปัดเขย่าเสียดสีไปมาส่งเสียงราวกับเครื่องดนตรีประกอบเสียงกลอง
ฤดีมองไปเห็นบะจีและติ๊เบี่ยกำลังยกแข้งยกขาอยู่มุมหนึ่ง จิมุ่ยและจิเม้าว์ทำท่าอยากเข้ามากลางวงแต่ถูกเพื่อนๆดึงตัวไว้
“เราเต้นกันตรงนี้ก็ได้” เสียงหนึ่งบอก
“มันไม่สนุก” เสียงจิเม้าว์พูด “ฉันอยากไปตรงนั้น”
“ฉันก็เหมือนกัน” จิมุ่ยบอก
แล้วสองพี่น้องก็พากันเดินจูงมือไปกลางวงก่อนจะมีใครห้ามทัน จากนั้นลานหมู่บ้านก็สะท้านสะเทือนเป็นจังหวะ อาหารที่เหลือในสำรับขันโตกพลิกคว่ำ น้ำชาในถ้วยกระเพื่อมไหวกระฉอกหก เจิ่วมะที่กำลังลุกขึ้นเพื่อไปคุยกับพิมะรีบกลับนั่งลงก่อนจะล้มด้วยแรงกระแทกจากผู้คนที่ทรงแทบตัวไม่อยู่
สิบนาทีผ่านไป เชนโบกมือให้อะผ่าหยุด เขาโค้งไปรอบทิศก่อนกล่าวขอบคุณเจ้าภาพที่ลุกขึ้นมาร่วมเต้นรำแบบชาวนกฟ้า
“ผมจะไม่มีวันลืมมิตรภาพของพวกท่าน”
เชนกำมือและยกแขนแนบหน้าอก ทุกคนปรบมือให้ เชนเดินถือเก้าอี้กลับไปนั่งที่และยิ้มให้ญิผ่า นัยน์ตางามประหลาดยิ้มรับ
ชดลากแขนสุจากลับไปยังที่นั่งของตน อินญาและคะมาทั้งสองต่างดื่มน้ำชาจนหมดถ้วยหลังจากออกแรงจนเหงื่อไหล จิมุ่ยและจิเม้าว์พร้อมด้วยติ๊เบี่ยเดินกลับไปยังขันโตกใหญ่ด้วยใบหน้าเบิกบานใจ
“พวกเราไม่ได้สนุกสนานกันอย่างนี้มานานมาก พวกข้าต้องขอบคุณท่าน” เสียงหนึ่งพูด
“ต่อจากนี้หนุ่มสาวของเราจะแสดงการเต้นรำให้พวกท่านดู” หน่าเหงอะลุกขึ้นประกาศ
หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งรีบเก็บขันโตกและจานชามที่ล้มคว่ำคะมำหงายออกไปจากลานด้วยความว่องไว หลังจากกวาดพื้นจนสะอาดดีแล้ว ท่อนไม้ซุงครึ่งซีกถูกลากเข้ามาวางต่อกันสองแถว มีคนนำคบไฟไปปักไว้ห่างๆ อาศัยเพียงแสงเดือนส่องให้เห็นหญิงชายที่เดินเข้าแถวกันมาข้างละสามสิบคน ต่างถือไม้ไผ่ท่อนใหญ่ยาวจากพื้นถึงเอวคนละท่อน เมื่อพร้อมกันแล้วพวกเขาก็กระทุ้งไม้ไผ่เป็นจังหวะหนักเบาพร้อมย่อเขาและยกตัวขึ้น เครื่องประดับเงินของพวกผู้หญิงส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งไพเราะหู ลูกปัดสีต่างๆที่ชายเสื้อซัดส่ายไปมาตามการไหวร่างของผู้สวมใส่ ไม่นานแขกรับเชิญทั้งหกก็เข้าร่วมอย่างสนุกสนาน
เวลาอันสำราญผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชดก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ เกือบสี่ทุ่มแล้ว การแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนเริ่มบางตา จิมุ่ย จิเม้าว์ และติ๊เบี่ยกับผองเพื่อนพากันขนผลไม้ที่เหลือไปเก็บไว้ในโกดังบ้านพักของพวกเขาและหายตัวไป หนุ่มสาวช่วยกันยกท่อนไม้ซีกเก็บเข้าที่และถือไม้ไผ่กระทุ้งกลับบ้านตนพร้อมเสียงพูดคุยที่ห่างออกไป ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่ากับสายลม แสงจันทร์ และหมู่ดาว
“เอาละ ทีนี้พวกเราก็พูดคุยกันต่อ”
บรรดาผู้อาวุโสทั้งแปดต่างนั่งล้อมรอบกองไฟที่มีผู้จุดไว้และมีฟืนกองใหญ่อยู่ด้านหลัง
ชด ฤดี และสุจานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เชน อะผ่าและอินญาเดินมาสมทบ พวกเขากวาดตาดูรอบข้างอย่างแปลกใจที่พริบตาเดียวผู้คนทั้งหลายก็สลายตัวไปอย่างพร้อมเพรียง มองเห็นแสงไฟวับแวมทางหน้าต่างของบ้านทุกหลังที่เรียงรายอยู่ตามริมลำธารประดุจภาพวาด
“เชิญท่านทั้งหลายนั่ง”
เป็นเสียงทุ้มนุ่มนวลของญิผ่าที่ทุกคนได้ยินเป็นครั้งแรก เสียงของนางช่างฟังรื่นหู ภาษาอังกฤษที่นางพูดนั้นชัดถ้อยชัดคำ
“จากนี้ไปข้าจะบอกเล่าถึงความเป็นมาของข้าและธุระที่รอพวกท่านอยู่” นางกล่าวและมองทุกคนจากนั้นหยุดอยู่ที่เชนราวกับนางตั้งใจพูดกับเขาเป็นการเฉพาะ
กองไฟที่อยู่ตรงกลางส่องแสงสว่างจับใบหน้าบุคคลที่นั่งอยู่โดยรอบ ฟากหนึ่งคือเจิ่วมะ หน่าเหงอะ บูแซะ พิมะ บะจี คะมาทั้งสอง และญิผ่า อีกฟากคือ ฤดี ชด สุจา อะผ่า อินญา และเชน
ญิผ่าพูดต่อไปว่า “พวกท่านอาจมีคำถามว่าเหตุใดเราจึงรู้ว่าพวกท่านจะเดินทางมา ข้อนี้ขอท่านอย่าสงสัย ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ล้วนถูกกำหนดมาแล้ว ข้าอาจรู้ล่วงหน้าได้เพียงบางสิ่ง ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวข้องที่ข้ามีต่อสิ่งนั้น”
ผู้มาเยือนทั้งหกนิ่งฟังญิผ่าพูดอย่างตั้งใจ
“จากนี้ไปข้าจะบอกความเป็นมาของข้าอย่างย่อๆให้ท่านฟังเพื่อเชื่อมโยงกับสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสได้เล่านำไปแล้ว ต่อท้ายด้วยธุระสำคัญที่เราสองฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา”
ฤดีฉุกคิดถึงรายงานของอะผ่าย่อหน้าสุดท้ายขึ้นมาทันที
...อนึ่ง ปลายเดือนสามต่อเดือนสี่มีเภทภัยบางประการที่ท่านต้องร่วมมือกันขจัดเพื่อให้โลกมนุษย์ปลอดภัย...
ส่วนชดนึกในใจว่าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลูกไฟที่พุ่งมาตกหลังหมู่บ้านแน่นอน เขานึกขึ้นมาได้ขณะที่อาบน้ำอยู่ริมธารว่าต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีข่าวเล็กๆ ที่ผ่านตาเขาไป ยานอวกาศของประเทศมหาอำนาจลำหนึ่งสูญหายอย่างไร้ร่องรอย มันเป็นยานที่เดินทางกลับจากสำรวจดาวอังคาร แต่เบื้องลึกที่เจ้าหน้าที่องค์การอวกาศผู้หนึ่งเปิดโปงลงในเฟซบุ๊กที่ถูกปิดไปแล้วกล่าวว่า ยานลำนี้บรรทุกแร่ธาตุบางชนิดที่ขุดจากหลุมบนดาวดวงนั้น แร่ธาตุดังกล่าวสามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายล้างเมืองใหญ่ได้ในพริบตา ชดเสียดายที่เมื่อนึกได้เขาไม่มีอินเทอร์เน็ตเพื่อเสิร์ชหารายละเอียดของข่าวนี้ เขาสะบัดศีรษะปัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปขณะที่ญิผ่าเริ่มพูดอีกครั้ง
“เชิญพวกท่านนั่งตามสบาย จะเอนกายหรือเหยียดขาให้คลายเมื่อยก็ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านเดินทางกันมาตั้งแต่เช้าสมควรได้พักผ่อน แต่ยังมีภาระที่ต้องรับฟังเรื่องที่อาจไม่เป็นสาระ ข้าต้องขออภัย”
แล้วนางก็เริ่มเล่า...
“ด้านเหนือสุดของดินแดนที่ปัจจุบันพวกท่านเรียกกันว่าไซบีเรีย มีป่าไม้สนโบราณซึ่งเป็นต้นตระกูลวงศ์วานว่านเครือของข้า ต้นไม้ในป่าแห่งนั้นยืนต้นสูงใหญ่เทียมฟ้ามาตั้งแต่สมัยสัตว์ขนาดมหึมายังไม่สูญพันธุ์
“วันหนึ่งโลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอันไพศาล ป่าไม้สนแห่งนั้นทนความหนาวเยือกอันยาวนานถึงเก้าหมื่นปีไม่ได้จึงยืนตายซากน่าสังเวช ลำต้นสูงใหญ่ขนาดหลายสิบคนโอบล้วนกลายเป็นหิน
“เวลาผันผ่านจนถึงคราวที่โลกอุ่นลง น้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นดินเริ่มละลาย ข้าและพี่น้องมากมายซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ฝังซ่อนตัวในพื้นดินก็ถือกำเนิดขึ้นเป็นต้นไม้เขียวชอุ่มแทรกอาศัยอยู่กับป่าไม้หินต้นตระกูล
“ข้าเติบโตผ่านวัยเยาว์เมื่ออายุได้หนึ่งพันปี ในเวลานั้นมีเผ่าพันธุ์มนุษย์อพยพมาจากทิศใดไม่ปรากฏ พวกเขาเข้าอาศัยอยู่ในถ้ำไม่ห่างจากถิ่นป่าไม้ของข้ามากนัก มนุษย์กลุ่มนี้นุ่งห่มเปลือกไม้และล่าสัตว์น้อยใหญ่เป็นอาหาร ข้าเฝ้าดูพวกเขาเกิดและตายติดต่อกันหลายสิบรุ่นอายุคน จนถึงยุคที่พวกเขาสามารถรวมตัวเป็นชนเผ่าและคิดค้นภาษาพูดเพื่อสื่อสารกันขึ้นมาได้ เครื่องมือล่าสัตว์ที่แต่เดิมมีเพียงก้อนหินและไม้ท่อนที่ใช้ขว้างนกและสัตว์เล็กก็เปลี่ยนไป พวกเขาประดิษฐ์ขวานหินและหอกแหลมเพื่อล่าสัตว์ใหญ่สำหรับนำมาทำอาหารและเครื่องใช้ พวกเขาใช้หินคมถลกหนังหมีและหนังกวางใหญ่เพื่อใช้นุ่งห่ม กระดูกท่อนใหญ่ใช้ทำค้อนทุบ พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อความสะดวกในการดำรงชีพ
“ต่อมาเผ่าพันธุ์ของพวกเขาขยายใหญ่ขึ้นและกระจายตัวอาศัยอยู่ในเพิงพักที่สร้างไว้รอบป่าไม้หิน พวกเขาพัฒนาตนขึ้นมาจากการเป็นคนป่า เริ่มรู้จักทอใยเปลือกไม้มาสวมใส่ป้องกันความหนาว รู้จักเก็บเมล็ดพันธุ์พืชมาเพาะปลูกเป็นอาหาร อีกทั้งยังคิดค้นเครื่องมือใหม่ๆ ทั้งธนู ล้อลาก เลื่อนสำหรับบรรทุกและเป็นเครื่องทุ่นแรงขนสิ่งของ นอกจากนั้นยังเก็บรวบรวมพันธุ์พืชต่างๆ มาศึกษาเพื่อทำตัวยารักษาแผลและโรคภัย ชนกลุ่มนี้ทำงานหนักทั้งชายหญิง ซึ่งต่างเจ็บป่วยและได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง อีกทั้งเผชิญภัยจากสัตว์ร้ายต่างๆ
“เมื่อข้าอายุได้สองพันปี ยังมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เขาเป็นบุตรชายของหมอยาประจำเผ่าผู้ทรงความรู้ที่สืบต่อมาจากคนป่ารุ่นแรกซึ่งมีความชำนาญทางสมุนไพรและเวทมนตร์ เด็กหนุ่มเรียนรู้ทุกสิ่งจากบิดาและแสวงหาความรู้ใหม่ด้วยตนเอง เขามีนิสัยสันโดษ มักเดินสืบเสาะค้นหารากยาแต่ผู้เดียวพร้อมสะพายธนูไว้บนไหล่เพื่อป้องกันตนจากสัตว์ร้าย ทุกวันตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่เขาเข้ามานั่งพิงพักที่ใต้ร่มเงาของข้าและท่องวิชาที่ได้เรียนรู้จากบิดาเป็นทำนองเสนาะราวเสียงเพลง ข้าเงี่ยหูฟังสำเนียงที่ไพเราะจับใจและจดจำไว้ทุกบทอย่างแม่นยำ
“ชายหนุ่มรักป่าไม้สนโบราณและต้นไม้ทุกต้น เขามักแหงนมองลำต้นสูงใหญ่ของข้าอย่างชื่นชมแล้วกางมือโอบ เขาสูดกลิ่นเปลือกไม้หอมเข้าไปและหลับตานิ่งเพื่อให้กลิ่นนั้นกำซาบไปทั่วร่าง
“เด็กหนุ่มขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาตัวยาต่างๆ เขานำเปลือกไม้ รากไม้ และยอดใบจากต้นไม้หลากชนิดไปทดลองปรุงยาและทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในพิธีกรรม ก่อนนำสิ่งใดไปจากป่า เขาจะบอกกล่าวเพื่อขออนุญาตจากเจ้าของ โดยพูดเป็นจังหวะและทำนองเหมือนคำสวด เนื้อความมีว่า
‘ข้าแต่เจ้าป่าและเพื่อนผู้มีราก หากการกระทำของข้าเป็นการล่วงเกินต่อท่าน ข้าต้องขออภัย ส่วนประกอบต่างๆ ที่ข้านำติดตัวไปจากป่านี้ก็เพื่อปรุงยารักษาและต่อชีวิตผู้คนในเผ่า มิใช่เพื่อนำไปเล่นสูญเปล่า หากท่านมิยินยอมขอจงส่งสัญญาณบอกให้รู้เพื่อที่ข้าจะไม่แตะต้องสิ่งนั้นอีก’
“เมื่อพูดจบเขาจะยืนรออยู่สามอึดใจ เมื่อทุกสิ่งยังอยู่ในความสงบ เขาก็ค้อมกายคำนับผืนป่าและกลับที่อยู่เขา
“อยู่มาวันหนึ่งมีพายุแรงกล้า ข้าเคราะห์ร้ายถูกสายฟ้าฟาดไฟลุกท่วม ทั้งยอดทั้งกิ่งก้านและเปลือกต้นถูกเผาไหม้จนเกรียมดำ ข้าเจ็บปวดเหลือที่จะกล่าวและส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ เด็กหนุ่มผู้นั้นแม้อยู่ในเพิงพักนอกป่าไม้หิน แต่เขาสามารถรับรู้ได้ด้วยหัวใจรักและผูกพันกับข้าผู้เป็นไม้สนหอม เขารีบเดินทางมา เมื่อเห็นข้าบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นชีวิต เขาตกตะลึงและระล่ำละลักบอก
‘ไม่เป็นไรนะ ข้าจะรักษาเจ้า จงเข้มแข็งให้ถึงที่สุด หยัดยืนฝืนร่างไว้ อย่าโค่นล้มลง’
“จากนั้นเขากลั่นน้ำมันจากไม้ที่เป็นโอสถ ใช้ขนสัตว์ม้วนเป็นก้อนชุบแล้วชโลมตามลำต้นของข้าจนชุ่ม เขาปีนกิ่งก้านที่เริ่มอ่อนปวกเปียกขึ้นไปและทายาสมานพร้อมทั้งปลอบประโลมด้วยคำหวานให้ข้ามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
‘ไม้หอมเพื่อนยาก หากเจ้ารอดตาย ข้าจะมอบของขวัญแก่เจ้า’ เขาให้คำมั่นขณะลูบไล้เปลือกต้นของข้าด้วยด้วยน้ำมันที่เขาปรุงมาเพื่อรักษาแผลต้นไม้โดยเฉพาะ
“ชายหนุ่มออกจากเพิงพักทุกเช้าเพื่อมาทายาให้ข้า และข้าก็รอทุกเช้าให้เขามาสมานแผลให้ เดือนหนึ่งผ่านไปข้าผลิใบอ่อนให้เขาเห็น เขาโห่ร้องดีใจและโอบกอดลำต้นของข้าไว้ จากนั้นเขาถอดสิ่งที่เขาห้อยคอออกมา มันคือแก่นไม้หอมจากต้นบรรพบุรุษของข้าที่กลายเป็นหินหลังจากยืนต้นตายซากมาเก้าหมื่นปีในยุคที่น้ำแข็งปกคลุมผิวโลก มันมีอานุภาพแรงกล้า สามารถป้องกันภูตผีและภยันตรายจากสายฟ้ารวมทั้งแร่ธาตุที่เป็นพิษ เขาใช้ขวานหินตัดแก่นไม้กลมชิ้นนั้นเป็นสองส่วนและถักเถาวัลย์เหนียวผูกคล้องเครื่องรางหนึ่งชิ้นรอบลำต้นของข้า
‘เจ้าไม้หอมเพื่อนยาก ข้าได้สาบานไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วเมื่อเจ้าบาดเจ็บสาหัส ว่าหากเจ้ารอดชีวิต ข้าจะมอบของสิ่งนี้ให้เจ้าเป็นเครื่องรับขวัญ ข้าขอกระทำตามคำพูดที่ลั่นไว้ บรรพบุรุษของข้าโปรดอภัย
‘เจ้าไม้หอมผู้อดทน จากนี้ไปสายฟ้าทำอะไรเจ้าไม่ได้อีกแล้ว สิ่งนี้จะช่วยป้องกันภัยให้เจ้ารอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง จงรักษาตัวให้ดีนะ ข้าขอตั้งชื่อให้เจ้าว่า “ไมราเซตี” เพราะเจ้าคือ “ผู้รอดชีวิตจากสายฟ้า”’
“เขาถักเถาวัลย์เส้นเล็กขึ้นมาใหม่และผูกเครื่องรางครึ่งที่เหลือคล้องคอตนเองและกล่าวกับข้าว่า
‘ในวันข้างหน้าอันห่างไกล แก่นหัวใจไม้หินสองชิ้นนี้จะกลับมารวมกัน’
เมื่อญิผ่าเล่ามาถึงช่วงนี้ เชนก็ยกมือขึ้นลูบคลำเครื่องประดับครึ่งวงกลมที่เขาห้อยคอไว้พร้อมกับหลับตาและสูดดมกลิ่นหอมจางๆที่เขาคุ้นชินมาตลอดชีวิต เขารู้แล้วว่าเครื่องรางชิ้นนี้มีจุดเริ่มต้นที่ไหน ญิผ่ามองมือของเชนแล้วนางก็ยกมือทาบบนแผ่นโลหะที่ประดับแผ่นอกของนางเช่นกัน