ตอน คณะผู้อาวุโส (3)

4782 คำ
อากาศที่ไหลเวียนผ่านสิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่ที่พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันโชยกลิ่นดอกไม้ป่าผสมกับกลิ่นสมุนไพรจางๆ และกลิ่นชาหอม มีเสียงตึงตังดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้สาวน้อยร่างป้อมสองคนเดินโยกซ้ายโยกขวาเข้ามาพร้อมผลไม้ถาดใหญ่ เมื่อทั้งคู่วางถาดสองใบลงบนเสื่อทั้งสองด้านแล้วก็ถอยหลังโยกซ้ายโยกขวากลับลงบันไดไป เมื่อเสียงตึงตังสงบและบ้านหยุดสั่น เจิ่วมะก็บอกทุกคนว่า “กินผลไม้ป่ารองท้องกันไปก่อนนะพวกท่าน” ผู้มาเยือนต่างสงวนท่าที รักษามารยาท โดยรอให้ผู้อาวุโสหยิบรับประทานก่อน เจิ่วมะเห็นดังนั้นก็หยิบผลไม้ลูกน้อยส่งเข้าปาก จากนั้นก็ผายมือเชิญชวนทุกคน ชดและอะผ่าหยิบผลไม้หลายผลส่งต่อให้อินญาและเชนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ฤดีและสุจานั่งใกล้ถาดจึงหยิบถึง “หวานหอมรสชาติดีมากค่ะ” ฤดีออกปากชม “ขอบคุณมากครับ ผลไม้อร่อยชื่นใจ” เชนเอ่ยพูดจากข้างหลัง สายตาเขาจับจ้องที่ญิผ่า อินญา อะผ่า ฤดี ชด และสุจาต่างใจจดใจจ่อรอฟังเฉลยจากบรรดาผู้อาวุโสแห่งหมู่บ้านริมธารว่าเรื่องต่างๆที่ติ๊เบี่ยมนุษย์จำแลงบอกพวกเขานั้นมีสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ ชดมองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาห้าโมงเย็น พวกเขาขึ้นมานั่งบนเรือนหลังใหญ่นี้เกือบสองชั่วโมงแล้ว เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชดและผู้ร่วมเดินทางมาด้วยกันรู้สึกสบายใจที่ได้รับการต้อนรับและโอภาปราศรัยเป็นอย่างดีจากเจ้าบ้านทั้งแปด ตั้งแต่เจิ่วมะ พิมะ บูแซะ หน่าเงอะ คะมาทั้งสอง และบะจี รวมทั้งญิผ่าผู้ยังไม่เอื้อนเอ่ยวาจา แต่ท่าทีของนางช่างอ่อนโยน หลังจากกินผลไม้ป่าในถาดไปได้สองสามผล เจิ่วมะก็เอ่ยปากพูดว่า “เอาละนะ ข้าจะเฉลยเรื่องแรกที่พวกท่านสงสัย ที่เจ้าติ๊เบี่ยเล่าว่ามีลูกไฟใหญ่จากท้องฟ้าพุ่งมาตกในหุบเขา “เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ต้นเดือนที่แล้ว ขณะพวกชาวบ้านกำลังนั่งกินมื้อเย็นในโรงอาหาร พวกเขาได้ยินเสียงซู่ๆ แปลกหูที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน บางคนออกมายืนมองหาว่าเป็นเสียงอะไร พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าทันเห็นลูกไฟใหญ่มีประกายเพลิงเป็นหางยาวพุ่งสว่างวาบลงมา มันตกในหุบเขาด้านปลายภูผาซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านของเราไปไกล ครู่หนึ่งเสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังขึ้น พื้นดินสะเทือนจนหม้อตกจากเตา ข้าวของกลิ้งล้มไม่เป็นท่า พวกเรารีบกลับเข้าบ้านเพื่อความปลอดภัยเพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “รุ่งเช้าพวกเราพบว่าเครื่องไม้เครื่องมือทำกินที่ประกอบด้วยเหล็กมันเบี้ยวผิดรูปไปหมด พวกผู้ชายพากันออกเดินตามกันไปยังหุบเขาที่เราเห็นดวงไฟพุ่งตก เมื่อไปถึง ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกตะลึง ป่าไม้สูงใหญ่ที่ยาวติดกันเป็นพืดสุดตาบัดนี้เอนโค่นล้มระเนระนาด พวกเราเห็นแล้วไม่กล้าเข้าไปใกล้เพราะไม่รู้ว่ามีภัยอันใดซ่อนอยู่ เราพากันเดินกลับหมู่บ้านและไม่มีใครเฉียดกรายไปยังแถบนั้นอีกเลย “บะจีของเรามีงานเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้น เขาต้องซ่อมมีดพร้าจอบเสียมที่บิดเบี้ยวทุกวัน คะมาสองคนรับอาสาเป็นลูกมือบะจีช่วยตีมีด ส่วนข้าเองต้องไปทำพิธีเรียกขวัญไม่เว้นแต่ละวัน เพราะยังมีคนที่ตกใจจนนอนไม่หลับและฝันร้ายขวัญหายไป เรื่องเรียกขวัญนี่เป็นเรื่องของการสร้างกำลังใจหรอกนะ ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่จะดลบันดาลสิ่งใด” ผู้เฒ่าอาวุโสหยุดเว้นระยะและพยักหน้าให้คะมาเฉลยเรื่องที่สอง คะมาคนที่หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มกังวาน “ที่เจ้าพังพอนบอกท่านว่าประตูหมู่บ้านย้ายจากด้านหน้าไปด้านหลัง ป่าไผ่และป่ากล้วยสลับที่กัน รวมทั้งต้นผลไม้ย้ายไปตั้งผิดทิศผิดทาง เรื่องเหล่านี้เป็นเท็จนะ พวกท่านอย่าหลงกล ป่าไม้อะไรจะยกรากสลับที่กันได้ เจ้ามนุษย์จำแลงนี่ช่างจินตนาการ” ชดกับสุจามองหน้ากัน ส่วนฤดี อินญา อะผ่าและเชนต่างนั่งอึ้งและส่ายศีรษะ คะมาคนที่สองพูดต่อ “เรื่องไม่จริงอีกเรื่องคือชิงช้าของหมู่บ้าน มันไม่ได้เลื่อนหนีหายไปไหนหรอก มันตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านตลอดมา หากท่านพักผ่อนหายเหนื่อยแล้วอยากไปเห็น ท่านก็แค่เดินไปสุดริมน้ำ ต่อจากบ้านหลังสุดท้ายเป็นเนินลดหลั่นซึ่งชิงช้าตั้งอยู่ เราสร้างไว้บนเนินด้านนั้นเพราะมองออกไปไกลได้รอบทิศ เราเห็นแสงไฟจากรถของท่านเมื่อคืนนี้ก็จากเนินดังกล่าว” พูดจบเขายกน้ำชาขึ้นจิบ คะมาคนที่หนึ่งกระแอมแล้วเฉลยต่อ “อีกเรื่องที่ท่านสงสัย คือสวนครัวของแต่ละบ้านทำไมขึ้นมาอยู่บนระเบียง มันไม่ใช่ผลจากลูกไฟที่มาตกหรอก แต่เป็นเพราะข้าได้แนะนำชาวบ้านให้ย้ายพืชผักสำหรับบริโภคให้มาทำแปลงปลูกบนบ้านตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากลำรางไม้ไผ่ที่ลำเลียงน้ำจากภูเขามันแห้งสนิทตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ฝนไม่ตกติดต่อกันมาหลายเดือน ลำห้วยที่เคยมีน้ำไหลก็แห้งขอด สวนหลังบ้านของแต่ละคนอยู่ไกลจากน้ำในลำธารที่งวดต่ำ ข้าเลยจัดประชุมและบอกพวกเขาให้ทำแบบที่พวกท่านเห็น ทุกคนตกลงและให้ความร่วมมืออย่างดี พวกเขาจึงไม่ต้องเดินไกล อยากกินอะไรก็เปิดประตูหน้าบ้านออกมาเด็ดเอา ยามเช้าก็เดินไปตักน้ำที่ริมตลิ่งมารด” คะมาจบคำพูดด้วยการหัวเราะหึๆ ผู้มาเยือนทั้งหกต่างหัวเราะกับสิ่งที่ตนเข้าใจผิดตั้งแต่ได้ฟังติ๊เบี่ยอธิบายเฉไฉ “แล้วสะดือลำธารที่สูบน้ำลงไปทุกเที่ยงวันนี่จริงไหมคะ” อินญาส่งเสียงถามจากด้านหลัง ผู้ร่วมทางทุกคนต่างพยักหน้าเพราะสงสัยตรงกัน “อ้อ เรื่องนี้จริง” หน่าเหงอะผู้นั่งเงียบเริ่มส่งเสียง สำเนียงภาษาอังกฤษของเขาใกล้เคียงกับของสุจา “มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นมานานนับปีไม่ถ้วน ใต้ลำธารนี้มีโพรงมหึมาที่ลึกสุดประมาณ มันดูดน้ำลงไปวันละครั้งทุกเที่ยงวันจนน้ำตกหยุดไหลชั่วขณะ นี่ถ้าพวกท่านมาที่หมู่บ้านนี้ก่อนฝนตกเมื่อวันวาน ท่านจะมองเห็นปากโพรงนั้นอย่างชัดเจน ปีนี้หน้าแล้งสาหัสมาก น้ำในลำธารแทบแห้งเหือด เราเพิ่งมีน้ำเต็มตลิ่งเมื่อวานนี้เองหลังจากฝนตกหนักราวฟ้ารั่ว” “อ้อ ค่ะ” อินญาและคนอื่นพยักหน้า พวกเขาเข้าใจแล้วว่าน้ำตกที่หยุดไหลเมื่อช่วงเที่ยงวันเกิดจากสาเหตุตามที่ติ๊เบี่ยอธิบายให้ฟังจริงๆ ชดออกปากถามในเรื่องที่เพื่อนร่วมทางต่างสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง “เอ่อ เมื่อพวกเราเข้าไปในถ้ำหลังน้ำตกได้แล้วก็ขับรถตรงไป จนถึงทางโค้งซึ่งมีทั้งซ้ายและขวา ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยบอกให้เราไปด้านขวาแล้ววนขึ้นที่สูง ในที่สุดรถของเราก็ตกลงมาริมตลิ่ง คำถามคือผมสงสัยว่ามันจะมีทางออกจากถ้ำที่ง่ายกว่านี้ไหมครับ” ชดถามพลางขยับท่านั่งเพราะเริ่มเมื่อย “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน พวกท่านตกลงมาจากไหนหรือ เมื่อกี้ข้าฟังท่านที่ชื่อสุจาเล่าก็ไม่ได้ซักเพราะอยากฟังเนื้อความให้ตลอด” พิมะผู้เดินทางออกจากหมู่บ้านบ่อยครั้งเอ่ยปากถามและขมวดคิ้ว ชดซึ่งเริ่มสังหรณ์ใจจึงตอบว่า “รถของเราพุ่งตกลงมาจากภูผาหินด้านริมลำธารครับ โชคดีที่แถวนั้นเป็นดินนุ่มและพงหญ้าจึงไม่เป็นอะไรทั้งคนและรถ” ชดกะพริบตาถี่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ช่วงที่ผ่านมา “อืม นึกออกละ” ผู้เป็นพิมะพยักหน้าหงึกๆ “ข้าต้องขอโทษพวกท่านแทนเจ้าพังพอนแสนกลที่นำทางเถลไถลจนรถของท่านขึ้นไปสู่ปากถ้ำด้านบนซึ่งไม่ค่อยมีใครขึ้นไป มันคงนึกสนุกขึ้นมาจึงเจตนาพาท่านออกช่องทางผิดตั้งแต่ถึงทางโค้ง ซึ่งหากท่านเลือกไปทางซ้าย ท่านจะทะลุออกจากปากถ้ำหลังพุ่มไม้และมาถึงริมลำธารได้โดยไม่ต้องเหาะ แต่เมื่อท่านเข้าโค้งขวา มันก็พาท่านวนขึ้นบนที่สูงและเหินลงมา เคราะห์ดีที่พวกท่านไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็คงทำให้ตกใจกันมากพอดูสินะ” พิมะถามด้วยความเป็นห่วง ชด ฤดี สุจา และอะผ่ามองหน้ากันด้วยความไม่อยากเชื่อว่าติ๊เบี่ยจะเล่นแกล้งพวกเขา เชนตอบว่า “พวกเราไม่เป็นไรครับ แต่ที่พวกผมสงสัยต่อมาคือเมื่อเราตกลงบนพื้นหญ้าแล้วมองกลับขึ้นไปที่ผนังภูผาก็ไม่เห็นปากถ้ำ ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยบอกว่ามันเลื่อนขยับไป ไม่ทราบเรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่ครับ” พิมะพยักหน้าเข้าใจความสงสัยของเชน เขาเฉลยว่า “ปากถ้ำมันไม่หายไปไหนหรอก พ่อหนุ่ม มันยังอยู่ที่เก่า แสงสะท้อนที่แผดจ้าจากดวงอาทิตย์ยามบ่ายทำให้พวกท่านมองไม่เห็น เนื่องจากสีดำของผนังถ้ำกับสีดำของภูผาหินมันเกลื่อนกลืนกันไป หากดูไม่ละเอียดพวกท่านก็จะมองข้าม แต่อย่ากังวลกับเรื่องนี้ เมื่อท่านเสร็จธุระแล้วขากลับข้าจะไปส่งถึงปากทางด้านล่าง ข้าชักไม่ไว้ใจเจ้าติ๊เบี่ยตัวดีเสียแล้ว ชอบหาเรื่องสนุกอยู่ร่ำไปโดยไม่นึกถึงคนอื่นที่อาจได้รับบาดเจ็บจากการเล่นพิเรนทร์ของมัน” พิมะส่ายศีรษะเมื่อพูดถึงผู้ที่เขาอุปถัมภ์ดูแล แขกรับเชิญทั้งหกต่างถอนหายใจ แต่สุจามียิ้มบนหน้าเมื่อนึกถึงความกล้าหาญของพังพอนตัวจ้อยที่เผ่นโผนโจนเข้าสู้กับงูเห่าจนเขาพ้นจากอันตราย อีกทั้งเสียงแหลมเล็กและท่าทีกระตือรือล้น แถมยังปีนออกจากรถไต่ต้นไม้ไปเก็บผลไม้ป่ามาแบ่งปันพวกเขาพร้อมทั้งเล่าเรื่องโน้นนี้ให้ฟังไม่หยุดปาก เมื่อถามอะไรก็ไม่เคยปฏิเสธหรือเล่นตัว พยายามค้นคิดหาคำตอบมาเจรจาให้ฟังกันเพลินๆ จริงบ้างเท็จบ้าง ซึ่งพวกเขาเองต่างหากที่ไม่รู้จักกลั่นกรองจึงถูกเจ้ามนุษย์จำแลงหลอกเล่นเอา “มีอีกเรื่องที่ผมอยากรู้” ชดดื่มน้ำชาหลังจากกินผลไม้เข้าไปจนเกือบอิ่ม “คือก่อนหน้าจะพบน้ำตก พวกเราใกล้ถึงชายป่า ผู้เฒ่าพังพอนบอกว่าถ้ามาถูกทางจะไม่เจอริมผา หากเจอริมผาแปลว่าเรามาผิดทาง เมื่อเราขับรถออกมาจากป่าเราก็พบริมผาจริงๆ ผู้เฒ่าบอกให้เรากลับรถแล้วถอยหลังตรงไปยังหุบเหว พวกเรากลั้นใจทำตามนั้นแม้จะรู้ว่ามันเสี่ยงอย่างยิ่ง แต่ปรากฏว่าเมื่อรถถอยพุ่งออกไป ทุ่งหญ้าเขียวขจีก็ปรากฏขึ้น เรื่องนี้ผมไม่เข้าใจ ท่านพอจะอธิบายได้ไหมครับ” พิมะผู้รู้จักพื้นที่ทุกแห่งของเทือกเขาแถบนี้ใช้ฝ่ามือตบหัวเข่าตนเองดังฉาดและตอบชดว่า “โธ่เอ๋ย ท่านถูกเจ้าตัวร้ายมันแกล้งบอกให้หวาดเสียวเล่น หุบเหวริมผาตรงชายป่าที่ท่านถอยรถออกไปแล้วกลายเป็นทุ่งหญ้านั้นมีชื่อที่พวกเราเรียกกันว่า ‘ทุ่งลวงตา’ เพราะแท้จริงแล้วมันไม่ใช่เหวอะไรหรอก เป็นเพียงภาพที่หลอกสายตายามพระอาทิตย์ใกล้ตั้งฉาก เป็นสิ่งประหลาดของธรรมชาติแถบนั้น กล่าวคือเมื่อพวกท่านออกจากชายป่าไปแล้วก็สามารถขับรถตรงต่อไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องถอยหลังแล้วเดินหน้าอย่างที่เจ้าพังพอนมันปั้นเรื่อง ทุ่งหญ้าแห่งนี้เมื่อมองจากระยะไกล สีสันที่กระทบแดดยามเที่ยงจะสะท้อนลวงตาให้เห็นเป็นเหวลึก หากพวกท่านผ่านไปช้าๆแล้วพิจารณาดูดีๆ ท่านจะพบความจริง” ผู้เป็นพิมะคลายข้อสงสัยในเรื่องที่ชดถาม ชดระเบิดเสียงหัวร่อออกมาดังลั่น คนอื่นๆ หัวเราะตามด้วยนึกขันในความตระหนกของตน “คือพวกเราไม่ต้องถอยหลังแล้วเดินหน้าอะไรแบบนั้น แค่ขับต่อไปอย่างปกติธรรมดาก็จะผ่านทุ่งหญ้าไปถึงน้ำตกได้ แหม! ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยทำให้ผมตื่นเต้นแทบปัสสาวะราดเลยครับ” อะผ่าพูดพลางหัวเราะจนน้ำตาไหล เพราะช่วงที่เขาถอยรถตรงไปนั้นหัวใจแทบหยุดเต้น เพราะคิดว่ามันเป็นหุบเหวจริงๆ “ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนิสัยชอบเล่นสนุกจนเกินเหตุของเจ้าพังพอน” พิมะกล่าว “เอาละ แล้วเรื่องอื่นๆที่ท่านได้พบระหว่างเดินทางมีอะไรอีกที่อยากรู้” “ขอบคุณครับท่านผู้อาวุโสที่ตอบคำถามคลายสงสัยให้พวกเรา แต่ยังมีเรื่องที่เราเห็นและรู้สึกประหลาดใจอ**บางอย่าง” ชดเมื่อหยุดหัวเราะแล้วก็ถามขึ้น “เรื่องหนึ่งคือพวกเราเห็นซุ้มประตูทำด้วยไม้ซุงท่อนมหึมา ซึ่งด้วยแรงมนุษย์ตัวน้อยแค่แปดสิบคนของหมู่บ้านนี้ ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมจึงคิดเอาว่าพวกท่านอาจมีเครื่องชักลากไม้จากป่าและเครื่องชักรอกยกไม้ท่อนมหึมาตั้งขึ้นเป็นคาน” “อ๋อ เรื่องนี้เองหรือ” บะจีถาม “แล้วเจ้าพังพอนเขาบอกพวกท่านไว้อย่างไรล่ะ” “ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยบอกว่าเพื่อนรักของเขาที่ชื่อจิมุ่ยกับจิเม้าว์เป็นคนทำค่ะ” สุจาบอก “อ่อๆๆ” บะจีพยักหน้า “เรื่องนี้เป็นความจริง ครั้งที่เราอพยพโยกย้ายมาอยู่หลังภูผาแห่งนี้สักเมื่อร้อยปีที่แล้ว พวกเรามีกันอยู่แปดสิบแปดคน ไม่รวมประชากรสิงสาราสัตว์ทั้งหลายซึ่งเรานับเป็นเพื่อน เราเริ่มลงมือสร้างที่อยู่อาศัย ทั้งตัดไม้ เลื่อยไม้ ลงหลักปักเสา จนถึงเดือนห้าซึ่งเราต้องทำพิธีสร้างประตูหมู่บ้าน สมาชิกผู้พัฒนาตนมานานแล้วและเป็นแรงงานสำคัญคือจิมุ่ยกับจิเม้าว์ต่างรับอาสาไปชักลากไม้มาจากในป่า “คือทั้งสองสาวนี่อยากแสดงฝีมือให้เป็นที่ปรากฏเลื่องลือ เมื่อได้ไม้ซุงท่อนใหญ่มาพวกเขาจัดการปักมันลงไปในพื้นดินสองข้าง จากนั้นก็ต่อตัวกันยกคานขึ้นไปพาดอย่างเหมาะเจาะ แล้วประตูหมู่บ้านมหึมาก็ปรากฏอย่างที่พวกท่านเห็น ทั้งแข็งแรง ทั้งทนทานท้าแดดลม เราสามารถทำพิธีฉลองได้ตามเวลา แม้ว่ารูปแบบของมันจะผิดแผกไปจากที่เคยทำกันมาแต่ก่อนเก่า แต่เรื่องนี้ไม่ใช้ปัญหาสำหรับเราผู้ผ่านเส้นทางยากลำบากของการดำรงชีวิตมาแล้ว พวกเราถือหลักว่าหากมันมีประโยชน์ มันก็ถูกต้อง” ชด สุจา ฤดี อินญา เชน และอะผ่าต่างนั่งฟังกันเงียบ ก่อนที่พวกเขาจะออกปากถามว่าใครคือผู้ทรงพลังทั้งสอง พิมะก็เอ่ยถามพวกเขาว่า “มีเรื่องอื่นๆอีกไหมที่ท่านสงสัยว่าเจ้าติ๊เบี่ยตัวดีของเราเล่ามานั้นจริงหรือเท็จประการใด พวกเราจะได้เฉลยให้หมดเพื่อให้หายคลางแคลงใจ” “อ้อ คือมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากรู้ หากท่านจะให้อภัย เพราะคำถามนี้อาจเป็นการละลาบละล้วง” ชดมองผู้อาวุโสอย่างเกรงใจ “คือเขาบอกว่าพวกท่านมีอายุหลายพันปี” เมื่อชดเปิดประเด็นใหม่ สุจาก็เสริมว่า “ค่ะ ผู้เฒ่าพังพอนบอกว่าตัวเขาเองก็มีอายุหลายร้อยปี แต่เป็นเพราะเขาขี้เกียจนับก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตนเองอายุเท่าใด เขาเดาว่าอาจจะถึงหนึ่งพันปี เขาเล่าประวัติให้พวกเราฟังว่าท่านพิมะเป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้ตั้งแต่ยังเป็นสัตว์กำพร้า ” เมื่อชดและสุจาพูดจบ พิมะตอบให้ความกระจ่างว่า “ความเป็นมาที่เจ้าตัวดีเล่าถึงตนเองก็เป็นเช่นนั้น แต่อายุของมันไม่ถึงหนึ่งพันปีหรอกพวกท่าน เรื่องอายุนี่เจ้าติ๊เบี่ยชอบโม้ เพราะอยากเป็นพี่ใหญ่ในหมู่สมาชิกที่กำลังใกล้จะเป็นมนุษย์ในหมู่พวกเรา ข้าจะบอกให้ว่าแท้แล้วเจ้าพังพอนตัวนี้มันเพิ่งมีอายุได้สี่ร้อยปีกว่า ตอนที่ข้าพบมันนั้นหมู่บ้านของเราอยู่ทางเหนือสุดของพม่า วันหนึ่งข้าเดินทางไปธุระและพบลูกพังพอนนอนหิวโซรอความตายอยู่ในรังจึงเกิดความสงสาร ข้าแบ่งข้าวปุกและผลไม้แห้งให้มันกินจนฟื้นพลังขึ้น จากนั้นข้าก็เดินทางต่อ แต่มันวิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาขอตามไปด้วย ข้าก็เลยอุ้มเจ้าตัวน้อยใส่ย่ามไว้ เมื่อไปสวดศพที่ไหนมันก็ไปด้วย “มันเป็นสัตว์หัวดีจำภาษาพูดของคนได้ มันเลียนแบบเสียงสวดของข้าและร่ายออกมาเหมือนท่องอาขยาน จากนั้นนานไปวันหนึ่งข้าก็ต้องตกใจเมื่อมันลุกขึ้นเดินได้เหมือนอย่างคน แขนขาหน้าตาของมันเปลี่ยนไปแต่นิสัยยังเป็นพังพอน ข้าขอชาวบ้านช่วยเย็บเสื้อผ้าและสานรองเท้าให้มันใส่ แล้วตั้งชื่อให้ว่าติ๊เบี่ย ซึ่งมีความหมายถึงสัตว์แสนกลตัวเล็กๆ” พิมะเล่าถึงประวัติพังพอนของเขาให้ผู้มาเยือนทั้งหกฟังจนหมดสิ้น ภาษาอังกฤษที่เขาพูดก็คล่องลิ้นมากขึ้นหลังจากพูดคุยกันผ่านไปสองชั่วโมง “แต่ท่านยังไม่ได้บอกเรื่องอายุของพวกท่าน และอาจจะ เอ่อ รวมถึงชาวบ้าน ท่านพอจะบอกให้พวกเราทราบบ้างจะได้ไหมคะ ขออภัยที่เสียมารยาทถาม” ฤดีมองทุกคนที่นั่งเบื้องหน้าอย่างสนใจรวมถึงญิผ่าผู้สงบเงียบ “คำพูดของข้าต่อไปนี้คงทำให้พวกท่านลังเลใจที่จะเชื่อ” เจิ่วมะผู้ดูเหมือนมีอายุมากกว่าใครอื่นในที่นี้กล่าว “เพราะมันเป็นเรื่องผิดปกติจากที่ท่านเคยรู้ คนทั่วไปมีอายุอย่างมากเพียงร้อยปี โดยเฉพาะชาวเขาชาวดอยที่มักอายุไม่ยืนยาวจากการทำงานหนัก พวกเขามักเจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุจากการทำงานและจากภัยธรรมชาติ” เขาเว้นระยะและมองผู้มาเยือนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ “หากพวกท่านไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญใจ ข้าจะเล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือกถึงประวัติพวกเราเจ็ดคน และจากนั้นญิผ่าผู้มีอายุขัยยาวนานกว่าพวกเราทั้งเจ็ดจะได้พูดคุยกับพวกท่าน” ชด สุจา ฤดี อะผ่า อินญา และเชนต่างอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเจิ่วมะพูดถึงหญิงสาวร่างสูงผู้มีใบหน้างดงามว่านางเป็นผู้มีอายุมากที่สุดในกลุ่มผู้อาวุโส “เราคงใช้เวลาช่วงนี้ฟังเรื่องที่ข้าจะเล่าบอก จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารค่ำซึ่งชาวบ้านของเราขนวัตถุดิบมาจากในไร่และกำลังลงมือปรุงที่ลานหมู่บ้านบริเวณไม่ไกลจากที่ท่านจอดพาหนะไว้นั่นแหละ เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้วพวกหนุ่มสาวจะแสดงการเต้นรำต้อนรับ จากนั้นเราจะกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง” ชายชรากระแอม และเริ่มต้นเล่า “พวกเราเป็นชาวอาข่าโบราณผู้แยกตัวออกมาจากตระกูลสายตรงของบรรพชนรุ่นแรกเมื่อสองพันหกร้อยปีที่แล้ว แต่ชนรุ่นหลังเมื่อสืบค้นขึ้นไปจะไม่พบชื่อและนามสกุลของพวกเราทั้งเจ็ดในระบบการท่องจำลำดับบรรพบุรุษ มันถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ภายในของของชาวอาข่ามาตั้งแต่ต้น อันเนื่องมาจากความผิดพ้องหมองใจระหว่างพี่น้องร่วมบิดา เรื่องนี้เราคงไม่จำเป็นต้องเล่าให้ท่านฟังนะ ข้าขอสงวนไว้ หวังว่าท่านคงจะไม่ซักไซ้ถึงสาเหตุการเนรเทศตนเองออกมาเป็นกลุ่มชนที่โดดเดี่ยว ไร้ที่ไร้ทางในลำดับบรรพบุรุษที่ชาวอาข่าทั่วไปต้องท่องจำ” เจิ่วมะเอ่ยพลางสังเกตสีหน้าของผู้ฟังซึ่งค้อมศีรษะรับ เขายกกระบอกน้ำชาขึ้นจิบและเล่าต่อไปว่า “หมู่บ้านที่เราเคยอาศัยอยู่ก่อนแยกตัวออกมานั้นเป็นชุมชนใหญ่ มีประชากรนับหมื่นคน ตั้งอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนของเมืองอันแห้งแล้งริมทะเลทรายกว้างไกลสุดตามนุษย์และนกเหยี่ยว เมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างพี่น้อง พวกเราเจ็ดตระกูลจึงตัดสินใจพาครอบครัวและญาติทั้งหลายออกเดินทางไกล “เราจัดเตรียมเสบียงอาหารแห้งสำหรับลูกเล็กเด็กแดง หญิงชาย คนแก่คนเฒ่าทั้งหมดกว่าห้าร้อยชีวิต แล้วพากันเดินเป็นทิวแถวพร้อมอูฐสามสิบห้าตัวซึ่งบรรทุกข้าวของ น้ำดื่มน้ำใช้ และและกระโจมหนังสัตว์ เพื่อข้ามทะเลทรายที่ได้ชื่อว่าดินแดนแห่งความตายเพราะแทบไม่มีใครรอดชีวิตออกไป พวกเราเดินย่ำผืนทรายในยามค่ำไร้แสงแดด มีดวงดาวที่เกลื่อนท้องฟ้าและดวงจันทราเป็นเครื่องนำทาง เวลากลางวันเรากางกระโจมพักผ่อน “เดือนหนึ่งล่วงไปอูฐของเราตายลงระหว่างทางเหลือเพียงสิบสี่ตัว แต่พวกเราทั้งหมดรอดชีวิตเพราะได้ดื่มเลือดและกินเนื้อของพวกมัน จนมาถึงแหล่งน้ำใหญ่เราปักหลักอยู่ที่นั่นชั่วระยะหนึ่งเพื่อฟื้นฟูพละกำลังและให้คนป่วยไข้ได้พักรักษาตัว จากนั้นพวกเราเดินทางต่อไป เป้าหมายคือดินแดนอันเป็นทุ่งราบกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ฝากตรงข้าม “หกเดือนผ่านไปอูฐของเราตายหมดสิ้น เด็กเล็ก คนแก่เฒ่า และหนุ่มสาวทยอยสิ้นลมไปตามทาง จนเหลือเพียงเราเจ็ดคนที่ร่างกายผ่ายผอมเกือบหมดสิ้นแรง แต่ขอบเขตของทะเลทรายก็ไม่สิ้นสุดเสียที “บ่ายวันหนึ่งขณะที่เรานอนหลบร้อนในกระโจมหนังสัตว์ ทันใดนั้นพายุทรายก็ซัดกระหน่ำโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว พวกเราถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้ผืนทรายโดยมีกระโจมหนาหนักคลุมห่อร่างของพวกเราไว้จนหมดสิ้นลมหายใจ เมื่อเวลาผ่านไปนานเนิ่นเกินกว่าที่ใครจะรับรู้ สตรีนางหนึ่งได้ชุบชีวิตเราเจ็ดคนขึ้นมาใหม่” เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ ผู้ชราก็หันไปทางมุมห้องแล้วค้อมศีรษะให้ญิผ่าอีกครั้ง นางผู้โสภาค้อมศีรษะรับอย่างอ่อนน้อม ทั้งเจิ่วมะ พิมะ หน่าเหงอะ บะจี บูแซะ และคะมาต่างถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ล่วงผ่านนานมาแล้ว ผู้มาเยือนทั้งหกนั่งเงียบอึ้งกับเรื่องที่ได้ฟัง บูแซะผู้นั่งติดกับเจิ่วมะกระแอมเรียกเสียงก่อนรับช่วงเล่าต่อว่า “เมื่อเราทั้งเจ็ดฟื้นคืนชีพมีลมหายใจ เราพบสตรีร่างสูงใหญ่กำลังชโลมร่างกายเราด้วยน้ำมันยาเพื่อให้ผิวหนังที่ยับย่นกลับคืนสู่สภาพเดิม นางป้อนสมุนไพรหลากหลายชนิดให้พวกเราดื่มกินเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก รวมถึงอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ หัวใจ นางร่ายเวทมนตร์เป็นภาษาที่พวกข้าไม่เคยรู้จัก แต่เมื่อได้ฟังก็เกิดพลังชีวิตขึ้นมา... “นางผู้นั้นก่อกระโจมด้วยผืนผ้าไหมที่ปกป้องแสงแดดยามเที่ยงวันและกันความหนาวยามเที่ยงคืน พวกเราเจ็ดคนนอนเรียงแถวเป็นคนไข้ของนางอยู่นับสิบวัน แล้ววันหนึ่งข้าก็ตัดสินใจเอ่ยปากถามว่านางเป็นใคร ปรากฏว่านางพูดภาษาอื่นซึ่งข้าไม่รู้จัก แต่หลังจากที่เราพูดคุยกันเองสักพักใหญ่ นางได้ฟังก็สามารถพูดภาษาของเราได้... “นางบอกเล่าว่านางมาจากป่าไม้หินที่อยู่ห่างไกลนับหมื่นโยชน์ นางเดินทางผ่านมาแล้วนับร้อยดินแดนจนเข้าสู่ทะเลทรายแห่งนี้ พอดีกับที่เกิดแผ่นดินไหวใต้พิภพ ผืนทรายจากด้านล่างพลิกกลับสู่พื้นผิวโลก ร่างของพวกเราเจ็ดคนที่อยู่ใต้กระโจมหนังสัตว์เก่าคร่ำคร่าก็โผล่ขึ้นมาให้นางได้เห็น เมื่อนางพินิจดูซากที่ยังสมบูรณ์ด้วยเนื้อ หนัง กระดูก เส้นเลือด และเส้นผมแล้ว นางตกลงใจชุบชีวิตซากเหล่านั้นโดยเรียกวิญญาณของพวกเราที่เร่ร่อนหลงทางเวียนเกิดเวียนตายในทะเลทรายที่เวิ้งว้างให้กลับมา นางบอกว่าร่างแรกที่ลมหายใจกลับคืนมาคือบะจีผู้มีกายแข็งแรง ผู้ที่ฟื้นต่อมาคือคะมาทั้งสอง แต่วิญญาณสองหนุ่มเข้าสู่ร่างสลับกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีร่างของตนเองแต่มีดวงจิตของอีกคน” เมื่อบูแซะเล่าถึงตอนนี้ เหล่าผู้อาวุโสพากันหัวเราะขบขัน คะมาทั้งสองต่างมองกันและกันเหมือนมองเงาของตนในกระจก หน่าเหงอะค้อมตัวให้ญิผ่าและเหลียวมองผู้อาวุโสคนอื่นก่อนเล่าต่อด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “นางผู้ชุบชีวิตบอกพวกเราต่อไปว่าคนที่สี่และห้าที่ฟื้นขึ้นมานั้น วิญญาณพวกเขาเพิ่งทิ้งร่างสัตว์และรีบเร่งตามเสียงสวดมา ดังนั้นพิมะผู้ก่อนหน้านั้นเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอกทะเลทรายจึงมีนิสัยชอบเดินทางสำรวจไปทั่วดินแดน” เสียงหัวเราะของผู้อาวุโสดังขึ้นอีกครั้ง พิมะยกนิ้วชี้ส่ายไปมาพลางกล่าวว่า “โชคยังดีที่วิญญาณข้าไม่สลับไปเข้าร่างท่าน ไม่เช่นนั้นข้าคงมีนิสัยชอบปีนป่ายขึ้นที่สูงเหมือนแพะภูเขาหัวแข็ง” “โอ้ ท่านจะเล่าต่อก็ดีแล้ว ข้าจะได้ถนอมเสียงไว้ร้องเพลงคืนนี้” หน่าเหงอะพูดตอบพร้อมกับหัวเราะอยู่ในคอ “ให้มันได้อย่างนี้สิ” พิมะกล่าว “ข้าเล่าต่อเองดีกว่า เชิญท่านทั้งสองพักยก” บะจีกล่าวอย่างอารมณ์ดีและรับช่วงเล่า “ร่างที่สี่ฟื้นขึ้นหลังจากสุนัขจิ้งจอกทะเลทรายตัวหนึ่งถูกเหยี่ยวดำสังหาร วิญญาณของพิมะได้ลอยกลับมาสู่ร่างเดิมโดยฉับพลัน “ร่างที่ห้าที่คืนชีพคือหน่าเหงอะ ก่อนหน้านั้นเขาเกิดเป็นแพะภูเขาที่กระโจนพลาดตกหน้าผาตายขณะต่อสู้กับแพะใหญ่หัวหน้าฝูง วิญญาณเขาได้ยินเสียงสวดจึงเผ่นโผนมาเข้าร่างเก่าได้ทันก่อนที่ซากจะเหี่ยวแห้ง “ร่างสุดท้ายที่ถูกทิ้งตากแดดตากลมไว้นานกว่าจะฟื้น พวกท่านคงรู้ว่าคือเจิ่วมะผู้ชรา สืบเนื่องจากวิญญาณของเขาหลงทางติดตามกองคาราวานไปเกือบสุดเส้นทางสายไหม เมื่อได้ยินเสียงสวดเรียกจึงงกๆเงิ่นๆ คลำทางกลับมา แต่ก็เกือบสายไป ร่างของเขาถูกแดดลมแห่งทะเลทรายทำลายจนเหี่ยวย่นไปทั้งตัว แม้เอาน้ำมันเป็นไหมาชะโลมก็ไม่อาจฟื้นฟูให้ตึงเต่งได้เหมือนข้า” เมื่อบะจีพูดจบ ผู้เฒ่าเจิ่วมะก็ยกมะเหงกเขกโป๊กลงไปบนหัวของเขา “เอ้อ ช่างเล่านะพ่อ เดี๋ยวข้าหักคอทิ้งเลย” บะจีทำท่าหดคอและหันไปค้อมศีรษะกับญิผ่าร่างใหญ่ที่นั่งอมยิ้มอยู่สุดมุมห้อง เขาพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ต้องขออภัยหากที่ข้าเล่าไปจะทำให้เกิดเสียงหัวเราะขบขันเกินเหตุ แต่ข้าเห็นว่าเหล่าผู้มาเยือนคงนั่งฟังกันเบื่อแล้วข้าจึงพูดให้เกิดความผ่อนคลาย ต่อไปนี้จะเข้าเรื่องจริงจังอีกครั้ง ขอเชิญคะมาเล่าต่อ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม