ทันใดนั้นมีเสียงผู้ชายดังออกมาจากบนบ้านเป็นภาษาอาข่า สุจาแปลให้ฤดี ชด เชน และอินญาฟังว่าเป็นเสียงเชิญผู้มาเยือนให้ขึ้นไป
ชดก้าวขึ้นบันไดไปคนแรก ฤดี สุจา อินญา อะผ่า และเชนตามไปติดๆ เมื่อเห็นรองเท้าสานด้วยเชือกแปดคู่วางอยู่ที่นอกชาน ทุกคนรีบถอดรองเท้าของตนและวางเรียงเป็นระเบียบ
ประตูหน้าบ้านเปิดกว้างรออยู ชดเดินย่างเข้าไปในห้องใหญ่ เขาเห็นชายสูงอายุและวัยกลางคนนั่งขัดตะหมาดบนพื้น ยกเว้นสตรีนางหนึ่งที่อยู่สุดมุมห้อง นางนั่งชันเข่าหลังตรงอย่างสง่าบนเก้าอี้กลมเตี้ย หญิงผู้นี้สวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับในแบบที่ชดไม่เคยเห็นที่ไหน บนศีรษะเหนือหน้าผากมีสายคาดประดิษฐ์จากลูกปัดแก้วเส้นเล็กสีฟ้าขุ่นผสมเหรียญตราโบราณและขนนกย้อมสี ส่วนที่ห้อยปรกลงมาสองข้างหูถึงต้นคอเป็นลูกปัดหินมณีที่ร้อยถักไว้อย่างสวยงาม มีแผ่นเงินรูปร่างเหมือนจานกลมแขวนห้อยเหนือเนินอก นางสวมเสื้อสีดำพอดีตัวปักลวดลายด้วยด้ายสีอ่อน กระโปรงยาวถึงเข่าถักทออย่างสวยงามเหมือนผ้าไหม นางคาดเอวด้วยเข็มขัดลูกปัดที่เรียงร้อยเป็นแผ่นกว้างเท่าฝ่ามือ มีชายยาวห้อยปรกลงมาปิดหน้าขา
ชายเจ็ดคนที่นั่งเรียงกันสวมเสื้อและกางเกงผ้าทอสีดำมีลายปักเล็กน้อยแบบเดียวกับที่ติ๊เบี่ยสวม พวกเขาไว้ผมยาวมัดมวยตึงแน่นที่กลางศีรษะ อะผ่าจำชายที่นั่งริมซ้ายใกล้ประตูห้องได้ว่าคือพิมะที่เขาพบเจอในงานศพที่บ้านผาแดงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ชายผู้นั้นดูไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เขาเคยเห็น
“สวัสดีท่านทั้งหลาย เชิญนั่ง” ชายสูงอายุนั่งกลางส่งเสียงทักทาย อะผ่ารีบแปลให้ทุกคนที่ยืนริมประตูรู้ความ
ชดและคนอื่นๆ เดินเข้าไปในห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเสื่อหวายถักที่ปูเต็มพื้นที่ ฤดีกับสุจานั่งพับเพียบ เชนและอะผ่านั่งขัดตะหมาด ส่วนอินญาดูเหมือนไม่ค่อยได้นั่งเก็บขา หญิงสาวพยายามหาท่าทางที่เหมาะสมแต่ก็นั่งไม่ถนัด มีมือหนึ่งส่งเก้าอี้กลมเตี้ยทำจากหวายถักส่งมาให้ อินญายิ้มเขินพลางกล่าวขอบคุณและหย่อนก้นลงนั่งอย่างเหมาะเจาะ สำหรับชดผู้มีรูปร่างท้วมใหญ่ เขานั่งผิงฝาห้องแล้วเหยียดขาจากนั้นก็หดปลายเท้าเข้าหาตัว
ห้องนั้นมีกลิ่นสมุนไพรหอมลอยอวลอยู่จางๆ บุคคลที่นั่งกันอยู่ก่อนหน้ายังนิ่งสงบ
“เดินทางกันมาเหนื่อยไหม” ผู้อาวุโสคนเดิมเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาชัดเจนได้ยินไปทั่ว
สุจาและอะผ่าทำหน้าที่เป็นล่ามพูดคุยโดยแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เชนและอินญาเข้าใจ และแปลกลับเป็นภาษาอาข่าสำหรับเจ้าบ้านทั้งแปด
บทสนทนาต่อไปนี้ผ่านการแปลจากล่ามทั้งสองแล้ว
“ไม่เหนื่อยเท่าไรค่ะ” ฤดีตอบและยิ้มให้ผู้ถาม เขามีอายุประมาณแปดสิบปีโดยประมาณหากดูจากรูปกายภายนอก แต่ข้อมูลที่ติ๊เบี่ยบอกมานั้นคนเหล่านี้อายุหลายร้อยปีหรืออาจถึงหลักพัน ซึ่งมันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเนื้อหนังของพวกเขาก็เหมือนกับคนทั่วไป มิใช่ผีดิบ ฤดีคิดอยู่ในใจ
“พวกท่านเดินทางมาครั้งนี้เพื่อมาขอตัวยาจากญิผ่าของเราใช่ไหม”
ชายผู้นั้นถามตรงไปตรงมาก่อนผินหน้าไปทางสตรีที่นั่งมุมห้อง ฤดีชำเลืองมองนางอย่างรักษามารยาท แล้วเธอก็แปลกใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ร่วมทางมา นางมีผิวสีน้ำตาลอ่อน เส้นผมสีเดียวกันถักมัดกับเครื่องประดับศีรษะเหนือหน้าผาก ดวงตาสีน้ำผึ้ง ขนตายาวงอน คิ้วยาวเรียวต่อกันเหนือจมูก โครงสร้างร่างกายของนางสูงใหญ่กว่าชายชาวอาข่าทั้งเจ็ดที่นั่งอยู่ในห้อง หากนางลุกขึ้นยืน ฤดีเดาว่าส่วนสูงของนางคงเท่ากับอินญา ฤดีรู้สึกแปลกใจว่านางผู้นี้หรือคือญิผ่า นางน่าจะมีอายุรุ่นคราวเดียวกับหนุ่มสาวทั้งสามหรืออ่อนกว่าด้วยซ้ำ วินาทีนี้หากฤดีหันหลังไปทางเชน เธอจะได้เห็นใบหน้าขาวซีดและสับสนของเขาที่จ้องมองผู้เป็นญิผ่าด้วยดวงตาไม่กะพริบ
ฤดีหันมาตอบคำถามของชายสูงอายุ
“ใช่ค่ะ ที่ในเมืองและทั่วโลกขณะนี้ถูกโจมตีด้วยโรคระบาดร้ายแรง พวกเราจึงเดินทางมาตามคำบอกของพิมะผู้หนึ่งจากรายงานของเด็กหนุ่มผู้นี้ที่เขียนไว้เมื่อสิบปีก่อน”
ฤดีพูดพร้อมกับผายมือไปที่อะผ่า จากนั้นค้อมตัวถามผู้อาวุโสผู้นั่งริมประตู
“ท่านคือพิมะผู้บอกคำทำนายที่ว่าใช่ไหมคะ” เธอจำเขาได้จากภาพวาดที่หน้าปกสมุด
ชายผู้นั้นพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ทุกคน
“ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านของเรา เอาละ ข้าจะขอแนะนำบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายให้พวกท่านได้รู้จักและโอภาปราศรัย เรื่องธุระสำคัญเอาไว้พูดหลังอาหารมื้อค่ำก็แล้วกันนะ”
พิมะผายมือไปทางซ้ายเพื่อแนะนำบรรดาผู้ที่นั่งเป็นแถวรวมทั้งหญิงที่อยู่มุมห้อง
“ผู้นั่งกลางที่ทักทายท่านเมื่อครู่นี้คือ ‘เจิ่วมะ’ เขาเป็นหัวหน้าผู้ทำพิธีกรรมทั้งหลาย ในแต่ละปีเรามีพิธีมากมายทั้งเรื่องเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ฉลองพืชผล ไปจนถึงพิธีโล้ชิงช้าและทำประตูหมู่บ้านใหม่ เขาต้องไปเป็นประธานตัดริบบิ้นทุกงาน”
ชายชรายิ้มรับจนตาหยีและหันไปมองผู้พูด ส่วนสุจาและอะผ่าผู้แปลภาษาถึงกับหัวเราะออกมาที่พิมะใช้คำทันสมัย
“ถัดไปสองคนนั่นคือ ‘บูแซะ’ และ ‘หน่าเหงอะ’ ทำหน้าที่รักษาความสงบ ช่วงนี้เราสงบกันมากไป ทั้งสองนี้คนเลยไปทำไร่ปลูกถั่วปลูกงาจัดระเบียบพวกนกกาที่บินลงมาแย่งชิงอาหารที่พวกเราปลูกไว้”
พิมะพูดหยอกเล่นกับผู้อาวุโสที่นั่งติดกับเจิ่วมะ คนทั้งสองยิ้มอ่อนและพยักหน้าหงึกๆ
“ผู้ที่นั่งต่อจากข้าคือ ‘บะจี’ นายช่างใหญ่ ผู้ออกแบบและลงมือสร้างบ้านทุกหลังอย่างประณีต เดือนนี้เขามีงานตีมีดล้นมือทุกวันแต่ยังเจียดเวลามาต้อนรับพวกท่าน จริงๆแล้วเขาแค่อยากนั่งพักสงบสติอารมณ์สักสองสามชั่วโมงแหละนะ พอพวกท่านมาก็เป็นโอกาสของเขา”
พิมะพูดพลางยิ้มกับบะจีผู้หัวเราะเห็นฟันขาว ผู้บรรยายเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วชะโงกศีรษะไปทางชายฉกรรจ์ที่นั่งถัดบะจีไป
“ทั้งสองคนนี้คือ ‘คะมา’ ผู้คอยช่วยเหลือกิจการต่างๆของหมู่บ้านในทุกเรื่อง ตอนนี้เขารับอาสาเป็นลูกมือซ่อมมีดพร้า ซึ่งอีกไม่นานข้าเชื่อว่าเขาจะควบตำแหน่งบะจีหากยังต้องนั่งสูบลมตีเหล็กกันทุกวันแบบนี้” คะมาทั้งส่องสั่นศีรษะและหันหน้ามองกันพร้อมกับหัวเราะในคอ
ทุกคนมองตามมือของพิมะที่แนะนำกลุ่มผู้อาวุโส เจิ่วมะ ผู้เฒ่าดูสุขุมและแข็งแรง บูแซะ และ หน่าเหงอะ น่าจะมีอายุประมาณห้าสิบปีเท่ากับ พิมะ จากที่พวกเขาประเมินด้วยสายตา บะจี นายช่างใหญ่ยังดูเป็นหนุ่มเกินกว่าจะเรียกผู้อาวุโส เพราะเขาคงมีอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ ส่วน คะมา สองคนนั้นมีอายุราวยี่สิบห้าปี
ผู้เป็นพิมะนั่งนิ่งสักครู่ จากนั้นจึงผินหน้าไปทางมุมห้องด้านในแล้วพูดต่อว่า
“นางผู้นั้นคือผู้ที่เรายกย่องให้เป็น ‘ญิผ่า’ ที่พวกท่านมาตามหา”
หญิงผิวสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นและมองตรงมาที่ผู้มาเยือนแต่ละคนเหมือนกำลังค้นหาบางสิ่ง นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของนางดูอ่อนหวานล้ำลึก นางหยุดมองไปที่เชนนิ่งนาน
ทันใดนั้นมีเสียงตึงตังเดินขึ้นบันไดมา บ้านทั้งหลังที่สร้างอย่างแน่นหนาสั่นสะเทือนชั่วขณะ ผู้มาใหม่ทั้งหกหันไปดูที่หน้าประตู หญิงสาววัยรุ่นร่างอ้วนป้อมสองคนถือถาดและกาน้ำเดินโยกตัวเข้ามา ศีรษะใหญ่สวมหมวกกลมมีตุ่มสีแดงตรงกลาง ทั้งสองมีใบหน้ากว้าง ตาหยี แก้มป่อง จมูกยาว ปากบาง คางเล็ก มีขนบางๆ ขึ้นอยู่ตามแขนขาที่โผล่พ้นเสื้อผ้าสีเข้มออกมา ผมม้าเส้นหนาที่ปรกคลุมหน้าผากโหนกเป็นสีน้ำตาลอมเทา
“เชิญพวกท่านดื่มน้ำชาแก้กระหาย” ผู้อาวุโสร้องเชิญ
สุจาหันไปกระซิบกับชด “สองคนนี้คงจะเป็นเพื่อนรักของติ๊เบี่ย”
เด็กสาวทั้งสองหันหน้ามองและยิ้มหวานให้ราวกับรู้ว่าสุจากำลังพูดถึงตน คนหนึ่งรินน้ำชาจากกาดินเผาใส่กระบอกไม้ไผ่เล็ก ส่วนอีกคนยื่นแจกให้ฝ่ายเยือนและฝ่ายเจ้าบ้าน จากนั้นสาวน้อยร่างกลมป้อมก็วางกาน้ำทิ้งไว้บนถาดและเดินโยกซ้ายโยกขวาออกจากห้องไป พื้นบ้านที่ผู้คนนั่งอยู่สั่นสะเทือนขณะที่ทั้งสองลงบันได
“น้ำชาของท่านช่างหอมชื่นใจจริงๆค่ะ” ฤดีกล่าวชม
“ชาพันธุ์นี้เรานำมาจากแผ่นดินใหญ่ทางเหนือ ปลูกได้งอกงามในพื้นที่หนาวเย็น เมื่อมันผลิยอดเราต้องตื่นแต่เช้าไปเด็ดก่อนต้องแสงแดด จากนั้นนำมาตากในร่มและเก็บไว้ในกระบอกไม้ไผ่หวาน เราใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติชง จึงให้รสที่ฉ่ำใจ”
ผู้เฒ่าตอบ รอยยิ้มเปี่ยมไมตรีของเขาสร้างความอบอุ่นในความรู้สึกให้ผู้มาเยือนทั้งหก
“น้ำจากลำธารนี้เราใช้อาบและซักล้าง ส่วนน้ำดื่มเราต่อรางรินมาจากลำห้วยสายน้อยหลังหมู่บ้าน มันไหลออกมาจากภูเขา เป็นน้ำบริสุทธิ์ใสสะอาด ไม่ทำอันตรายร่างกายของพวกท่าน” หน่าเหงอะอธิบายเสริม
ทั้งสองพูดด้วยภาษาอาข่าโบราณ สุจาและอะผ่าต้องเอียงหูเพื่อจับความและทำความเข้าใจก่อนจะแปล ส่วนฤดีนั้นยอมรับว่าแม้เธอรู้ภาษาอาข่าอย่างดี แต่สำเนียงที่ได้ยินขณะนี้ฟังราวกับภาษาอื่น
“เมื่อคืนนี้พวกท่านนอนที่ไหน” พิมะถาม
“พวกเรานอนที่ลานหินบนหน้าผาด้านโน้นครับ” ชดชี้มือไปด้านหน้าลำธาร ซึ่งเป็นทิศที่พวกเขาขับรถมา
“ติ๊เบี่ยไปถึงตั้งแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางครับ”
ชดไม่แน่ใจว่าถ้าบอกเวลาตามนาฬิกาของเขา ท่านผู้อาวุโสเหล่านี้จะเข้าใจหรือเปล่า
“อ้อ เจ้าตัวนี้มันคล่องแคล่วว่องไวหัวดี เสียอย่างเดียวชอบล้อเล่นจนเกินเหตุ” พิมะหัวเราะหึๆ “แล้วเขาบอกอะไรพวกท่านบ้าง”
“เขาบอกว่าเหล่าผู้อาวุโสส่งเขาให้ไปรับพวกเรามาที่นี่ค่ะ” ฤดีพูด
“ถูกละ เราส่งเขาไปนำทางพวกท่านมา ดีแล้วที่พวกท่านมาถึงอย่างปลอดภัย” พิมะพิจารณาดูผู้มาเยือนทีละคน “พวกท่านชื่ออะไรกันบ้างล่ะ คุยกันตั้งนานแล้วยังไม่รู้จักกัน”
“โอ้ ผมขออภัย ผมลืมแนะนำตัวพวกเราแต่ละคน”
ชดอุทาน แล้วเริ่มแนะนำทีมเยือนให้ฝ่ายเจ้าบ้านได้รู้จัก เขาเหลียวหลังผายมือไปที่เชนเป็นคนแรก
“หนุ่มสูงใหญ่ผมยาวผิวเข้มผู้นี้ชื่อ เชน อายุ 24 ปี เพิ่งจบการศึกษาจากสถาบัน เขาเป็นชาวอเมริกันสายเลือดนกฟ้าอันเป็นชนเผ่าโบราณผู้อพยพไปอยู่ทวีปอเมริกาเหนือเมื่อแปดพันปีที่แล้ว ครอบครัวของเขาเป็นโวไวดาผู้ทำหน้าที่ติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษและเป็นผู้เยียวยารักษาความเจ็บป่วยของผู้คนด้วยพิธีกรรมและยาสมุนไพร เขาเดินทางมากับหญิงสาวผมแดงที่นั่งถัดจากเขาผู้มีอายุเท่ากัน เธอชื่อ อินญา เป็นชาวอเมริกันเช่นเดียวกับเพื่อนหนุ่ม เธอเพิ่งจบการศึกษาสาขาที่เรียนรู้เรื่องราวของมนุษย์ชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเธออาจมีเรื่องซักถามพวกท่านมากมายเพื่อประดับความรู้”
ชดหยุดนิดหนึ่ง และผายมือไปทางสุจาและอะผ่าที่นั่งคู่กันอยู่ด้านหนึ่ง
“ส่วนล่ามของเราสองคน ผู้นี้ชื่อ สุจา อายุประมาณห้าสิบ เป็นชาวอาข่าเช่นเดียวกับพวกท่าน เขาเกิดและเติบโตที่หมู่บ้านบนยอดดอยผาชัน ซึ่งท่านพิมะอาจเคยไปเยือนมาแล้ว เขาเป็นผู้มีความมานะพยายามอย่างยิ่งยวดและกตัญญูรู้คุณต่อผู้ที่ช่วยเหลือ เขาสามารถพูดได้หลายภาษาจากการเรียนรู้แบบธรรมชาติ โดยใช้ตาดูปากและหูฟังเสียงอย่างตั้งใจ เช่นเดียวกับติ๊เบี่ยที่ฟังพวกเราพูดคุยไม่นานเขาก็จดจำคำศัพท์และนำมาใช้”
ชดเว้นระยะนิดหนึ่งและสะกิดฤดีให้แนะนำอะผ่าต่อ ฤดีกระแอมนิดหนึ่งก่อนเริ่มพูด
“ล่ามหนุ่มของเราผู้นี้ชื่อ อะผ่า อายุ 25 ปี เขาเคยเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิที่สนับสนุนการศึกษาของเด็กชาวเขา เมื่อสิบปีที่แล้วอะผ่าซึ่งยังเป็นวัยรุ่นได้ไปร่วมงานศพผู้อาวุโสคนสำคัญผู้ถูกงูกัดตายที่หมู่บ้านผาแดงบ้านเกิดของเขา”
ฤดีมองพิมะผู้ซึ่งกำลังตั้งใจฟัง
“วันนั้นท่านเดินทางไปถึงในเวลาพลบค่ำเพื่อช่วยสวดส่งวิญญาณ เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ฟังคำสวดของท่าน เขาจดบันทึกไว้และนำมาเขียนรายงานส่งมูลนิธิ มันถูกเก็บใส่ตู้ไว้ตลอดมาจนเมื่อเดือนที่แล้วคุณโนอาห์ผู้อุปถัมภ์มูลนิธิได้หยิบออกมาปัดฝุ่นอ่านซ้ำ เขาพบเนื้อหาหน้าสุดท้ายที่กล่าวไว้ว่าจะมีเภทภัยโรคระบาดเกิดขึ้นในปีหนูหิว ซึ่งคุณโนอาห์สันนิษฐานว่าคือปีนี้ เขาบอกให้เราออกเดินทางมาตามหาญิผ่าผู้จะบอกตัวยาให้เรานำไปช่วยชีวิตผู้คน อะผ่าเรียนจบสาขาช่างยนตร์และทำงานแล้ว แต่โรคระบาดที่กำลังคุกคามโลกภายนอกทำให้กิจการทั้งหลายต้องปิดตัวลง เขาจึงมีเวลาเดินทางมากับพวกเราค่ะ”
ฤดีจบคำแนะนำอะผ่า ผู้ซึ่งนั่งอมยิ้มรับฟังสิ่งที่ฤดีพูด จากนั้นเธอก็แนะนำตัวเอง
“ฉันชื่อ ฤดี ค่ะ ปีนี้อายุ 64 ปัจจุบันฉันประดิษฐ์งานศิลปะขายที่บ้านแม่สลอง ก่อนหน้านี้เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วฉันทำงานศึกษาค้นคว้าชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาเผ่าต่างๆ และสนิทสนมกับชาวอาข่าเป็นการเฉพาะ ฉันฝึกหัดพูดกับพวกชาวบ้านเพื่อการสื่อสาร จากนั้นฉันทำงานที่มูลนิธิหมี่ยะ-โนอาห์นานสิบเจ็ดปี
“ในงานศพคุณโนอาห์ผู้อุปถัมภ์มูลนิธิที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่ถึงอาทิตย์ดี ฉันได้อ่านจดหมายของเขาที่แสดงความเป็นห่วงผู้คนทั้งหลายที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดร้ายแรงซึ่งไม่มีทางรักษาหาย เขาขอให้ฉันขึ้นดอยมาค้นหาหมู่บ้านหลังน้ำตกแห่งภูผาดำ ฉันตั้งใจคราวแรกว่าจะมากันเพียงสามคนด้วยรถคันเดียว แต่ภายหลังคุณชดมีเมตตาได้นำรถของเขาขับมาช่วยอีกคัน พร้อมทั้งสุจาเพื่อนสนิทของฉันและเชนเพื่อนของอินญาที่บินมาจากอเมริกาพร้อมกัน เราจึงมาถึงที่นี่จนได้ค่ะ”
ฤดีจบการแนะนำตัวเอง แล้วพยักหน้าให้ชด
“ผมชื่อ ชด ครับ อายุ 65 ปี แก่กว่าผู้ร่วมคณะทุกคนผมจึงตั้งตัวเป็นหัวหน้าของพวกเขา ผมเกษียณจากงานร้านอาหารที่ทำกับภรรยาชาวอังกฤษแล้วกลับมาอยู่เชียงใหม่ได้ไม่นาน ผมมีลูกสาวหนึ่งคนกำลังเรียนหนังสือที่กรุงลอนดอน แม่เขาคอยดูแล
“เมื่อไม่กี่วันมานี้คุณฤดีบอกผมว่าจะเดินทางขึ้นดอยเพื่อทำตามความมุ่งหมายของคุณโนอาห์ผู้เป็นเพื่อนเก่าของเรา ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยตามมาช่วยเธอครับ”
ชดจบคำแนะนำตัวอย่างง่ายๆ แล้วยกกระบอกน้ำชาขึ้นดื่มจนหมด
พิมะผู้นั่งตรงข้ามเขายกกาน้ำชาเทเติมใส่กระบอกให้ชดอย่างมีไมตรี จากนั้นเขาก็พูดเป็นภาษาอังกฤษออกมาท่ามกลางความตื่นตะลึงของคนทั้งหก
“ข้าฟังท่านพูดมานานจึงขอจับภาษาของพวกท่านมาใส่ปากไว้ ข้ารับรองได้ว่าเจิ่วมะ บูแซะ หน่าเหงอะ บะจี คะมา และญิผ่าก็สามารถพูดภาษาท่านได้แบบเดียวกันหลังจากนั่งฟังวิธีพูดของท่านมาพักใหญ่”
พิมะหันไปยิ้มกับบรรดาผู้ที่นั่งถัดจากเขาไปและก้มศีรษะให้ญิผ่าที่นั่งด้านในสุด
“วิธีเรียนรู้ของท่านช่างน่าประหลาดนัก” ชดกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“มันเป็นวิธีธรรมชาติ หากท่านฝึกหัด ท่านก็ทำได้” ผู้เป็นบูแซะตอบยิ้มๆ สำเนียงของเขาใกล้เคียงกับสำเนียงของอะผ่าที่นั่งใกล้เขา
“พวกเราที่อยู่ในเมืองกว่าจะเรียนพูดภาษาอังกฤษได้ก็ใช้เวลานับสิบปีเลยค่ะ เรียนแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะพูดได้ทุกคน เรียนทิ้งเรียนขว้างเสียเวลาไปก็เยอะ” ฤดีตอบจากประสบการณ์ของเธอ
“เรารู้มาว่าพวกท่านส่วนใหญ่เรียนภาษาอื่นนอกจากภาษาของตัวเองจากการอ่านหนังสือ ทำให้พวกท่านเรียนได้ช้า”
พิมะผู้ซึ่งมีประสบการณ์ในการเดินทางมากเอ่ยปาก อินญาและเชนพนักหน้ายอมรับ
“จริงค่ะ อินญาเกิดมาใช้แต่ภาษาอังกฤษ และเรียนภาษาฝรั่งเศสกับเยอรมันเป็นวิชาเลือก แต่กว่าจะพูดได้ก็ใช้เวลานับสิบปีจริงๆค่ะ”
ขณะที่หญิงสาวพูด เจ้าบ้านทั้งแปดต่างนิ่งฟัง เมื่อเธอพูดจบผู้เป็นบะจีก็เอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงอเมริกันแบบอินญา
“พูดถึงเรื่องภาษา ข้าขอถามอะไรหน่อย เจ้าติ๊เบี่ยตัวจ้อยเขาพูดภาษาของพวกท่านได้ดีไหม”
“เขาพูดภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยมหลังจากฟังพวกเราหกคนพูดกันสองสามชั่วโมง และเมื่ออยู่ในรถคันที่พี่ชดขับ เขาฟังพี่สองคนนี้และหนูพูดภาษาไทยกัน ไม่นานเขาก็พูดภาษาไทยได้ ช่างเก่งอย่างเหลือเชื่อจริงๆค่ะ” สุจารีบบอกและยกนิ้วโป้งชู
“ถ้าอย่างนั้น หากสื่อสารกันได้ เจ้าพังพอนคงเล่าอะไรต่อมิอะไรมากมายให้พวกท่านฟังไม่น้อย” เป็นเสียงกังวานจากคะมาผู้หนึ่ง ดวงตาสดใสของเขามองผู้มาเยือนแต่ละคนอย่างพิจารณา
“มีหลายเรื่องครับ เราฟังเขาจ้อมาตลอดเช้าจนถึงบ่าย” ชดตอบ
“พวกท่านเล่าให้พวกเราฟังบ้างจะได้ไหมว่าเจ้าติ๊เบี่ยบอกอะไร และนำท่านมาเส้นทางไหน พฤติกรรมของเขามีสิ่งใดที่พวกท่านจะฟ้องร้องบ้าง หากมันทำการประมาทเลินเล่อข้าจะได้กำราบมัน ” พิมะพูด
สุจาผู้นั่งข้างหน้ารีบตอบด้วยความชื่นชมติ๊เบี่ย
“ผู้เฒ่าพังพอนแสดงความกล้าหาญช่วยชีวิตดิฉันไว้เมื่อเช้ามืดวันนี้ เขากระโจนเข้าไปกัดงูเห่าที่กำลังจะฉกดิฉันจนมันขาดใจตายเลยค่ะ จากนั้นเขาก็คุยให้เราฟังว่าเมื่อเดือนที่แล้วในหุบเขาเบื้องหลังหมู่บ้านท่านมีลูกไฟดวงใหญ่ตกลงมาจากฟ้าและก่อให้เกิดเรื่องราวแปลกๆหลายอย่าง เช่น มีดและเครื่องมือทำไร่ที่เป็นเหล็กบิดเบี้ยวไปจนต้องซ่อมแซมกันทุกเช้า นอกจากนั้นป่ากล้วยกับป่าไผ่เกิดย้ายที่สลับกัน ขนาดประตูหมู่บ้านยังอพยพจากด้านหลังมาอยู่ด้านหน้า แต่วันนี้พวกเราโชคดีที่ประตูหน้ามันกลับมาที่เดิม”
เมื่อสุจาพูดถึงตอนนี้ เหล่าผู้อาวุโสพากันขมวดคิ้ว พิมะและบะจีมองหน้ากัน หน่าเหงอะยกมือขึ้นเการิมฝีปากเหมือนพยายามห้ามตนเองไม่ให้ส่งเสียง เจิ่วมะหัวเราะหึๆ ในลำคอ บูแซะกระแอมกระไอแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม คะมาทั้งสองอมยิ้มในหน้าเหมือนกำลังฟังเรื่องขำขัน ส่วนญิผ่าร่างใหญ่ผู้งามสง่านั่งกะพริบตาปริบๆ พวกเขานั่งฟังสุจาเล่ารายละเอียดต่างๆ อีกหลายประการจนถึงเรื่องการเดินทาง
“การเดินทางช่วงแรก ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยพาเราเข้าป่าทึบขึ้นเขาลงเนินมาหลายทอด แถมยังลอดหน้าต่างรถปีนขึ้นไปเก็บผลไม้บนต้นสูงลิบมาให้พวกเราชิมตั้งหลายผล จากนั้นเขาบอกให้เราขับรถมุดออกจากชายป่าจนไปถึงริมผาก็เจอเหวลึก ผู้เฒ่าแนะนำให้เรากลับรถและขับถอยหลังออกไป ดิฉันเห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้า”
สุจาทำน้ำเสียงตื่นเต้น เขายกกระบอกน้ำชาจึ้นจิบและเล่าต่อ
“พอผ่านทุ่งหญ้ามา เราขับรถตรงไปอีกหน่อยก็ถึงน้ำตก แล้วรอให้มันหยุดไหลตอนที่พระอาทิตย์ตรงหัว จากนั้นรถสองคันรีบขับตามกันเข้าไปในถ้ำใหญ่ซึ่งมีทางแยกหลายทาง ผู้เฒ่าพังพอนให้เราขับตรงไปจนถึงทางโค้งและวนขวาขึ้นที่สูง พวกเราไปถึงทางออกและจากนั้นก็ลอยละลิ่วลงมาที่ริมธาร เมื่อมองกลับขึ้นไปเรามองไม่เห็นปากถ้ำ เห็นแต่ผนังภูผาสีดำที่กระทบแดดจ้าจนแสบตา ผู้เฒ่าบอกว่ามันเลื่อนไปเลื่อนมาหลังจากเหตุการณ์ลูกไฟตก”
มีเสียงครืดคราดออกจากลำคอพิมะ ขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นส่ายศีรษะและหัวเราะหึๆ สุจาเริ่มทำหน้าฉงนแต่เขายังเล่าต่อไปให้จบเนื้อความ
“ขณะพักผ่อนกินอาหารกัน เราถามเขาเรื่องสะดือลำธารที่สูบน้ำลงไปจนหมดเมื่อตะวันตรงหัว ผู้เฒ่าชี้ให้ดูกลางน้ำและบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปคอยดูตอนเที่ยง เราจะเห็นน้ำวนลงไปในโพรงใหญ่มหึมาครู่หนึ่ง จากนั้นมันจะพ่นน้ำกลับออกมาแล้วน้ำตกก็จะไหลอย่างเดิม
“เรื่องน่าแปลกใจยังไม่หมดเท่านี้นะคะ เราขับรถมาถึงซุ้มประตูหมู่บ้านซึ่งใช้ซุงท่อนใหญ่ปักเป็นเสาและวางพาดเป็นคานมหึมา เขาบอกว่าเป็นฝีมือของเพื่อนรักของเขาสองคน และเมื่อเข้าเขตหมู่บ้าน เราถามหาชิงช้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านอาข่า เขาบอกว่ามันเลื่อนหนีไป ชาวบ้านตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ อ้อ ยังมีอีกเรื่องค่ะ คือเขาบอกว่าพืชผักสวนครัวตามระเบียงหน้าบ้านที่เราเห็น พวกมันพากันอพยพมาจากสวนหลังบ้าน...”
สุจาพูดยังไม่ทันจบเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่จากบรรดาผู้อาวุโส หน่าเหงอะตบเข่าตนเองฉาดและพูดว่า
“แหมมันช่างแต่งเรื่องนะนั่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
สุจา ชด ฤดี อะผ่า อินญา สุจา และเชน ต่างทำหน้าประหลาดใจ
“ที่ดิฉันเล่ามานั้นผู้เฒ่าติ๊เบี่ยเขาโกหกหรือคะ แต่พวกเราเห็นน้ำตกที่มันหยุดไหลจริงๆนะ อีกทั้งเห็นสิ่งแปลกตาอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยเห็นทั้งเหวลึกที่กลายเป็นทุ่งหญ้า ” สุจาถามอย่างสงสัย
“ก็ไมใช่ทุกเรื่องหรอกนะที่เจ้าพังพอนตัวร้ายมันหลอกท่าน” เจิ่วมะพูดกับสุจาอย่างใจดี “ไอ้เจ้าตัวนี้มันสร้างสีสันให้พวกเราได้หัวเราะกันบ่อยๆ แต่ข้านึกไม่ถึงว่ามันจะล้อเล่นกับพวกท่านได้ถึงขั้นนี้”
“อ้อ อย่างนั้นหรือครับ บางเรื่องผมก็สงสัยว่ามันจะเป็นได้อย่างไรเพราะมันผิดหลักวิทยาศาสตร์” ชดบอก
“ถ้าพวกท่านอยากรู้ เดี๋ยวพวกเราจะช่วยเฉลยข้อสงสัยว่าเรื่องต่างๆ ที่เจ้าพังพอนเฒ่ามันเล่าให้พวกท่านฟังนั้น เรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ” ชายชราจิบน้ำชาแล้วพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พวกท่านนั่งกันให้สบาย ขยับแข้งขยับขายืดออกมาบ้างก็ได้เลือดลมจะเดินสะดวก เพราะเราจะคุยกันอีกนานก่อนอาหารมื้อค่ำ”