บทที่ 5 คณะผู้อาวุโส
ผู้มาเยือนทั้งหกรวมทั้งมัคคุเทศก์ร่างเล็กจ้อยต่างนั่งพักผ่อนครู่หนึ่งหลังอาหารมื้อบ่ายที่มีบรรยากาศเหมือนการนั่งปิ๊กนิกริมน้ำ
ลำธารใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าทอดร่างเหยียดยาวถึงหมู่บ้านที่ไม่เคยมีใครมาเยือน มันส่งเสียงซ่านซ่าไพเราะหู มนุษย์จำแลงเล่าให้นักเดินทางทั้งหกฟังว่าที่หุบเขาถัดไปคือบริเวณที่มีลูกไฟตกจากฟ้าลงมาระเบิดเสียงดังกัมปนาท ต้นไม้เอนราบเป็นทิวแถว จากนั้นก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นไม่เว้นวัน ตั้งแต่เครื่องมือทำไร่ที่เป็นเหล็กเกิดบิดงอ นอกจากนั้นมันยังส่งผลให้พื้นที่ต่างๆ กลับทิศและเลื่อนสลับตำแหน่ง ซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชดและอะผ่าขับรถหลงทางเมื่อเย็นวาน
เจ้าพังพอนในร่างคนทำท่าทอดถอนใจและรำพึงว่าเรื่องประหลาดเหล่านี้มันเริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาของชาวหมู่บ้านริมธารมาร่วมเดือนแล้ว
“สิ่งใดที่เจอทุกวันมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกใช่ไหมท่าน”
ผู้มาเยือนต่างพยักหน้าแม้จะคลางแคลงสงสัย สุจานั่งพับเพียบเท้าคางพลางกล่าวกับติ๊เบี่ยเป็นเชิงสนับสนุนแต่ออกจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
“หนูเข้าใจที่ผู้เฒ่าเล่าบอกนะคะ สมมุติว่าหนูพาชาวหมู่บ้านริมธารไปเที่ยวในเมือง พวกเขาก็จะพบเรื่องน่าแปลกใจไม่แพ้กัน ทั้งถนนหนทางน่าเวียนหัว ตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า ผู้คนอาศัยอยู่ในรูสี่เหลี่ยมที่เรียกอย่างสวยหรูว่าคอนโด พวกเขาใช้เครื่องอำนวยความสะดวกที่มีอานุภาพน่ามหัศจรรย์ต่างๆ ทั้งเครื่องสแกนลายนิ้วมือ เครื่องรูดบัตร ทุกอย่างใช้เพียงการสัมผัสแผ่วเบา
“ในบ้านของพวกเขายังมีเครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า เครื่องตัดหญ้า เครื่องปิ้งขนมปัง เตาไมโครเวฟ โทรทัศน์ พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ล้วนแต่อัตโนมัติ ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะพบแสงสีแพรวพราวจากป้ายโฆษณา อีกทั้งไฟจราจรสีเขียวที่เมื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงก็ทำให้รถที่วิ่งอยู่ต้องจอดสนิทราวกับถูกเวทย์มนตร์
“ถ้าเข้าไปในห้างสรรพสินค้าหนูจะพาชาวหมู่บ้านไปขึ้นบันไดเลื่อนและเข้าลิฟต์ที่สั่งขึ้นลงแค่กดปุ่ม ซึ่งคงทำให้ตกอกตกใจกันไม่น้อย นอกจากนั้นการเดินทางยังมีพาหนะใหญ่เล็กแล่นรวดเร็วปรูดปราด อีกทั้งรถไฟลอยฟ้า รถไฟบนบก รถไฟใต้ดิน เครื่องบินเหาะเหินเดินอากาศ ชาวเมืองแต่ละคนต้องพกเครื่องมือสื่อสารอย่างน้อยคนละชิ้น เช่น โทรศัพท์ที่ส่งเสียงพูดคุยและเห็นภาพ สิ่งเหล่านี้เป็นความธรรมดาของคนที่อยู่ในโลกภายนอกซึ่งเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน แต่ก็คงเป็นความน่าตื่นตาตื่นใจของคนที่ไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับใครเป็นเวลานาน”
ติ๊เบี่ยเมื่อฟังสุจาพูดจบ เขาเบิกตาโตด้วยความสนใจ
“ที่แม่หนูพูดมาทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่น่าประหลาด วันหลังข้าขอไปเที่ยวในเมืองกับท่านบ้างจะได้ไหม ข้าอยากไปลองนั่งเครื่องบิน เพราะข้าไม่เคยเหาะเหินเดินอากาศเลย”
“ทำไมจะไม่เคย ก็ที่ท่านพาพวกเราทะลุปากถ้ำหล่นโครมลงมาเมื่อครู่ใหญ่ ท่านได้เหาะเหินเดินอากาศหนึ่งลมหายใจแล้ว” ชดพูดสวน
“ข้าอยากเหาะให้นานกว่านั้น แหม แต่เมื่อกี้ท่านก็เหาะได้สวยดีนะ” ติ๊เบี่ยเอ่ยปากชม
ชดสะบัดหน้าพรืดมองไปที่รถด้วยความสงสาร เจ้าฮัมเมร่าเพื่อนยากตกกระแทกพื้นโครมใหญ่ สำหรับคนรักรถสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าสาหัสจนถึงขั้นสิ้นมิตรภาพ มีตัวอย่างมาแล้วหนุ่มหัวร้อนบางคนถึงกับหมดอนาคต เพราะเกิดโทสะด่ากราดคู่กรณีที่เพียงทำให้รถของตนเป็นรอย แต่สำหรับชดในขณะนี้ เขาปลงได้แล้วเมื่อทบทวนถึงความคิดตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง เขาตั้งใจไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับรถคันใหม่ ขอแค่ให้มันมีแรงพาพวกเขาไปถึงจุดหมาย ทำภารกิจให้เสร็จสิ้น และกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ เขาไม่กังวลหากมันจะสีถลอกหรือบุบระบมไปทั้งคัน อุปกรณ์บางส่วนจะเสียหรือใช้การไม่ได้ก็ช่างปะไร ขอให้ยังขับเคลื่อนต่อไปได้ เขาก็พอใจแล้ว
ฤดีมองติ๊เบี่ยและชดที่พูดกันเหมือนหยอกเย้าด้วยสีหน้าขึงขัง ส่วนสุจาหันหน้าไปคุยกับเชน อินญา และอะผ่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ต่างบอกกันว่ามันช่างน่าตื่นเต้นระคนกับความสนุก
“อินญาเดาไม่ถูกว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อินญาก็พร้อมรับเหตุการณ์นะคะ” หญิงสาวบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย
เมื่อชดกินอาหารเสร็จเป็นคนสุดท้าย เขายันตัวลุกขึ้นและมองสำรวจไปรอบๆ เพื่อจดจำหลักหมายของภูมิประเทศ แต่เขาไม่รู้ว่าจะจับสังเกตอะไรหากว่าพรุ่งนี้มันจะเคลื่อนย้ายสลับทิศไปตามที่ติ๊เบี่ยบอก
“ภูเขานี่ไม่เคยขยับไปไหนใช่ไหม ตั้งแต่ลูกไฟมันตกลงมาในหุบเขา”
ชดทดสอบความคิดของชายร่างแคระที่กำลังสูบยาเส้นอย่างสบายใจ
“ภูเขามันหนัก คงขยับไม่ไหว ให้มันอยู่กับที่อย่างนี้ก็ดีแล้วนะท่าน ไม่งั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากภูเขานี้เคลื่อนหนีไปมันจะพาน้ำตกย้ายไปด้วย ท่านจะหาทางออกไม่ได้ นอกจากนั้นลำธารสายนี้ก็ต้องเลื่อนไปไหลอยู่ที่อื่น ชาวหมู่บ้านข้าคงลำบากหากไม่มีน้ำใช้”
ติ๊เบี่ยพูดฉอดๆ ชดพยักหน้า ทำตาปริบๆ แล้วขมวดคิ้ว ไม่ถามอะไรต่อ เพราะเกรงว่าคำตอบที่ได้อาจทำให้ความคิดเขาสับสนมากขึ้น
ชดมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาบ่ายสองครึ่งแล้วบอกทุกคนว่า
“เอาละ เรากินอาหารกลางวันและพักผ่อนกันสบายใจแล้ว จากนี้ไปเราจะเข้าสู่หมู่บ้านริมธาร” เขาหันไปหาติ๊เบี่ย “ไหนบอกหน่อยซิ พ่อเฒ่า ว่าซุ้มประตูทางเข้าอยู่ที่ไหน”
ติเบี่ยขยับผ้าโพกหัวให้ตั้งตรงแล้วพูดด้วยเสียงเล็กแหลม
“เลียบริมลำธารไปไม่นาน ประตูหมู่บ้านจะปรากฏ”
“มีโอกาสไหมที่มันจะไม่ปรากฏ” ชดหรี่ตามองติ๊เบี่ย ผู้นำทางร่างจ้อยหัวเราะหึๆก่อนตอบว่า
“ท่านเริ่มรู้ทันข้าไปทุกคำพูดละนะ ”
“บทเรียนมันสอน ช่วยตอบคำถามผมด้วย” ชดหัวเราะหึๆบ้าง
“มันก็มีโอกาสเหมือนกันแหละ ท่านหัวหน้าคณะ แต่ข้าคิดว่ามันย้ายสลับที่จนเบื่อจะแย่แล้ว ซุ้มประตูหน้าวันนี้คงไม่ขยับไปไหน เพราะข้าเห็นเงามันทาบลำธารด้านโน้น เห็นไหม”
ติ๊เบี่ยชี้ไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าไกลๆ มันกำลังกระเพื่อมไหวเป็นระลอกด้วยแรงลม ทุกคนชะเง้อมองแต่ไม่เห็นอะไรนอกจากน้ำใสสะท้อนเงาลำต้นไม้ใหญ่
“หนูมองไม่ออกหรอกค่ะพ่อเฒ่า หนูเริ่มสายตาสั้น” สุจาพูดพลางขยับแว่น “เกือบลืมถามไปข้อหนึ่ง สะดือลำธารที่มันสูบน้ำลงไปจนหมดนี่อยู่ตรงไหนหรือคะ หนูอยากเห็น”
“นั่นสิคะ อินญาก็อยากเห็น” อินญาสาวเท้าไปยืนริมน้ำและกวาดตามอง
ติ๊เบี่ยขยับเดินไปหยุดข้างอินญา หัวที่โพกผ้าสีดำสูงเหนือศอกหญิงสาวชาวอเมริกันผู้มีนัยน์ตาสะสวย เขายกมือชี้ไป
“นั่นไง ตรงกึ่งกลางลำธารพอดี ตอนนี้ท่านมองไม่เห็นหรอกเพราะมันยังไม่หายใจ พรุ่งนี้หากมีเวลาท่านจงเดินออกจากหมู่บ้านแล้วแวะมาแถวนี้ก่อนเที่ยง พอดวงตะวันตรงหัวพอดีท่านจะเห็นสายน้ำหมุนวนลงไปในโพรงใหญ่ มันดูดซับลำธารทั้งสายเข้าไปแค่ชั่วหายใจเข้า เมื่อมันหายใจออก มวลน้ำก็พลุ่งออกมาราวน้ำพุแล้วตกสาดซ่าไหลลงไปเบื้องล่างอย่างเดิม มันเป็นเช่นว่าเนิ่นนานมาแล้วก่อนที่พวกเราจะเข้ามาอยู่ ซึ่งคนภายนอกไม่มีใครรู้ความลับนี้ มีแต่พวกท่านที่จะได้เห็น”
ติ๊เบี่ยบอกอินญาด้วยน้ำเสียงใจดี เชน อะผ่า ฤดี สุจา และชดยืนฟังอยู่ข้างหลัง
“อินญาขอบคุณท่านผู้เฒ่ามากที่กรุณาบอกเรื่องราวต่างๆให้พวกเราได้รับรู้” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ข้าเต็มใจที่ได้พูดคุย” ติ๊เบี่ยตอบรับอย่างมีมารยาท
“เอาละเดินทางกันต่อดีไหม พรุ่งนี้เราค่อยออกมาดูสะดือลำธารหายใจ” ชดส่งเสียงบอก
“ไปกันทีก็ดี เพราะมีคนรอพวกท่านอยู่ที่หมู่บ้าน เหล่าผู้อาวุโสที่ส่งข้าไปรับพวกท่านนั่นแหละ” ติ๊เบี่ยพูดพลางเดินไปรวมกลุ่ม
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะค่ะ เอ่อ ว่าแต่พวกเขากำลังรอเราอยู่จริงๆหรือจ๊ะ ติเบี่ย” ฤดีถามเพื่อความมั่นใจ
“ข้าขอสารภาพว่าเรื่องนี้ข้าไม่พูดเล่น พวกเขารอพวกท่านอยู่จริงๆ ข้าเองก็คิดถึงบ้านจะแย่ ป่านนี้พวกเพื่อนๆ คงรออยู่ ข้ามีของไปฝากพวกเขาเยอะแยะเลย”
ผู้เฒ่าพังพอนตบย่ามที่ตุงไปด้วยสารพัดสิ่งของที่เก็บรวบรวมไว้ระหว่างทางและกระโดดขึ้นรถเป็นคนแรก
อินญา เชน และอะผ่ารออยู่ในรถอีกคันแล้ว ชดก้าวขึ้นหลังพวงมาลัยหลังจากเปิดประตูรถให้ฤดีและสุจาขึ้นไป
“หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ รู้สึกใจคอหวิวๆ” สุจาพูดพร้อมทั้งหายใจเข้าลึก
“พี่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้สุจานะ ตอนนี้พี่เกือบลืมโลกภายนอกที่อยู่เบื้องหลังไปแล้ว ลืมว่ากำลังมีโรคระบาด มีคนเจ็บป่วยที่รอยารักษา ตั้งแต่เมื่อวานนี้ที่เดินทางมา พวกเราเจอะเจออะไรมากมาย ทุกสิ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ และพี่ดีใจที่ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ” ฤดีพูดด้วยอารมณ์อ่อนไหว
“ผมก็รู้สึกเช่นเดียวกับพวกคุณนะ” ชดพูด
“แล้วไม่ถามข้าบ้างหรือว่าข้ารู้สึกอย่างไร” ติ๊เบี่ยพูดเหมือนน้อยใจ
“ผู้เฒ่าคะ หนูเห็นแล้วว่าท่านดีใจที่จะได้กลับบ้าน ท่านปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตหนู และช่วยนำทางพวกเรามาจนถึงที่นี่ บุญคุณนี้หนูไม่มีวันลืม” สุจาพูดเสียงอ่อนหวานกับติ๊เบี่ย
“เอ่อ เออ แม่หนูคนสวยยกยอข้าอย่างนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว” ติ๊เบี่ยอมยิ้มขวยเขิน
“คราวนี้ก็บอกทางเราได้แล้วครับผม” ชดพูดพลางเหลียวซ้ายขวาเพื่อสังเกตเส้นทางและจดจำไว้ ติ๊เบี่ยยกมือชี้ไปข้างหน้า
“ตรงไปเลย ไม่ต้องถอย!”
“แหม ผู้เฒ่า ผมนี่อยากได้ยินคำนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ริมผาแล้ว” ชดบอกพร้อมกับเข้าเกียร์เดินหน้า
จากนั้นรถทั้งสองคันก็ขับเลียบริมตลิ่งของลำธารใหญ่ อีกฟากของสายน้ำเป็นป่าเขียวชะอุ่ม เส้นทาง โค้งไปตามแนวเทือกเขาหินแกรนิตสีดำที่อยู่ทางด้านขวา
“ข้างหน้าโน่น เห็นไหม แหมดีใจ วันนี้ซุ้มประตูอยู่กับที่” ติ๊เบี่ยทำเสียงจิ๊กจั๊ก
สิ่งที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้าทำให้สุจาร้อง
“โอ้โฮ นี่มันไม่ใช่ประตูอาข่าแล้วมั้งคะ”
ฤดีชะโงกหน้าเข้าไปข้างชด
“โอ้ ฉันไม่เคยเห็นซุ้มประตูหมู่บ้านที่ไหนใหญ่โตแบบนี้เลย” เธออุทานแล้วมองติ๊เบี่ย เขาบอกเธอด้วยสีหน้าภูมิใจ
“ตอนที่พวกเราย้ายมาใหม่ๆ เมื่อร้อยปีที่แล้ว จิมุ่ยกับจิเม้าว์เพื่อนรักของข้ารับอาสาสร้างสรรค์ เราเลยมีประตูแบบนี้อยู่ข้างหน้าหมู่บ้าน ซึ่งบรรดาผู้อาวุโสเขาไม่ว่าอะไร เขาบอกรูปแบบไม่สำคัญเท่าประโยชน์ที่แท้จริง”
ผู้โดยสารในรถสองคันต่างเบิกตาดูซุ้มประตูที่ตั้งตระหง่าน มันทำอย่างเรียบง่ายโดยใช้ไม้ซุงท่อนมหึมาปักเป็นเสาสองข้างห่างกันประมาณสิบเมตร มีซุงท่อนที่สามวางพาดเป็นคานอยู่ข้างบน จังหวะวางคานบนเสาใหญ่ช่างเหมาะเจาะและมั่นคง
“ผู้เฒ่า บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าเสาสูงใหญ่ขนาดนี้ยกตั้งได้อย่างไร” ชดอึ้งกับภาพตรงหน้า
“ก็บอกแล้วไงว่าเป็นฝีมือจิมุ่ยกับจิเม้าว์เพื่อนข้า” ติ๊เบี่ยบอกด้วยสีหน้าภูมิใจ
ในรถของโนอาห์ที่อะผ่าเป็นผู้ขับ หนุ่มสาวสามคนต่างพูดคุยอย่างตื่นเต้น
“นี่มันสูงสามช่วงตัวของเราเลยนะ” อะผ่าประเมินด้วยสายตา
“ประตูหมู่บ้านอาข่าทั่วไปเป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ” อินญาถามอะผ่า
“ไม่หรอก อินญา ที่หมู่บ้านอื่นประตูทางเข้าเป็นเสาต้นเล็กๆ สูงท่วมหัวเท่านั้น รถผ่านไม่ได้เพราะทำไว้เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ไปเฉียดกรายหรือเดินเข้าไปใกล้ เพราะมันเป็นเครื่องแบ่งแดนระหว่างผีกับคน มีการสร้างประตูใหม่ต่อจากของเดิมทุกปี นอกจากนั้นยังมีง่ามกิ่งไม้ที่แกะสลักเป็นรูปคนและรูปอื่นๆวางประดับ”
อะผ่าอธิบาย
“ตุ๊กตารูปคนเพศชายและเพศหญิงเป็นเครื่องหมายบอกถึงการก่อกำเนิดของมนุษย์ ส่วนใหญ่ใช้ไม้ท่อนสูงเท่าตัวคนมาขูดเกลาและใช้มีดถากแต่งให้เป็นรูปร่างแบบหยาบๆเท่านั้น”
“น่าสนใจมาก อะผ่า” เชนบอก เขากำลังนึกถึงหมู่บ้านชาวนกฟ้าซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสัญลักษณ์ต่างๆมากมายรอบอาณาเขตที่อาศัย
อะผ่าพยักหน้ารับรู้สิ่งที่เชนบอก เขาพูดต่อ
“โดยทั่วไปหมู่บ้านชาวอาข่ามีประตูหมู่บ้านสี่แห่ง ประตูแรกเป็นทางเข้าสู่บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของครอบครัวต่างๆ ประตูที่สองเป็นทางออกไปแหล่งน้ำลำห้วย ประตูที่สามเป็นทางเข้าป่าหาอาหาร และประตูที่สี่นำไปสู่ป่าช้า ซึ่งแต่ละประตูไม่กำหนดทิศ แล้วแต่ที่ตั้ง” อะผ่าอธิบายเสริม
เชนมองลำธารที่เห็นเงาของซุ้มประตูปรากฏ แล้วเขาก็เข้าใจ
“เงาสีน้ำตาลในลำธารที่เราเห็นก่อนออกรถก็คือเงาของเสาซุ้มประตูนี้เอง”
อะผ่าเปลี่ยนเกียร์ต่ำให้รถแล่นอย่างช้าๆ ตามหลังรถคันหน้าที่คืบคลานผ่านประตูใหญ่ อินญาแหงนหน้ามองซุ้มประตูท่อนซุงแล้วสั่นหน้าอย่างประหลาดใจ
“ใครกันที่เป็นคนถอนต้นไม้เอามาปักเป็นเสาสองข้าง แล้วยกอีกต้นขึ้นไปวางพาดเป็นคานอย่างพอดิบพอดี” หญิงสาวรำพึง
“สมองผมกำลังคิดว่าพวกเขามีเครื่องชักลากอะไรหรือเปล่า เพราะหากด้วยแรงคนคงทำไม่ไหว หรืออาจมีตัวช่วยอื่น” เชนว่า
“มันก็ยากจะเดานะ” อะผ่าพูด จากนั้นเขาก็มองเห็นท่อนไม้แกะสลักเป็นรูปคนตั้งอยู่หลังเสาประตู
“นั่นไงคะ ที่อะผ่าพูดถึงเมื่อกี้” อินญาชี้
ตุ๊กตาไม้ชายหญิงหนึ่งคู่วางพิงเสาหันหน้าเข้าหากัน นอกจากนั้นยังมีรากไม้แกะสลักเป็นรูปนกใหญ่น้อยเรียงราย
“ที่หมู่บ้านของผมมีไม้แกะสลักเป็นรูปเครื่องบินแขวนประดับที่ประตูหมู่บ้าน” อะผ่าเล่า
“ไม่ผิดประเพณีหรือคะ” อินญาถาม
“ไม่ผิดหรอกครับ อินญา ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา มันไม่ใช่ข้อกำหนดตายตัว เพียงแต่เราต้องรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเข้าไว้ รูปแบบที่แตกต่างหลากหลายไม่ใช่ปัญหา” อะผ่าบอก
“ที่บ้านผม ชาวเผ่านกฟ้าก็ชอบการแกะสลักกิ่งไม้เช่นกัน คนเก่าๆมักพกมีดติดตัวอยู่เสมอ ยามว่างพวกผู้ชายจะนั่งขูดเกลากิ่งไม้แล้วแกะสลักเป็นรูปร่างตามความคิด ลวดลายเอกลักษณ์มักทำตามแบบโบราณ แต่ปัจจุบันก็ผสมผสานให้ทันสมัย” เชนว่า
หลังจากผ่านซุ้มประตูท่อนซุงเข้ามาระยะหนึ่ง ลำธารเริ่มแคบลง มีเรือนไม้ชั้นเดียวปลูกสร้างตามแนวโค้งริมตลิ่งเรียงต่อกันไปประมาณยี่สิบหลัง บนหลังคาบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ตรงกลางมีแผ่นไม้ไขว้ประดับ
“ถึงเสียที” ติ๊เบี่ยขยับย่ามที่ตุงไปด้วยสิ่งของต่างๆ เพื่อนำไปฝากเพื่อนรัก ฤดีและสุจาชะโงกตัวออกนอกหน้าต่าง
…มีหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมธาร มันซ่อนตัวหลังน้ำตกแห่งภูผาดำปลายเทือกเขาสีแดง…
ชดกวาดตามองหมู่บ้านเบื้องหน้าขณะชะลอรถ “หากเราจะเข้ามาที่นี่อีกครั้ง เราก็ต้องมาถึงก่อนเที่ยงวันงั้นสินะ”
“มันยังมีอีกทางนะ หากท่านไม่ต้องการรอถึงเที่ยงวัน” ติ๊เบี่ยชี้ไปยังภูผาดำทางขวามือ “ท่านต้องปีนป่ายข้ามมา”
“โอ้ คงจะไม่ไหวละจ้ะ พวกเราอยู่แต่ในเมือง ไปไหนต้องนั่งรถ คือติดสบายน่ะ ผู้เฒ่า แถมพวกเราอายุมากแล้ว หนุ่มสาวสามคนที่อยู่ในรถคันหลังยังมีพลังเหลือเฟือ พวกเขาอาจสนใจ แต่คงต้องมีอุปกรณ์ปีนเขาครบชุดจึงจะรอด” สุจาตอบหลังจากเอียงหน้าดูผาหินแกรนิตสีดำที่ยาวติดต่อกันเป็นเทือก
“เมื่อคืนนี้ท่านก็ใช้เส้นทางนั้นลัดเลาะออกไปใช่ไหมจ๊ะ” ฤดีถาม
“ใช่แล้ว” ติเบี่ยพยักหน้า
“ผู้เฒ่านี่เก่งสมเป็นพังพอนพันปี” ชดกล่าวชม
“ข้ายังมีอายุน้อยกว่าบรรดาผู้อาวุโสที่ท่านจะได้พบ” ติ๊เบี่ยคุย “เมื่อถึงหมู่บ้าน หากท่านขอร้องพวกเขาให้เล่าบอกความหลัง ท่านจะได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่สมัยอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน”
ฤดีกะพริบตาปริบเมื่อฟังคำบอกของติ๊เบี่ย เธอนึกถึงคำสวดท่อนหนึ่งจากรายงานอะผ่าที่เอ่ยถึงญิผ่าผู้มีอายุขัยอันยาวนาน
“ดูสิคะ พวกเขาสร้างบ้านเรียงรายต่อกันเป็นแนวโค้งริมตลิ่ง” สุจามองภาพข้างหน้าอย่างชื่นชม “ช่างหาทำเลหมู่บ้านได้เก่งจริงๆ ไม่มีหมู่บ้านอาข่าที่ไหนเสาบ้านจะยาวเท่ากันสักหลัง เพราะบ้านพวกเรามักตั้งอยู่บนเนิน เสาบ้านก็สั้นบ้างยาวบ้างตามความสูงต่ำของพื้นที่ แต่ดูบ้านเรือนของที่นี่สิคะ รูปทรงเท่ากันเป๊ะราวกับบ้านจัดสรร สร้างด้วยไม้จริงผสมไม้ไผ่ประสานกันอย่างสวยงาม มุงหลังคาด้วยใบไม้ซ้อนกันราวกระเบื้อง”
“นั่นโรงอะไรอยู่ด้านหลัง ใหญ่โตเหมือนโกดังเก็บสินค้า”
ชดถามเมื่อมองเห็นสิ่งปลูกสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยม ผนังทำด้วยลำไม้ไผ่ที่มัดติดกันเป็นแผงทั้งด้านหน้าและด้านข้าง มันสูงขึ้นไปเท่ากับตึกสองชั้น หลังคาคลุมด้วยจากตับหนา มีเถาฟักทองพันเกี่ยวกับเถาน้ำเต้าและเถาฟักแฟงที่กำลังออกลูกห้อยโตงเตงอยู่โดยรอบ
“นั่นบ้านของจิมุ่ยกับจิเม้าว์กับผองเพื่อน ข้าก็พักอยู่ในนั้นด้วย” ติ๊เบี่ยตอบ ใบหน้าเขาแช่มชื่นขึ้นเมื่อจะได้พบเพื่อนรักทั้งสอง
ทั้งสามพยักหน้าแล้วเงียบอึ้ง ชดเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อมองหาเจ้าของชื่อ เขาขับรถอย่างช้าๆ เพื่อจะเห็นทุกสิ่งชัดเจน
“แล้วกลุ่มผู้อาวุโสเขารอพวกเราอยู่ที่ไหนจ๊ะ เราจะได้เข้าไปคารวะทักทายก่อน” ฤดีถาม
“พวกเขารออยู่บนบ้านที่มีแผ่นไม้ไขว้กันบนหลังคานั่นไง” ติ๊เบี่ยชี้บอก
บ้านน้อยที่เรียงรายริมลำธารเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรแปดสิบคนตามที่ชายร่างจ้อยบอก หลังคาเรือนหลังกลางมีแผ่นสองไม้ชิ้นไขว้กันเป็นเครื่องหมายสำคัญ ลานดินกว้างใหญ่ที่รถสองคันกำลังคืบคลานเข้าไปจอดคือลานสาธารณะของหมู่บ้าน
“ไม่เห็นมีชิงช้าที่เป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านอาข่าเลย” สุจามองหาเมื่อชดจอดรถสนิทแล้วและดับเครื่องยนต์
ติ๊เบี่ยตอบคำถามสุจาว่า “มันเคยตั้งอยู่แถวนี้ แต่เมื่อเดือนที่แล้วเมื่อลูกไฟตกมาในหุบเขา พวกเราไม่รู้ว่ามันย้ายหายไปไหน ข้ากับพรรคพวกตามหาเท่าไรก็ไม่เจอ” ติ๊เบี่ยบอก
“สงสัยว่ามันจะวิ่งหนีไปไกลแล้วนะคะผู้เฒ่า เพราะขามันยาว เป็นชิงช้าอยู่ที่เดิมอาจจะเบื่อ เลยขอออกไปเล่นสนุกกับเพื่อนต้นไม้ในป่า” สุจาตอบและหรี่ตายิ้ม
“แม่หนูคนสวยเริ่มจะรู้ทันข้าอีกคนแล้ว ฮ่า ๆ”
มนุษย์จำแลงหัวเราะเต็มเสียง เขากระชับย่ามและกระโจนออกจากรถเมื่อชดลงไปเปิดประตูให้ สุจากับฤดีก้าวตามลงอย่างกระฉับกระเฉง อะผ่า เชน และอินญาออกจากรถแล้ว พวกเขายืนรออยู่
“ทำไมไม่มีใครอยู่สักคน พวกลูกเล็กเด็กแดงไปไหนกันหมด หมูหมาก็ไม่เห็นมีเดินสักตัว”
ชดถามติ๊เบี่ยเมื่อเห็นบรรยากาศเงียบเชียบ ซึ่งปกติหมู่บ้านห่างไกลทั้งหลาย เมื่อมีรถหรือคนแปลกหน้าเข้ามา พวกเด็กๆจะวิ่งตามส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวสนุกสนาน นอกจากนั้นสุนัขยังตามเห่าจนเจ้าของบ้านต้องออกมาไล่ ซึ่งเป็นโอกาสที่พวกเขาจะโอภาปราศรัยทำความรู้จักกัน นี่คือวิถีชีวิตของคนบนดอย พวกเขาอยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่ มีผู้คนอยู่อาศัยทุกช่วงอายุ คนเฒ่าคนแก่ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ลูกหลาน เด็กเล็ก แม่ลูกอ่อน มีสัตว์เลี้ยงทั้งไก่ แพะ หมู สุนัขที่เดินไปมาอยู่ในลานบ้านแต่ละหลัง ผู้คนไปมาหาสู่พูดคุยกัน เดินเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกันทั้งสิ้น
แต่เบื้องหน้าที่พวกเขาเห็นอยู่นี้มีแต่เสียงใบไม้ไหว เสียงลำธารตอนปลายที่กระซิบกระซาบสลับกับเสียงกระฉอกหยอกเย้า มีเสียงนกและไก่ป่าขันคูอยู่ในพุ่มไม้ เหล่าแมลงกรีดปีกระงมเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีเสียงผู้คนหรือเสียงสัตว์เลี้ยงใดๆ
“พวกผู้ชายและผู้หญิงไปทำไร่กันหมด หมู่บ้านเราไม่มีเด็กและไม่มีสัตว์เลี้ยง เพราะพวกเราไม่กินเนื้อสิ่งมีชีวิตอื่น”
ติ๊เบี่ยตอบและเดินจ้ำนำหน้าไปยังบ้านใหญ่หลังกลาง หูและหางของเขาแพลมโผล่พ้นผ้าโพกหัวและเสื้อผ้าสีดำออกมา
ชดขยับหมวกแก๊ปให้บังแดดที่ส่องแยงตา ขณะนี้เวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว สุจาและฤดีเดินตามหลัง อะผ่า เชน และอินญาปิดท้าย
เชนมองไปรอบๆ และหายใจลึก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาไม่รู้ว่าตนเองตื่นเต้นอะไร เชนนึกสงสัยว่า หมู่บ้านแห่งนี้มีสิ่งใดรอเขาอยู่หรือ ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาเตรียมตัวมาปฏิบัติ อีกทั้งเป็นความบังเอิญเสียมากกว่าที่มีโอกาสร่วมเดินทางมาด้วย แต่เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาต้องเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เชนสะบัดผมยาวที่รวบมัดไว้ข้างหลัง ตั้งแต่เมื่อวานนี้เขาไม่มีเวลาถักเปียให้เรียบร้อย เขามองผมสั้นสีแดงของอินญาอย่างนึกอิจฉานิดหน่อยที่เธอไม่ต้องเป็นธุระอะไรกับมันมากมาย แค่สระและเช็ดแห้งก็ออกเดินทางได้
อะผ่าและอินญาเดินเคียงบ่ากัน ฤดีและสุจาที่เดินตามหลังต่างใช้สายตามองสำรวจบ้านที่ตั้งเรียงรายรอบโค้งลำธาร มันสร้างด้วยความประณีตผิดแผกจากบ้านบนภูเขาทั่วไปที่ใช้ไม้หยาบจากป่าแทรกเสียบเข้าไปตามความจำเป็น
“เหมือนใช้เครื่องมือสมัยใหม่ถากไสไม้ มันดูเรียบกริบไม่มีที่ติ” ชดหันมาพูดกับฤดีและสุจา
“นั่นสิคะ หนูนึกว่าจะได้เจอกับกระท่อมไม่ไผ่ ใช้แผ่นไม้กระดานขรุขระทำเป็นฝา มุงหลังคาด้วยใบตองตึงหรือใบจาก แต่ดูสิคะบ้านพวกนี้สร้างเหมือนมีช่างฝีมือดี แต่ละหลังน่าอยู่สบาย” สุจาว่า
“ยี่สิบหลังทรงเดียวกันหมด เอ่อ แต่มีพืชผักสวนครัวอยู่บนระเบียง! ทั้งต้นหอม ผักชี โหระพา กระเพรา ข่า ตะไคร้ มะเขือกลม มะเขือยาว พริก ถั่วฝักยาวห้อยอยู่บนราว” สุจาอุทาน
“ก็ข้าบอกแล้วว่ามันเลื่อนมาจากสวนหลังบ้านสักเดือนมาแล้วและไม่ยอมย้ายกลับ สวนดอกไม้กลายเป็นไม้ประดับในสวนหลังบ้านไม่มีใครมองเห็น” ติเบี่ยบอก ขณะนี้พวกเขาเดินเข้ามาที่ใต้ถุนบ้านหลังกลางแล้ว
“บรรดาผู้อาวุโสกำลังรออยู่ พวกท่านขึ้นบันไดไปก็จะพบ ส่วนข้าขอลาก่อนนะ” ติ๊เบี่ยส่งเสียงบอกพลางโบกมือขณะเดินไปทางโรงเรือนใหญ่ที่ปลูกสร้างห่างออกไปด้านหลัง
“อ้าว ไม่ขึ้นไปด้วยกันหรือ” ชดตะโกนถามเจ้าพังพอนที่จ้ำอ้าวไปไกลเห็นแต่ผ้าโพกที่ขยับไปทางซ้ายทีขวาที
“พวกท่านขึ้นไปเถอะ ข้าหมดภารกิจแล้ว ค่ำนี้เจอกันที่ลานหมู่บ้าน เราจะมีงานเลี้ยงอาหารต้อนรับพวกท่าน” ติ๊เบี่ยตะโกนกลับมา