ตอน ไมราเซตี (2)

4230 คำ
ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและผู้มาเยือนต่างนั่งเงียบโดยไม่ส่งเสียงพูดหรือถามแทรก เชนนั่งขัดตะหมาดหลับตานิ่งและพร้อมรับฟังในสิ่งที่สตรีผู้อยู่เบื้องหน้าเขาเปิดปากเล่าต่อ... “วันเวลาผ่านไปข้าค่อยๆ แตกใบใหม่จนเต็มต้นและแผ่กิ่งก้านออกไป ชายหนุ่มผู้นั้นหมั่นมาเยี่ยมเยียนและพูดคุย ข้าและบรรดาพี่น้องที่ต่างมองเห็นสิ่งที่เขากระทำแก่ป่าแห่งนี้ พวกเรามอบน้ำมันหอมระเหย เปลือกไม้ และเมล็ดพันธุ์ให้เขาอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการตอบแทนความดีที่เขากระทำ “หลายปีผ่านไปเมื่อเขาเข้าสู่วัยหนุ่ม บิดาเขาสิ้นชีวิตลง เขาได้รับตำแหน่ง ‘โวไวดา’ แทนบิดาผู้ล่วงลับ เขาทำหน้าที่นี้อย่างเต็มกำลังและหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เขามานั่งใต้ต้นของข้าและท่องบ่นมนตราสำหรับทำพิธีเยียวยา เสียงของเขาทำให้ข้าสงบราวกับกำลังได้รับคำอวยพร ข้าเกิดความรู้สึกเหมือนตัวข้ามีวิญญาณที่พร้อมจะพัฒนาเป็นมนุษย์เช่นเขา “และแล้วก็ถึงวันที่เขามาเยือนป่าไม้หินเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเอ่ยคำลา ‘เพื่อนๆ ที่รักของข้า เราคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้วแล้ว’ เขาประกาศเสียงก้องป่าไม้หิน ‘จากการที่แผ่นดินแห่งนี้มีฤดูหนาวอันยาวนานกว่าที่เคยเป็นมา ผู้คนในเผ่าของข้าจึงตกลงกันว่าเราต้องอพยพไปเสาะหาที่อยู่ใหม่ ณ ที่มีแสงสว่างของดวงตะวัน เพื่อที่เราจะได้เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ขยายที่ดินทำกิน คนรุ่นหลังของเผ่าจะได้มีชีวิตที่ไม่ลำบาก ‘ระยะเวลาที่ผ่านมาข้าได้อาศัยป่าไม้หินแห่งนี้เป็นที่แสวงหาความรู้ทั้งด้านสมุนไพรและคิดค้นท่องบ่นคาถาต่างๆ ความผูกพันของข้าที่มีต่อพวกเจ้านั้น ข้าไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ข้าจะจดจำพวกเจ้าทุกต้นไว้ในใจ ข้าขอเอ่ยคำอำลาต่อพวกเจ้าผู้มีพระคุณ วิชาและยาต่างๆที่ข้าได้จากป่านี้ ข้าขอสัญญาว่าข้าจะใช้มันเพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกชีวิต’ “เขาเดินไปสัมผัสโคนไม้ทุกต้นอย่างอาลัย จนมาถึงข้า ‘ไมราเซตี ไม้หอมยอดพฤกษา หัวใจของข้าครึ่งหนึ่งอยู่ที่เจ้าเพื่อปกป้องคุ้มภัย ขอให้เจ้าอยู่ดีมีสุขอายุยืนนับหมื่นนับแสนปี’ เขาโอบกอดลำต้นแข็งแกร่งของข้าไว้นิ่งนาน “ในเวลานั้นข้าเริ่มมีจิตใจเยี่ยงมนุษย์หลังจากที่เขาส่งพลังให้ข้าโดยการท่องบ่นมนตราต่างๆ เมื่อข้าได้ฟังเขากล่าวคำลาข้าจึงพยายามรวบรวมความกล้าและส่งเสียงพูดตอบเขา ‘ขอให้ท่านเดินทางอย่างปลอดภัย ท่านผู้มีพระคุณ ช่วยบอกข้าสักหน่อยได้ไหม ว่าท่านชื่ออะไร’ “ชายหนุ่มเหลียวหาที่มาของเสียง ข้าจึงพูดต่อไปว่า ‘ข้าเอง ไมราเซตีของท่าน’ ‘ไม้หอมของข้า เจ้าเองหรือที่เป็นผู้เอ่ยคำพูด!’ “ชายหนุ่มแหงนมองลำต้นอันสูงใหญ่ที่เขากำลังโอบกอดและหัวเราะอย่างปรีดา ‘เจ้าพูดภาษามนุษย์ได้ แต่มาพูดเอาในวันสุดท้ายที่ข้าจะอยู่ในดินแดนแห่งนี้น่ะนะ เจ้าช่างใจร้าย’ เขาหยุดหัวเราะและกล่าวต่อไปว่า ‘ข้าชื่อโคเชน’ ‘ข้าเพิ่งรวบรวมพลังเพื่อกล่าวคำอำลาและขอบคุณ แต่เดิมมาข้าได้แต่ฟังเสียงท่องบ่นมนตราของท่านจนข้าสามารถจดจำได้ทุกคำพูด’ ข้ากล่าวตอบอย่างนอบน้อม ‘อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามีจิตวิญญาณเยี่ยงมนุษย์ ปู่ของข้าสอนไว้ว่า ต้นไม้พืชพรรณ สัตว์น้อยใหญ่ และพวกเราต่างเกิดมาร่วมโลกใบเดียวกัน มนุษย์มีปัญญารู้จักพัฒนาชีวิตให้ดีงามขึ้น ต้นไม้และสัตว์ก็ไม่ต่างกัน หากพวกเขาใส่ใจเรียนรู้และรับฟัง เขาก็จะสามารถพูดได้และแม้แต่แปลงร่างกายให้เป็นมนุษย์ เจ้าน่าจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่แม้เพียงพูดได้ ข้าก็ว่าเจ้าเก่งมากแล้ว ไมราเซตี’ “โคเชนกล่าวพลางพิจารณาเปลือกลำต้นของข้าอย่างละเอียดและพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า ‘ข้าขอเดาว่าเจ้าน่าจะอายุสองพันปีของมนุษย์ แต่สำหรับพวกเจ้าด้วยกันเองแล้ว เจ้าคงยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ดี’ ‘ท่านพูดถูกต้อง หนึ่งปีของมนุษย์คือการที่โลกหมุนหนึ่งรอบดวงตะวัน แต่หนึ่งปีของพวกเราซึ่งเป็นต้นสนในป่าไม้หินแห่งนี้ยาวนานเท่ากับโลกหมุนรอบจักรวาล ซึ่งเท่ากับหนึ่งร้อยปีของท่าน’ ข้าตอบอย่างเบิกบานใจที่มีโอกาสได้พูดคุยกับชายผู้มีพระคุณ ‘ถ้าอย่างนั้นวัยของเจ้าก็เท่ากับข้า’ โคเชนตอบ ‘น่าเสียดายแท้ที่ข้าและเจ้ามีโอกาสสนทนากันในวันสุดท้าย แล้วจากนั้นเราก็จะไม่ได้เห็นกันอีกตลอดไป’ ‘ข้ายังต้องมีอายุอีกหลายหมื่นปีของมนุษย์จึงจะตายไปตามธรรมชาติหากข้ายังดำรงร่างเป็นไม้สนเช่นนี้’ ข้าหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ ‘โคเชน ท่านอยากมีอายุยืนเช่นข้าไหม เผื่อวันหน้าท่านจะมีโอกาสกลับมาเยือนที่ป่าไม้หินนี้อีกครั้ง ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่...หรือหากว่าข้าท่องบ่นมนตราของท่านจนตบะกล้าแข็ง ข้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายเป็นมนุษย์ได้ เมื่อนั้นข้าจะออกเดินทางไปตามหาท่านเอง’ ‘พอพูดได้ เจ้าก็พูดให้ข้าคิดมากเลยนะ เจ้าไม้หอม’ โคเชนหย่อนตัวลงนั่งพิงโคนต้นของข้า ‘ข้าจะอยากมีอายุยืนยาวไปทำไมหากพ่อแม่พี่น้องและชนเผ่าของข้าล้มหายตายจากไปหมด’ เขารำพึง ‘ก็เพื่อที่ท่านจะได้ศึกษาหาความรู้เรื่องยาสมุนไพรและเวทมนตร์คาถาให้ยิ่งๆขึ้นไป ท่านจะมีโอกาสช่วยชีวิตผู้เจ็บป่วยใกล้ตาย ทั้งคน สัตว์ ต้นไม้ อย่างที่ท่านสมานแผลให้ข้าจนหายดี แต่พลังมหาศาลจากสายฟ้าที่ฟาดเข้าสู่ตัวข้านั้นมันไม่หายไปไหน มันแทรกซึมอยู่ในยางไม้ที่หล่อเลี้ยงชีวิตข้า หากท่านดื่มยางไม้ที่ข้ากลั่น มันจะสามารถยืดอายุของท่านออกไปได้ตราบเท่าที่ท่านรักษาร่างกายไว้มิให้ฉีกขาดหรือบาดเจ็บ’ ข้าพูดออกไป ‘อ้อ เช่นเองหรือ’ เขาพูดอย่างครุ่นคิดและมองดูข้าจากโคนจรดยอดไม้ ‘ไมราเซตี แม้เจ้าจะมีเครื่องรางป้องกันสายฟ้าที่ข้ามอบให้ แต่เจ้าไม่อาจต้านทานพายุ แผ่นดินไหว หรือน้ำแข็งที่อาจละลายจนท่วมในวันหน้า และก็เช่นเดียวกันหากเจ้าทำให้ข้ามีอายุยืนถึงหมื่นปี ข้าก็อาจตายได้จากอุบัติเหตุหรือถูกเข่นฆ่า อย่างนั้นใช่ไหม’ ‘ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว โคเชน ยางไม้ของข้าทำให้ท่านมีชีวิตยาวนานได้ แต่ไม่อาจป้องกันภัยพิบัติ สัตว์ร้าย และอันตรายที่จะมีต่อร่างกายของท่าน ท่านต้องป้องกันร่างกายตนเองไว้อย่างดีที่สุดเพื่อทำหน้าที่ในฐานะโวไวดา’ “ข้าจำได้ถึงคำสาบานต่อโวไวดาที่เขายืนท่องอยู่ในป่าคนเดียวเมื่อครั้งที่เขายังเล็กอยู่ ข้าจึงพูดโน้มน้าวเขาว่า ‘ในเมื่อท่านกล่าวคำสาบานต่อบรรพบุรุษไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ท่านควรมีอายุยืนยาวเพื่อการนั้น จริงอยู่ว่าท่านสามารถส่งผ่านความรู้ของท่านให้บุตรหลาน แต่ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะรักในศาสตร์ของการเยียวยา จะไม่ดีกว่าหรือหากท่านจะดำรงชีวิตยืนยาวต่อไปจนสามารถรวบรวมความรู้ทั้งหลายผูกเป็นคำสวดคำสอน เป็นสมบัติของโลก และเมื่อท่านบรรลุอุดมคติสมความตั้งใจแล้วก็คงถึงคราวสิ้นสุดอายุของท่านตามธรรมชาติ หรือหากท่านต้องการจบชีวิตลงด้วยตนเอง ท่านก็สามารถปรุงตัวยาที่จะทำให้หลับอย่างสงบชั่วนิรันดร์ได้’ ‘เจ้าช่างฉลาดพูดนัก ไม้หอมของข้า’ เขาพูดเหมือนรำพึง แล้วถาม ‘แล้วเมื่อใดเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงร่างเป็นคนได้ล่ะ’ ‘หากข้าบำเพ็ญตนท่องบ่นมนตราของท่านไปอีกสามพันปีของท่าน ข้าจะสามารถเปลี่ยนร่างกายให้เป็นมนุษย์ได้’ ข้าตอบด้วยความหวังว่าเขาจะยินยอมเป็นอมตะเพื่อที่เราทั้งคู่จะมีโอกาสได้พบกันในร่างมนุษย์ ‘ไมราเซตี เส้นทางที่เผ่านกฟ้าจะอพยพไปนั้นยาวไกลข้ามทวีปและการตั้งถิ่นฐานใหม่ก็กินเวลาหลายชั่วคนกว่าจะปักหลักได้มั่นคง พวกเราไม่รู้ว่ามีสิ่งใดรออยู่ ทั้งภัยธรรมชาติ สภาพอากาศ สิงสาราสัตว์ที่ดุร้าย อีกทั้งชนเผ่าอื่นที่อาจไม่ใช่คนที่รักสันติ แม้เจ้าจะทำให้ข้าอายุยืนยาวเพราะสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ แต่ข้าอาจตายลงด้วยเขี้ยว เล็บ งา คมอาวุธ หรืออาจมีอุบัติเหตุไม่คาดคิดที่ทำลายร่างกายนี้ ดังนั้นข้าไม่อาจรับปากเจ้าได้ว่าข้าจะมีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนป่าไม้หินอันเป็นถิ่นที่ข้ารักและเป็นห่วง โดยเฉพาะเจ้า ไม้หอมของข้า’ “โคเชนกล่าวตอบอย่างใคร่ครวญ หากเขาเป็นคนที่โลภมาก เขาคงคึกคะนองใจที่จะได้มีชีวิตไปอีกนับหมื่นปี เพื่อกอบโกยบริโภคทรัพยากรต่างๆ “เมื่อตระหนักถึงอุปนิสัยที่ซื่อตรงของเขาแล้ว ข้ายิ่งเพิ่มพูนความนับถือชายหนุ่มผู้นี้ ข้าจึงตอบเขาไปว่า ‘ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล เอาเถิด ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องลั่นวาจาใดๆ ขอจงโปรดรับน้ำใจของข้าไว้ เพื่อที่ท่านจะมีร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัย และอายุยืนยาว ท่านจะมีโอกาสประกอบคุณงามความดีตามหน้าที่โวไวดาอย่างเต็มกำลัง อีกสามพันปีข้างหน้าหากข้าบำเพ็ญตนท่องบ่นมนตราที่รับฟังจากท่านมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ข้าจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ จากนั้นข้าจะออกเดินทางตามหาท่านเอง เพื่อนำสิ่งนี้กลับไปรวมเป็นชิ้นเดียวกับเครื่องรางของท่าน มันจะเป็นหัวใจดวงเดียวกัน หัวใจที่มีพลังป้องกันสายฟ้าและพลังร้ายทั้งปวง’ “ข้าลั่นวาจาและพูดต่อ ‘ลูกหลานของโวไวดาผู้ครอบครองมันในวันหน้าจะกำจัดความชั่วร้ายที่มุ่งทำลายธรรมชาติ เขาจะเป็นผู้วิเศษในทางบำเพ็ญความดีเช่นเดียวกับท่าน และวันหนึ่งเขาจะได้กลับมายังป่าไม้หินอันเป็นถิ่นกำเนิดของเครื่องรางชิ้นนี้และถิ่นเกิดของข้าและท่าน’ “โคเชนแหงนมองเครื่องรางที่เขาคล้องรอบลำต้นของข้าและกล่าว ‘ไมราเซตี ผู้รอดชีวิตจากสายฟ้า เจ้าช่างมีจิตใจกล้าหาญ มีความมุ่งมั่นและความเพียรสมกับที่กำเนิดจากเมล็ดพันธุ์ของไม้สนโบราณที่ยืนต้นอย่างกร้าวแกร่งนับแสนปี แม้กลายเป็นหินก็ไม่โค่นล้ม ข้ายอมรับความตั้งใจของเจ้าที่จะมอบความเป็นอมตะให้ข้า’ “ข้าแสนดีใจจนกิ่งก้านสั่นใหว ข้าบอกให้เขายื่นฝ่ามือออกมารองยางไม้สีขาวขุ่นที่ข้ากลั่นจากแก่นกลางต้นและดื่มเข้าไป เขาทำตามที่ข้าบอกจากนั้นก็เอ่ยคำลา ‘ไม้หอมของข้า ถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องกลับเพิงพัก พรุ่งนี้ยามรุ่งเมื่อมีแสงสว่าง ข้าจะออกเดินทางร่วมกับผู้คนของชนเผ่าที่มีนกอินทรีเหินฟ้าเป็นสัญลักษณ์ หากวันหน้าเจ้ากลายร่างเป็นมนุษย์ จงมุ่งไปทางทิศที่ตะวันขึ้นแล้วข้ามสู่แผ่นดินใหม่ หากข้ายังมีชีวิตอยู่ เราจะได้พบกัน เครื่องรางทั้งสองส่วนที่เปรียบได้กับหัวใจข้าจะกลับรวมเป็นชิ้นเดียว’ “ชายหนุ่มกล่าวจบก็หันหลังก้าวเดิน วันรุ่งขึ้นชนเผ่านกฟ้าพากันอพยพจากไป หลังจากนั้นไม่มีมนุษย์เผ่าใดมาอาศัยอยู่ในบริเวณแห่งนั้นอีกเนื่องจากพื้นผิวโลกเปลี่ยนแปลง มีหิมะปกคลุมหนาตลอดปี ซึ่งเป็นโอกาสดีของข้าที่จะได้บำเพ็ญเพียรท่องบ่นมนตราของตระกูลโวไวดาที่ข้าได้ฟังจากโคเชน มนตราเหล่านั้นคือความรู้วิชาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในการเยียวยารักษาผู้เจ็บป่วยในมนุษย์และสัตว์รวมถึงพรรณไม้ ซึ่งข้าใช้ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนมาจนถึงบัดนี้” ญิผ่าหยุดเสียงเล่าไปชั่วขณะ ทุกคนยังอยู่ในความเงียบแห่งยามดึก เสียงน้ำที่ไหลตกจากธารใหญ่ดังชัดเจนผสมกับเสียงของแมลงหรีดหริ่งที่ดังอยู่โดยรอบ เจิ่วมะซุนฟืนเข้าไปในกองไฟที่ใกล้มอดจนมีเปลวสะบัดขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นผู้อาวุโสหญิงก็เอ่ยปากเล่าต่อว่า “สามพันปีของมนุษย์ผ่านไป ข้าสามารถแปลงเปลี่ยนลำต้นกิ่งก้านใบให้กลายเป็นลำตัวแขนขาและเส้นผมเฉกเช่นมนุษย์ ข้าเก็บวัชพืชเส้นเหนียวมาถักทอเป็นเครื่องนุ่มห่มคลุมร่าง จากนั้นข้าก็ตัดสินใจกล่าวคำอำลาพี่น้อง ‘พี่น้องที่รัก ข้ามีความปรารถนาจะออกเดินทางไปตามหาชายผู้สมานแผลให้ข้าจากการถูกสายฟ้าฟาดเมื่อครั้งที่ยังมีเผ่ามนุษย์อาศัยอยู่โดยรอบป่าของเรา ขอพวกท่านจงช่วยอำนวยพรให้ข้าได้ทำตามความประสงค์นี้ ข้ารู้ดีว่าการถอนรากออกห่างจากถิ่นที่เกิดนั้นหมายความว่าข้าจะมีอายุสั้นลงกว่าพวกเราชาวป่าไม้หิน แต่หากเทียบกับเหล่ามนุษย์ที่ข้าต้องการเป็น ข้าจะมีอายุยืนยาวกว่าพวกเขานับร้อยเท่า ข้าต้องขออภัยที่ข้ามิอาจรอคอยวาระสุดท้ายด้วยการเป็นไม้สนหอมที่ยืนต้นไปชั่วชีวิต ข้าขอเลือกทางเดินตามที่หัวใจเรียกร้อง’ “เมื่อข้าพูดจบ บรรดาพี่น้องของข้าต่างสะบัดกิ่งก้านโยกไหวแทนคำอวยพร พวกเขาทิ้งใบร่วงพรูราวสายฝนแทนการหลั่งน้ำตาแห่งความอาลัย “ข้าเริ่มออกเดินไปทางทิศที่ตะวันขึ้น ทุกอย่างที่ข้าได้พบล้วนเป็นสิ่งใหม่ ทั้งภูมิประเทศเขตแดน สหายพรรณไม้ที่แปลกตา ลำธารใหญ่ที่ข้าไม่เคยได้เห็น อีกทั้งสัตว์ต่างๆ ที่ในป่าของข้าไม่เคยมี ข้ารู้สึกเพลิดเพลินอย่างยิ่งและก้าวเดินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยามค่ำข้าอิงแอบซบหลับกับโคนไม้จนถึงอรุณรุ่ง ข้าได้รับน้ำใจจากพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามป่าต่างๆ พวกเขาให้ทั้งอาหารและการปกป้องคุ้มภัย “เมื่อสุดเขตแดนอันหนาวเย็นข้ามาถึงทุ่งราบกว้างสุดตา ข้าไม่เคยนึกเลยว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้จะมีพื้นดินที่ปราศจากภูเขาและหิมะ ข้าเดินอาบแดดอุ่นจนไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มนุษย์ชายหญิงต่างพากันออกมาดูหญิงแปลกหน้าเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นและเศษหญ้า พวกเขาเวทนาที่ข้านุ่งห่มเปลือกไม้ หญิงชราหลายคนช่วยแบ่งเครื่องนุ่งห่มผืนเก่าให้ข้าสวมใส่ มันยิ่งทำให้ข้าดูเหมือนมนุษย์ทั่วไปมากขึ้น ข้าซาบซึ้งในน้ำใจชาวบ้านที่ยากไร้จึงทำการรักษาผู้เจ็บไข้เป็นการตอบแทนแล้วจึงเดินทางต่อ “เวลาผ่านไปหนึ่งปีมนุษย์ คืนวันหนึ่งขณะข้านอนหลับที่โคนไม้สนใบเดี่ยวซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของข้าในป่าที่ห่างไกลผู้คน ข้าฝันเห็นโคเชนผู้ที่ข้าออกตามหา เขากำลังนั่งปรุงยาอยู่ในกระโจมแต่เพียงลำพัง ข้ามองรูปร่างหน้าตาของโคเชนซึ่งไม่มีเค้าของความแก่ชราแม้ว่ากาลเวลาหลังจากที่เขาอำลาข้าไปนั้นคือเมื่อสามพันกว่าปีที่แล้ว เขายังดำรงชีวิตอยู่ขณะที่พี่น้องลูกหลานของเขาเปลี่ยนรุ่นไปกว่าสี่สิบชั่วคน ความรู้ที่เขาสะสมนั้นคงไม่สามารถถ่ายทอดให้ใครได้หมด เพราะมันมีมากกว่าที่ใครจะเรียนรู้ได้ในหนึ่งชีวิต “ข้ามองเห็นเครื่องรางที่เขาคล้องคอไว้ด้วยสายเชือกที่ถักจากเถาวัลย์เส้นเล็ก มันสามารถป้องกันเขาได้จากสายฟ้า จากพิษสัตว์ร้าย แต่มันไม่สามารถป้องกันเขาจากความชั่วร้ายของมนุษย์ด้วยกัน ข้ามองเห็นชายอีกผู้หนึ่ง เขาห่มคลุมร่างสูงใหญ่ด้วยหนังเสือดาว เขาเปิดประตูกระโจมเข้ามาและเงื้อหอกแหลมขึ้นสูง ข้าหวีดร้องและเตือนโคเชน ‘โคเชน ระวัง!’ “ชายหนุ่มสะดุ้งและเหลียวไปเห็นชายที่ยืนจังก้าเบื้องหลัง เขาเอี้ยวตัวหลบหอกที่พุ่งมาได้ทัน โคเชนตะโกนเอะอะเรียกให้คนมาช่วย จากนั้นนักรบของเผ่านกฟ้ากรูกันเข้ามาล้อมจับชายผู้ห่มคลุมร่างด้วยหนังเสือดาวและลากตัวออกไป “โคเชนเหลียวหาที่มาของเสียง เขาพึมพำ ‘ไมราเซตี เจ้าใช่ไหมที่เตือนข้า’ “ข้าสะดุ้งตื่นและรู้ตัวว่าฝันไป หลังจากนั้นข้ามองเห็นเขาอีกหลายครั้งจากความฝัน ข้าแน่ใจว่าดวงจิตอันแรงกล้าของข้าได้พบกับเขา แต่ร่างกายยังต้องเดินบนแผ่นดินทีละก้าว “จนมาถึงวันที่แผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่เกิดศึกสงครามระหว่างเผ่า ชาวนกฟ้าผู้รักสันติถูกเผ่าเสือดาวเข้าโจมตีและฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงอาณาเขต โคเชนผู้ทรงเวทมนตร์และชำนาญด้านการเยียวยารักษาอันไม่มีผู้ใดเทียบ เขามีอายุยืนยาวมาถึงสามพันปีแต่ถูกฆ่าตายอย่างอนาถ ข้ามองเห็นร่างชุ่มเลือดของเขาบนหลังม้ามีธนูปักทั่วร่าง วิญญาณลอยละล่องสู่ท้องฟ้าเข้าสิงร่างนกอินทรีที่บินขึ้นสู่ภูเขาสูงหายลับไปจากสายตาข้า “ข้าไม่รู้จะทำเช่นใด เพราะการที่ข้าเปลี่ยนแปลงชีวิตมาอยู่ในร่างมนุษย์แล้วเดินทางออกจากป่าไม้หินก็เพื่อจะได้พบกับชายผู้มีพระคุณ แต่เคราะห์ร้ายเขาถูกฆ่าตายและจากนั้นไปเกิดเป็นสัตว์นานาชนิด ดวงจิตมนุษย์จางหายกลายเป็นเดรัจฉาน ข้าสุดเวทนาเขายิ่งนักและอยากช่วยเขาให้ได้มีโอกาสกลับไปเกิดเป็นชาวเผ่านกฟ้าอีกครั้ง ข้าจึงตัดสินใจสร้างอาศรมและบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าลึกแห่งหนึ่งเพื่อสร้างพลังแห่งจิตและแผ่ออกไปให้ถึงวิญญาณของเขาไม่ว่าจะเกิดในภพไหนหรือร่างใด “สองพันปีแห่งความมนุษย์ผ่านไป ข้าได้เกื้อกูลสัตว์น้อยใหญ่ในป่าแห่งนั้นนับไม่ถ้วน จนกระทั่งวันหนึ่งมีกวางหนุ่มต้องธนูนายพรานบาดเจ็บสาหัส มันล้มลงหายใจรวยรินแทบเท้าข้า เลือดไหลพลั่กดังน้ำรินจากร่าง ข้าเห็นดังนั้นจึงรีบกรีดแผล ถอนธนูออก และรักษามันจนรอดชีวิต “จากการบำเพ็ญพรตยาวนานจนเกิดญาณหยั่งรู้ในบางสิ่ง ข้าสัมผัสได้ว่ากวางตัวนี้มีวิญญาณของโคเชนฝังอยู่ในร่าง ข้าเกิดปีติที่ได้ตอบแทนเขาในวิถีเดียวกับที่เขาช่วยรักษาแผลให้ข้าจากสายฟ้าฟาดเมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นต้นสน กวางตัวนั้นหากินวนเวียนอยู่ในป่าแห่งนั้นจนสิ้นอายุขัยแล้วกลับไปเกิดเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลโวไวดาแห่งเผ่านกฟ้าตามที่ข้าภาวนาไว้ จากนั้นเขาก็ได้ร่ำเรียนศาสตร์แห่งการเยียวยาซึ่งตระกูลเขาเก็บรักษาความรู้ในรูปของเพลงร้องและคำสวด “เมื่อข้ารับรู้ว่าโคเชนได้กลับสู่ความเป็นโวไวดาและประกอบกิจการงานในวิถีที่เขาเคยปฏิบัติ ข้าก็หมดสิ้นความห่วงใยเขา เพราะจากนี้ไปเขาจะเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในเผ่านกฟ้าโดยไม่กลับไปเกิดเป็นสัตว์อีก ส่วนข้าเองได้มองเห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งที่ไม่อาจคงรูปเดิมอยู่ได้ ข้าจึงตั้งใจไว้ว่าจากนี้ไปข้าจะเดินทางเพื่อช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยทุกข์ทนจนกว่าจะสิ้นอายุขัย ซึ่งหากข้ายังเป็นต้นสนใหญ่ในป่าไม้หินข้าจะมีอายุถึงหนึ่งแสนปีมนุษย์แต่ไม่อาจประกอบความดีช่วยเหลือสิ่งใดได้ แม้นกในป่าก็ไม่อาจอาศัยเพราะไม้สนไม่ใช่อาหาร ดังนั้นข้าจึงภูมิใจที่ได้กลายร่างเป็นคน แม้อายุขัยของข้าจะมีเพียงหนึ่งหมื่นปีมนุษย์และข้าใช้ชีวิตมาแล้วเจ็ดพันปี แต่ข้ายังมีเวลาเหลืออีกสามพันปีที่จะประกอบความดีก่อนร่างนี้จะกลายเป็นธุลีไร้ค่า “เมื่อคิดได้เช่นนั้นข้าจึงกล่าวคำอำลาต่อป่าสนในเขตอบอุ่นอันเป็นที่พักพิงในการบำเพ็ญพรตมาตลอดสองพันปี ข้าขอบคุณเหล่าต้นไม้ใหญ่เล็กทั้งหลายที่ให้ความเป็นมิตรและเอื้อเฟื้อในทุกสิ่ง จากนั้นข้าจึงออกเดินทางพร้อมด้วยยาสมุนไพรขนานต่างๆ ที่ข้ารวบรวมไว้ ข้าใส่สิ่งของลงในย่ามใบใหญ่สะพายบ่าพร้อมกระโจมผ้าไหม “ความแข็งแกร่งของธรรมชาติเดิมจากการที่มีกำเนิดจากต้นสนในป่าไม้หินทำให้ข้ามีกำลังเดินเท้าผ่านภูมิประเทศที่ยากลำบาก ทั้งเทือกเขากันดารและทุ่งราบแห้งแล้ง เมื่อข้าพบหมู่บ้านที่ไหนข้าก็เข้าไปขอพำนักอาศัยและตั้งกระโจมขึ้นพร้อมประกาศว่าข้ายินดีรักษาผู้เจ็บป่วยเพื่อสร้างกุศล แต่ละที่แต่ละแห่งล้วนเป็นหมู่บ้านชนบทมีแต่ผู้ยากไร้ พวกเขาไม่มีเงินตราหรือสิ่งมีค่าใดจะมอบให้ข้า นอกจากอาหารที่ปรุงสุกใหม่และน้ำใจเอื้อเฟื้อ ข้าเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงจากการให้และการรับ ใจข้าอิ่มเอิบจากการได้ใช้มนตราและยาสมุนไพรช่วยบรรเทาความทุกข์ของผู้คน “จวบจนเวลาผ่านไปอีกสองพันสี่ร้อยปี ข้าผ่านเหตุการณ์มากมายหลายบทจนหากบรรยายก็จะเปลืองเวลาพักผ่อนของพวกท่านไปเปล่าๆ เพราะยามนี้ดึกมากแล้ว ข้าจะเล่าเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและธุระที่เกี่ยวข้องกับพวกท่านเท่านั้น” ญิผ่ากล่าวและมองทุกคนที่นั่งเอนกายอย่างสบายรอบกองไฟราวกับกำลังฟังนิทาน นางนิ่งสักครู่และเล่าต่อไป “วันหนึ่งข้าเดินทางลัดเลาะมาจนมาถึงดินแดนที่มีแต่ผืนทรายจรดฟ้า มีผู้เมตตาบอกข้าว่ามันคือทะเลทรายแห่งความตาย เขาบอกว่าหากข้าหลงเข้าไป ข้าจะไม่มีโอกาสรอดออกมา “ข้ากล่าวขอบใจพวกเขาอย่างนอบน้อมและรอจนถึงเวลาค่ำ แล้วข้าก็มุ่งหน้าเดินดุ่มเข้าสู่ทะเลทรายแห่งนั้น ข้าเดินทางตลอดคืนและกางกระโจมพักเมื่อแดดจ้า ข้ายังชีพด้วยการดื่มน้ำจากต้นกระบองเพชรและกินผลอินทผลัม ข้าได้พบปรากฏการณ์แปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ทั้งภาพลวงตาในยามพระอาทิตย์แผดแสงแรงกล้า ทั้งเสียงร้องโหยหวนยามค่ำคืน ข้าพบวิญญาณคนและสัตว์มากมายที่เดินทางข้ามไม่พ้นมหาทะเลทรายแห่งนี้ “บ่ายวันหนึ่งขณะที่ข้านอนพักหลับอยู่ในกระโจม เกิดแผ่นดินไหวใต้พื้นพิภพ แรงสั่นสะเทือนมีพลังมหาศาล มันดันสิ่งที่อยู่ใต้ผืนให้ทรายผุดขึ้นมาบนพื้นผิว เมื่อเหตุการณ์สงบ ข้าออกเดินสำรวจและพบกระโจมหนังสัตว์คร่ำคร่าที่รัดคลุมร่างชายเจ็ดคนไว้ ทุกซากยังอยู่ในสภาพดี ใบหน้าเหมือนกำลังนอนหลับ เสื้อผ้าที่นุ่งห่มป่นเป็นธุลีเหลือแต่เส้นใย มีย่ามบางใบที่แสดงให้เห็นลายปักแบบโบราณ พวกเขาคงหมดลมหายใจไปนานนับพันปีของมนุษย์ แต่ความอุ่นร้อนของทรายที่กลบฝังช่วยรักษาซากศพให้คงสภาพไว้ “ข้าเกิดเวทนาจึงตัดสินใจชุบชีวิตพวกเขาขึ้น ข้าป้อนเลือดสีขาวเหมือนยางไม้ซึ่งกลั่นออกจากหัวใจข้าทุกหนึ่งพันปีให้พวกเขาดื่ม จากนั้นชโลมร่างที่ผอมแห้งด้วยน้ำมันยาสมุนไพร ไม่นานพวกเขาก็ฟื้นขึ้น เหตุการณ์ต่อมาก็เป็นดังเช่นที่ผู้อาวุโสทั้งหลายเล่าให้ท่านฟังมาแล้ว” ญิผ่าหันหยุดเล่าไปครู่หนึ่ง ความเงียบยังเข้าปกคลุมลานหมู่บ้าน ผู้มาเยือนทั้งหกต่างไม่มีผู้ใดเอ่ยปากถามขัดจังหวะเรื่องราวที่นางบอกเล่า กองไฟที่เหลือแต่ถ่านคุแดงเริ่มมีประกายไฟเมื่อญิผ่าหยิบสมุนไพรจากย่ามโยนเข้าไปสองกำมือ ควันไฟที่ส่งกลิ่นเหมือนไม้กฤษณาเริ่มม้วนตัวขึ้นหนาเป็นภาพป่าไม้เมืองหนาวที่เต็มไปด้วยต้นสนมหึมาสูงเสียดฟ้าและธารน้ำแข็ง จากนั้นมันเปลี่ยนรูปร่างเป็นทุ่งราบ หุบเขา และภูมิประเทศแบบต่างๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม