ตอน ร่วมมือ ร่วมใจ (4)

3719 คำ
เมื่อทอมพูดจบ ทุกคนก็ได้ยินเสียงโครมสนั่นดังมาจากที่ไกลๆ บะจีบอกทอมด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลว่า “พวกของท่านคงมาถึงริมน้ำแล้ว” ทอมมองบะจีอย่างสงสัยว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงอะไร และทำไมจึงรู้ว่าพรรคพวกของเขากำลังมา “คงมีแรงขึ้นจากหล่มนะ น้ำหนักขนาดแปดตันของรถหุ้มเกราะล้อยางบวกกับผู้โดยสารอีกสาม อ้อ สี่ และถ้าตกลงมาจากความสูงขนาดนั้นคงจมพื้นโคลนลงไปครึ่งคัน แต่ทำไมเสียงมันดังเหมือนกระแทกหิน” ชดกล่าวขณะขมวดคิ้ว เขาควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจิ้มคำนวณเพื่อแก้สงสัยแล้วยักไหล่เมื่อเห็นตัวเลข ทหารไทยสองคนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าไกด์ร่างท้วมกำลังพูดถึงอะไร ขณะที่อะผ่า เชน อินญาและสุจาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนฤดีชะโงกไปมองโทรศัพท์ชดและบอกว่า “หวังว่าคงไม่มีใครคอหักนะคะ” ทันใดนั้นเสียงเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้นที่เป้บนหลังของทอม ชายผิวดำล้วงมือเข้าไปหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาถือและฟัง “แจ็กเรียกทอม แจ็กเรียกทอม อู้วว์ พวกเราลอยจากหน้าผาลงมาที่ริมลำธารสายใหญ่ โอย นายพรานผู้นำทางของเราบอกว่านี่คือเส้นทางที่รวดเร็วและปลอดภัยที่สุด หากไปทางอื่นเราอาจได้พบไดโนเสาร์กับมนุษย์กินคน ซู้ดดด์ ผมไม่มีทางเลือกเพราะเมื่อเขาชี้ทางให้วนขวาขึ้นที่สูงเราก็ถอยไม่ได้แล้ว ต้องเดินหน้าอย่างเดียว อูยย ทราบแล้วเปลี่ยน” เสียงพูดจบลงด้วยการไอโขลกๆ “ทอมเรียกแจ็ก ยานยนตร์มีอะไรเสียหายไหม อ้อ พวกคุณด้วย เป็นอย่างไรกันบ้าง ทราบแล้วเปลี่ยน” ทอมกรอกเสียงลงไป สายตาเขามองไปที่ชด ฤดี อะผ่า เชน สุจา และอินญาที่ต่างเอียงคอเงี่ยหูฟังการสื่อสารของเขา “แจ็กเรียกทอม ยานยนต์ของเรายังอยู่เป็นชิ้นเดียวแม้ว่ามันจะเหินจากความสูงประมาณร้อยฟุต แล้วตกลงบนกองหิน...” ชดและพรรคพวกเลิกคิ้วพร้อมเสียงอุทานอย่างสงสัย “เอ๊ะ” “หืมม” “ห้ะ” เสียงวิทยุรายงานต่อ “...น่าแปลกประหลาดที่มีหินกองอยู่ริมลำธารเฉพาะบริเวณที่รถของเราตกลงมากระแทก แต่โดยรอบนั้นเป็นพื้นหญ้าและดินนุ่ม...” ชดชำเลืองมองบะจีและคะมาทั้งสองผู้ซึ่งนั่งปั้นหน้านิ่งมองท้องฟ้าแต่ดวงตาบ่งบอกว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ “...ตอนนี้ผมกับจ่าโจ้และหมู่จ้อนกำลังเดินสำรวจรอบรถ โครงสร้างด้านนอกไม่มีอะไรเสียหาย ยางล้อทั้งหกเส้นยังไม่หลุดจากที่...ผมจะกลับเข้าไปตรวจอุปกรณ์ภายในรถ รอเดี๋ยว...” เสียงที่รายงานเงียบไประยะหนึ่งแล้วพูดต่อ “เครื่องประกอบอาวุธเสียหายมาก เครื่องยิงปืนกลใช้การไม่ได้ กลไกชำรุดหลุดออกจากที่ตั้ง ระบบคอมพิวเตอร์ยังใช้ได้บางส่วน เครื่องปล่อยสนามแม่เหล็กใช้การได้...” แล้วก็เป็นเสียงตะโกนด้วยความตกใจ “โอ๊หม่ายก้อดดด !! ช้าง...ช้างยักษ์...ช้างตัวใหญ่มาก แมมมอธ มันเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้...เหมือนช้างในหนังการ์ตูนเลย” เสียงรายงานเงียบหายไป ทอมกดเครื่องมือสื่อสารอย่างร้อนใจ “ทอมเรียกแจ็ก ทอมเรียกแจ็ก ตอบด้วย” ชด สุจา อะผ่า เชน อินญา และฤดีล้อมวงกระซิบจนศีรษะแทบจะชนกัน “ผมสงสัยว่าจิมุ่ยกับจิเม้าว์ต้องขนหินไปวางไว้ตรงที่รถของพวกเขาตกลงมา” ชดว่า “คงเป็นแผนของบะจี ดูสิ นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้” สุจาบุ้ยปากไปทางบรรดาผู้อาวุโสที่นั่งกันอย่างสงบและมองดูทอมผู้ส่งเสียงกรอกลงไปยังเครื่องมือสื่อสาร ส่วนทหารไทยสองคนคือชัยและชาญต่างขยับปืนทำท่าพร้อมรบอยู่ข้างทอม ครู่ใหญ่ผ่านไปมีเสียงวิทยุเรียกกลับมา “แจ็กเรียกทอม พวกผมปลอดภัย แต่ช้างสองตัวมันปล้นปืนและอาวุธพวกเราไปหมดทุกชนิด คุณต้องไม่เชื่อแน่หากผมจะบอกว่าเจ้าช้างมันพูดภาษาอังกฤษได้ เสียงมันเหมือนเด็กแต่ดุชะมัด มันข่มขู่ผมให้ส่งมอบอาวุธ ไม่อย่างนั้นมันจะเหยียบพวกเราให้แบนเป็นคุ้กกี้ ทอม คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่ามันตัวสูงกว่ามนุษย์สองเท่า และหากผมจะบอกอีกเรื่องคุณจะต้องไม่รายงานไปที่หน่วยเหนือนะ เพราะเขาจะคิดว่าผมเป็นบ้าและอาจปลดผมออกประจำการ ...คือ เอ่อ คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่านายพรานผู้ที่นำทางผมมา แท้จริงคือพังพอน เขากัดสายไฟจนขาดก่อนเผ่นแผล็วขึ้นหลังช้างไปพร้อมกับ...กุญแจรถ...รวมทั้งกุญแจสำรอง...ผมขอจบรายงานเพียงเท่านี้ ทราบแล้วเปลี่ยน โอย” ทอมเมื่อฟังแจ็กพูดจบ เขายืนอึ้งไปครู่หนึ่งขณะคิดว่าแจ็กคงประสาทกลับจากอุบัติเหตุตกจากที่สูง ซึ่งสมองอาจกระทบกระเทือนมาก ชดพยักเพยิดกับอะผ่าแล้วชี้ไปที่รถโฟร์วีลที่จอดใต้ร่มไม้ “เดี๋ยวผมขออาสาขับรถไปรับพวกเขามาที่นี่นะครับ” อะผ่าพูดกับทอม “แทงค์ยูเวรี่มัช” ทอมผู้ยังนึกอะไรไม่ออกพูดอย่างดีใจ จากนั้นเขาก็วิทยุบอกแจ็กไปว่าจะมีรถไปรับเขามาที่หมู่บ้าน แต่คงต้องให้จ้อนกับโจ้เฝ้ายานยนต์ไว้ อะผ่าเดินไปยังรถโฟร์วีลที่จอดอยู่ด้านหนึ่งของลานใหญ่และขับออกไปทันที ขณะเดียวกับที่ทหารไทยสองคนเปิดปากกระซิบ “คนกลายเป็นพังพอนมีที่ไหน แถมยังปล้นกุญแจรถไป สงสัยไอ้พวกนั้นจะเมาแต่วัน” ชัยพูด ชาญพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “พูดถึงเหล้าชักเปรี้ยวปาก เดี๋ยวลองถามพวกชาวบ้านว่ามีเหล้าขาวไหม หัวค่ำวันนี้เสร็จงานแล้วขอตั้งวงก๊งกันให้สบายใจ บรรยากาศตรงนี้เหมือนสวนอาหาร” สุจาปรายตามองทหารทั้งสองอย่างรังเกียจ ชดกับฤดีมีความรู้สึกเดียวกันแต่เก็บอาการไว้ “เชิญพวกท่านนั่งพักด้วยกัน” พิมะเอ่ยกับทอมผู้เป็นหัวคณะและยื่นเก้าอี้ตัวเตี้ยส่งให้ ทอมกล่าวขอบคุณแล้วหันไปสั่งชัยและชาญให้ออกไปยืนเฝ้ายามที่สุดลานหมู่บ้านหลังจากเห็นสายตาของสองทหารไทยที่มองญิผ่าและอินญา “ทอม ผมขอถามหน่อย หากพวกคุณเดินสำรวจต่อไปที่หุบเขาแล้วไม่พบสิ่งที่คุณค้นหาล่ะ” ชดถาม “ผมเชื่อว่าต้องเจอแน่ครับ เพราะเมื่อคืนนี้ตอนเที่ยงคืน ผมจับสัญญาณได้ว่ามันอยู่บริเวณนี้” ทอมชี้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในมือให้ชดดูภาพย้อนหลังไป “แต่ว่าสัญญาณมันหายไปเมื่อเที่ยงวัน ซึ่งอาจเป็นเรื่องทางเทคนิคที่รอการแก้ไข อย่างไรเสียต้องเจอแน่นอนครับ เดี๋ยวพวกผมคงต้องรีบพากันเดินไปที่หุบเขาก่อนจะค่ำ ผมไม่อยากรอให้ถึงพรุ่งนี้” ทอมตอบอย่างกว้างๆ โดยไม่ระบุว่าสิ่งที่เขาค้นหาคือยานอวกาศและไม่บอกรายละเอียดของภารกิจ ทั้งที่เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมาหลังจากสัมผัสมือกับญิผ่าเขาได้คายข้อมูลออกมาทุกสิ่งแล้ว “อืม เอาอย่างนี้ สมมุติว่ามีคนพบวัตถุชิ้นนี้ก่อนหน้าคุณและเขากำจัดมันไปจนพ้นหูพ้นตาแล้วล่ะ” ชดพยายามตะล่อมถาม “ฮ่าๆๆ คุณชดก็สมมุติไปได้ เอ่อ ทำอย่างไรผมถึงจะอธิบายให้คุณฟังโดยไม่ต้องเปิดเผยภารกิจนะ เพราะเป็นการผิดกฎของกองทัพ” ทอมทำท่าคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่ออย่างระมัดระวัง “อืม ที่คุณชดเกรงว่าจะมีคนค้นพบและเอาไป คือมันไม่ง่ายอย่างนั้นนะครับ คือ เอ่อ มันมีน้ำหนักประมาณยี่สิบตันและขนาดเท่ากับหัวเครื่องบินจัมโบ้” “อ้อ เหรอครับ” ชดตอบแล้วมองไปทางกลุ่มผู้อาวุโสซึ่งฟังสำเนียงแบบชาวอเมริกันภาคใต้ของทอมอย่างตั้งใจ เขาลองถามอีกครั้ง “ผมสมมุติอีกทีนะ คือหากคุณเดินทางไปถึงบริเวณนั้นและพบว่ามันหายไป พวกคุณจะทำอย่างไร” “แหม เรื่องสมมุติของคุณชดนี่ช่วยลับสมองของผมดีเหลือเกิน” ทอมยิ้ม “คือถ้าผมเกิดพบว่ามันถูกเคลื่อนย้ายไป ผมก็ต้องแจ้งรัฐบาลของเราให้สืบหาว่าใครเป็นผู้กระทำ จากนั้นก็จัดการตามกฎหมาย หรือหากมันถูกขโมยไปจริงๆก็คงต้องเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผู้จะใช้ของสิ่งนี้คงไม่ใช่เอกชน เนื่องจากมันเป็นวัตถุดิบที่ต้องเอาเข้าไปถลุงในห้องปฏิบัติการด้านพลังงานปรมาณู ซึ่งเป็นกิจของกองทัพ” ทอมตอบพลางครุ่นคิด ชดพยักหน้ารับรู้ “และหากว่าเกิดมีคนมือดีเอามันไปกำจัดล่ะ” ชดมองทอมอย่างพยายามประเมินสถานการณ์ “ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆเถอะ... โอ! ซอร์รี่ ผมหลุดปากพูดเล่นไป คือ เอาอย่างนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมการสมมุติของคุณนี่ช่างตรงใจผม แต่ผมจะไม่เอาความคิดส่วนตัวและอารมณ์ต่างๆ มายุ่งกับงาน ผมแค่อยากบอกพวกคุณว่าหน้าที่ของผมในวันนี้คือค้นหาวัตถุสิ่งนั้นให้พบ แล้วรายงานไปทางหน่วยเหนือให้เขาส่งคนและเครื่องมือมาขุดและจัดการบรรทุกเครื่องบินไปที่ฐานทัพ จากนั้นผมก็หมดภารกิจ หากไม่พบก็ต้องหาเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร เพราะข้อมูลที่ได้รับมาผิดพลาดหรือเพราะมีการเคลื่อนย้ายเอาสิ่งนั้นออกไปแล้วจริงๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะผมยังไม่ได้รับการแจ้งมาว่าพบรถบรรทุกหรือเครื่องบินในเขตเทือกเขาผาแดงและผาชัน” ทอมพูดคำว่าผาแดงและผาชันเพี้ยนไปตามลิ้นของชาวตะวันตก ชดตั้งท่าจะถามต่อแต่พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังมาจากด้านหน้าหมู่บ้าน ทุกคนหันไปก็เห็นรถโฟร์วีลสีขาวขุ่นกำลังลากจูงรถหุ้มเกราะตามหลังมา “ก็อด! ชายหนุ่มคนนี้มีน้ำใจแท้ๆ” ทอมอุทาน อะผ่าจอดรถแล้วลงไปจัดเก็บอุปกรณ์ลากจูง ทหารสามคนเดินลงจากรถจี๊ปและกล่าวขอบคุณอะผ่าโดยการยืนชิดเท้าตะเบ๊ะให้ ชายผิวขาวยื่นมือให้อะผ่า ทั้งสองเขย่ามือกัน “ผมนึกไม่ถึงว่ารถคุณจะลากรถจี๊ปหนักๆ คันนี้มาได้ ช่วยพวกผมได้เยอะเลย” แล้วพวกเขาทั้งสามก็เดินเข้าไปหาชายผิวดำ โดยชายฝรั่งทำหน้าที่ตอบคำถามของทอม ส่วนชัยและชาญเดินกลับเข้ามาสมทบกับทหารไทยอีกสองคนและพูดคุยกัน ครู่หนึ่งทอมพาผู้มาใหม่ไปแนะนำตัวกับกลุ่มคนที่นั่งอยู่ในศาลา “หมวดแจ็ก จ่าโจ้ และหมู่จ้อน นี่คือคณะผู้อาวุโสซึ่งเป็นคนสำคัญของหมู่บ้านนี้ ส่วนด้านนั้นคือคุณชดและเพื่อนๆที่เข้ามาท่องเที่ยวดูธรรมชาติ” ทหารทั้งสามกล่าวคำทักทายอย่างเป็นมิตร จากนั้นทอมจึงแนะนำ “คนตัวสูงผู้นี้ชื่อแจ็ก เป็นคนชาติเดียวกับผม เป็นนาวิกโยธินเหมือนกัน ส่วนสองคนนี้เป็นทหารไทยชื่อโจ้และจ้อน เราทั้งหมดเป็นผู้ร่วมปฏิบัติการพิเศษครั้งนี้” ทอมพูดด้วยท่าทีเป็นทางการ “เดี๋ยวเราต้องไปสำรวจที่หุบเขาด้านโน้นและกลับมาตอนดึก หรือหากมีเหตุการณ์ไม่ปกติพวกเราอาจต้องนอนค้างกลางป่ากัน ผมเองไม่แน่ใจว่าเราจะเจอกับสถานการณ์อะไรบ้าง แต่ผมอยากกลับมานอนที่ลานหมู่บ้านเพื่อฟังเสียงธารน้ำ ผมชอบธรรมชาติแบบนี้” ทอมก้มดูนาฬิกา ห้าโมงครึ่งแล้ว เขาหันไปสั่งลูกน้องให้เตรียมเสบียง ไฟฉาย อุปกรณ์ป้องกันภัยและออกเดินกันในทันที โดยเดินอ้อมไปเบื้องหลังหมู่บ้านตามแผนที่จีพีเอสระบุไว้ “เดี๋ยวเขาต้องเห็นร่องรอยที่เราลากยานอวกาศมาจากหุบเขาก่อนจะพบว่ายานนั้นหายไป” อินญาพูดอย่างกังวลใจ “อาจโดนข้อหาทำลายทรัพย์สินขององค์การอวกาศนะครับ หากเขารู้ว่าเป็นฝีมือใคร” เชนพูด “เมื่อครู่นี้ตอนที่พวกคุณคุยกัน ผมค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับยานลำนี้ พบว่ามันมีมูลค่าสี่ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่นับแร่ยูเอ็ม-50 ปริมาณสิบสองตันที่ขนมาจากดาวอังคารเพื่อถลุงในห้องปฏิบัติการ สินแร่ชนิดนี้ขุดได้เฉพาะเหมืองใต้ดินที่ขั้วโลกของเรา มันมีราคากรัมละสองล้านเหรียญ ก่อนหน้านั้นพวกเขาพบว่าที่ดาวอังคารก็มีแร่ชนิดนี้ ทางองค์การอวกาศจึงทำการประชาสัมพันธ์ออกไปว่ายานมาร์เรซที่ยิงขึ้นฟ้าไปนั้นอยู่ในโครงการปรมาณูเพื่อสันติ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงกองทัพอากาศของประเทศมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง” “มันก็ต้องเลือกระหว่างถูกดำเนินคดีกับการยับยั้งการผลิตอาวุธปรมาณู” ชดกล่าว เมื่อถึงตอนนี้บรรดาผู้อาวุโสต่างพากันลุกขึ้น เสียงเจิ่วมะบอก “ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว พวกท่านเชิญรับประทานกันตามสบายบนระเบียงบ้านใหญ่ที่ท่านพัก อีกสักครู่พวกเด็กหนุ่มสาวคงทำอาหารเสร็จและยกไปให้ หลังจากนั้นเราจะได้พบปะพูดคุยกันครั้งสุดท้าย” ผู้เป็นญิผ่ากล่าวเสริมว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องทหารกลุ่มนี้ ข้าจะจัดการปรุงยาสมุนไพรเพื่อลบความจำของพวกเขา เพื่อพวกท่านจะไม่ถูกรบกวนในวันหน้า” นางนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ “พวกเขาจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ ถ้าไม่ประพฤตินอกลู่ของปุถุชน” ชดและคณะต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกล่าวขอบคุณ “หัวค่ำวันนี้ข้าจะบอกท่านเรื่องตัวยา” ญิผ่ากล่าวจบก็หันตัวเดินกลับ ชด สุจา อะผ่า ฤดี อินญา และเชนยังนั่งคุยกันที่ศาลาข้างลานหมู่บ้าน “เล่าให้เราฟังหน่อยซิว่าเมื่อกี้ขับรถออกไปแล้วเจออะไรบ้าง” ชดถามอะผ่า “ผมขับผ่านประตูหมู่บ้านออกไปทางริมธารที่เราผ่านมาเมื่อเช้า ปรากฏว่ารอยทางที่เราฉุดชักลากยานอวกาศกันมานั้นถูกกลบด้วยดินและผืนหญ้า อีกทั้งมีไม้ดอกไม้ประดับขึ้นรายรอบดูงดงามราวกับธรรมชาติสร้างสรรค์” อะผ่าเล่าด้วยสีหน้าเบิกบาน “ผมสงสัยว่าผู้อาวุโสคงขอให้บรรดาหนุ่มสาวชาวบ้านไปช่วยกันเคลียร์พื้นที่กลบเกลื่อนร่องรอย” เชนบอก ทุกคนพยักหน้า อะผ่าเล่าต่อว่า “เมื่อไปถึงบริเวณที่พวกเราตกลงมาจากหน้าผาหลังเที่ยงวานนี้ ผมก็พบรถจี๊ปหุ้มเกราะคันหนึ่งจอดตะแคงอยู่บนกองหินใหญ่ที่เรียงรายอยู่ ทั้งที่เมื่อเช้ายังไม่เห็นมี” สุจาหัวเราะออกมาเมื่ออะผ่าเล่าถึงตรงนี้ เขาพูดกับอะผ่าว่า “อาโฮเห็นบะจีและคะมาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่อาโฮรู้แล้วว่าสามคนนี้ต้องมีเอี่ยวด้วยแหงเลย” “ผู้อาวุโสสามคนรวมทั้งชาวบ้านและช้างน้อยคงช่วยกันขนหินไปกองไว้ตรงนั้นตอนที่พวกเรางีบหลับกันตอนบ่าย” ชดเดา “ฉันก็ว่าอย่างนั้นค่ะ” ฤดีพูด จากนั้นอะผ่าก็เล่าต่อว่า “ผมพบแจ็ก โจ้ และจ้อน พวกเขายังทำหน้าตกใจที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คนฝรั่งบอกว่าหากเขาถูกไล่ออกจากกองทัพเพราะถูกช้างปล้นอาวุธ เขาจะกลับมาจับช้างแมมมอธสองตัวนั้นไปขายสวนสัตว์ ส่วนทหารไทยบอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกพังพอนหลอกให้ขับรถจนตกหน้าผาเหมือนคราวนี้ แต่โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรเพราะพวกเขาฝึกยุทธวิธีมา” อะผ่าหัวเราะเมื่อนึกถึงสีหน้าของคนทั้งสาม “จากนั้นผมก็ช่วยลากรถพวกเขาลงมาจากกองหิน แล้วขับรถกลับมาที่หมู่บ้าน” “บะจีช่างรอบคอบที่ไปช่วยกลบเกลื่อนร่องรอย อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่มีวันรู้ว่ายานอวกาศที่บรรทุกแร่อันตรายนั้นจมอยู่ใต้ลำธาร” ฤดีพูด “หรือต่อให้รู้พวกเขาก็ไม่มีทางกู้มันขึ้นมาได้ เพราะจากที่เห็นตาน้ำวน มันคงจะดูดยานนั้นลงไปลึกถึงใจกลางพิภพ” ชดบอก “อย่างน้อยมันก็ไกลสุดมือเอื้อมแล้วค่ะ” อินญาพูดแล้วถอนหายใจ “พรุ่งนี้เราคงต้องกลับกันแล้วใช่ไหม” ทุกคนพยักหน้า “นี่ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาเราเจอเหตุการณ์ต่างๆ มากมายเลยนะครับ” เชนว่า “มากกว่าที่ผมใช้ชีวิตมาหลายปี” เขาคลำตลับเครื่องรางที่หน้าอกแล้วหลับตาครู่หนึ่ง “ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้รับครึ่งของหัวใจไม้หินกลับคืนมาให้ตระกูลโวไวดา แล้วชีวิตผมก็คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” น้ำเสียงของเชนเหมือนพูดกับตนเอง ชดตบบ่าเขาแล้วกล่าว “คุณโชคดีที่เจอเส้นทางชัดเจนว่าต่อไปนี้คุณจะพลิกฟื้นศาสตร์โบราณที่บรรพบุรุษของคุณค้นคว้าและรวบรวมเป็นองค์ความรู้ถ่ายทอดให้อนุชนรุ่นหลัง แม้มันไม่ใช่งานง่ายในวิถีชีวิตปัจจุบัน แต่คุณได้รับพลังจากเครื่องรางนี้แล้ว” เชนพยักหน้ารับคำของชด อะผ่าและอินญาต่างโอบบ่าเขาไว้เมื่อเห็นอารมณ์อันละเอียดอ่อนของเชนที่แสดงออกมา “เดี๋ยวเราไปช่วยพวกหนุ่มสาวทำอาหารกันดีกว่า พวกเขาเหนื่อยกันมาแล้วทั้งวัน” สุจาพูด “ตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดไปตัดเถาวัลย์ถักเป็นเชือกหนา ออกแรงฉุดลากยานอวกาศไปจนถึงริมธาร และเมื่อพวกเรานอนพักผ่อนตอนบ่าย พวกเขากลับต้องไปเคลียร์พื้นที่กลบเกลื่อนร่องรอย” “อินญาเต็มใจจะไปทำอาหารให้พวกชาวหมู่บ้านได้รับประทานเป็นการตอบแทนมิตรภาพและน้ำใจ” อินญาถลกแขนเสื้อเตรียมตัวทำอย่างที่บอก “ผมด้วยครับ ผมจะไปตำน้ำพริกให้พวกเขากินกับผักสดๆ” อะผ่าพูดพลางถลกแขนเสื้อเช่นเดียวกับอินญา “ผมจะไปทำเรื่องยุ่งๆให้พวกคุณปวดหัวเล่น ผมทำอาหารไม่เป็นแต่ชอบช่วย เหมือนที่มีคนชอบเปรียบเทียบว่าโง่แต่ขยันอย่างนั้นแหละครับ” เชนพูดยิ้มๆ “มีเสบียงแห้งหลายอย่างที่ผมซื้อมา อีกทั้งขนมอีกกล่องใหญ่ เดี๋ยวผมจะยกไปแบ่งปันให้พวกเขาได้ชิมกัน” เชนบอกพลางเดินไปที่รถของโนอาห์ “ฉันรู้สึกดีใจที่พวกเราร่วมเดินทางมาด้วยกัน” ฤดียิ้มอย่างมีความสุข “หนูรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆค่ะ ชีวิตหนึ่งจะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่ได้เดินทางและพบเจอคนที่มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน นอกจากนั้นยังได้ประสบเหตุการณ์แปลกประหลาดอย่างที่ผ่านมาในช่วงสองวันนี้นะคะ” อินญาพูด ดวงตาเธอเป็นประกาย “เดี๋ยวผมจะแสดงฝีมือทำอาหารในฐานะเชฟจากลอนดอน แต่น่าเสียดายที่เครื่องปรุงต่างๆอยู่ในรถฮัมเมร่าที่น่าสงสารคันนั้น” ชดพูด “เฮ้อ เสียดายรถด้วยค่ะ พี่ชดคงต้องกลับไปเป็นเชฟอีกสิบปีจึงจะมีเงินซื้อรถแบบนี้อีกคัน” สุจาพูดพลางลุกขึ้น “ผมขี่จักรยานได้ หากซูซานและลูกมาผมจะหาจักรยานแบบขี่สามคนไว้ไปตลาดพร้อมกัน” ชดพูดแล้วหัวเราะกับความคิดที่ผุดขึ้น “ผมคงลดน้ำหนักลงได้และกลับมาหล่อเหลาเหมือนเดิม” “อย่าลืมขอยาปลูกผมจากญิผ่าด้วยนะคะพี่ชด” สุจาเย้าชดอย่างเอ็นดู “เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว เดี๋ยวจะหล่อเกินลิมิต พวกสาวแก่จะเดือดร้อนใจ” ชดพูดลอยๆ โดยไม่มองฤดีที่อมยิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นทุกคนพากันเข้าไปโรงครัวที่หนุ่มสาวหลายคนกำลังทำอาหารและต่างช่วยกันคนละไม้ละมือจนปรุงเสร็จและเก็บล้าง “เชิญไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ ท่านผู้มาเยือน เดี๋ยวพวกเราจะยกไปให้ถึงชานระเบียงที่พัก” หญิงสาวคนหนึ่งพูด “อย่าต้องลำบากอย่างนั้น พวกหนูๆเหนื่อยกันมามากแล้ววันนี้ เดี๋ยวพวกเราจัดการเองจ้ะ” สุจาตรงเข้ายกสำรับอาหารขึ้นไปวางบนระเบียงบ้านกลาง เชน อินญา และอะผ่าเข้าช่วยอย่างเร็วรี่ “เอ้าหม้อนี้ผมปรุงให้พวกคุณเป็นพิเศษ” ชดบอกเด็กหนุ่มสาวที่มาดูวิธีทำอาหารของเขา “แล้วนี่สำหรับผู้เฒ่าติ๊เบี่ยและเพื่อนพ้อง” “ขอบคุณพวกท่านสำหรับน้ำใจมากล้น” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งพูด “แล้วนี้จิมุ่ยกับจิเม้าว์อยู่บ้านไหมครับ ผมจะเอาขนมไปให้” เชนถาม “พวกเขา เอ่อ ไปเดินเล่นกับพี่แมวป่า พี่เสือปลา น้านกแก้ว ป้าชะนี และคุณอาเลียงผาค่ะ ฝากไว้กับเราไม่หายหรอก เดี๋ยวจะเอาไปเก็บไว้ที่โรงช้าง เมื่อพวกเขากลับมาคงรู้ว่าเป็นของฝากจากพวกท่าน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพูดพลางมองใบหน้าหล่อเข้มของเชน “อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณครับ” เชนตอบพลางค้อมตัวให้ บรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัยสร้างความประทับใจให้แก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือน หลังจากยกอาหารขึ้นไปวางบนชานบ้านแล้ว สุจาก็นำขบวนไปอาบน้ำที่ริมธารอย่างรวบรัดเพราะเกรงอาหารจะเย็นเสียก่อน จากนั้นพวกเขาก็ล้อมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย มีเสียงน้ำในลำธารขับกล่อมให้เพลิดเพลิน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม