ตอน ร่วมมือ ร่วมใจ (3)

4691 คำ
ฤดีเอนหลังลงใกล้สุจาที่เอนกายหนุนแขนตนเองเหม่อมองธารน้ำเบื้องหน้า ส่วนอินญาและอะผ่านั่งคุยกันด้วยเสียงเบาที่มุมหนึ่ง เชนลงบันไดอย่างเงียบเชียบไปยังริมธารที่ส่งเสียงซ่านซ่าผสมเสียงใบไม้ขยับส่ายจากลมพัด เมื่อคืนนี้ก่อนล้มตัวนอน เขานำสมุนไพรที่เก็บจากบริเวณกองไฟวางไว้ข้างหมอน กลิ่นของมันช่างหอมประหลาด เขาสูดดมจนหลับไป เขาฝันเห็นภาพป่าไม้หินที่มีไม้สนยืนต้นอยู่เรียงรายกลางหิมะขาว มีเด็กชายผิวสีน้ำตาลผมยาวเดินเที่ยวเล่น เด็กน้อยคล้องเครื่องรางไม้หินรูปวงกลมและสะพายธนูประดับด้วยขนนก เขาซุ่มซ่อนตนหลังพุ่มไม้เล็งยิงสัตว์เล็กใหญ่ด้วยความซุกซน ฝีมือแม่นยำไม่เคยพลาดเป้า ลูกดอกแล่นปักอกทั้งนกอินทรีที่กำลังร่อนถลา อีกทั้งหมี เม่น กระรอก งู และสัตว์เลื้อยคลานสี่ขานับไม่ถ้วน จนวันหนึ่งเด็กชายเกิดสำนึกผิดและสลดใจเมื่อเห็นกวางป่าถูกลูกธนูของเขาล้มลงเลือดแดงฉาน เขาไว้ชีวิตกวางป่าตัวนั้นและรักษาแผลให้ด้วยยาสมุนไพรที่เขาร่ำเรียนจากบิดาเขา เด็กชายตั้งปณิธานว่าจะตั้งใจศึกษาศาสตร์ของโวไวดาเพื่อช่วยรักษาสิ่งมีชีวิตสัตว์ คน และต้นไม้ ความฝันของเชนนั้นแจ้งชัดจนเขาได้กลิ่นหอมที่อวลออกมาจากต้นสนที่งดงามต้นหนึ่ง มันมีลำต้นตรงและสูงสง่า เขารู้สึกถึงอากาศเย็นจัดและละอองหิมะที่สัมผัสผิว เขามองเห็นแสงสีเขียวบนท้องฟ้าที่งดงาม จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นในเวลาย่ำรุ่งด้วยเสียงนกประสานกันร้องรับตะวัน เชนเหม่อมองลำธารและถอนหายใจ เขาเหลือบตามองขึ้นไปบนระเบียงบ้านหลังกลางเห็นอินญาและอะผ่าโบกมือและยิ้มให้ เชนโบกมือตอบและหันกลับไปมองสายน้ำอีกครั้ง เขาหวนนึกถึงชีวิตตนเองที่บัดนี้อายุเกือบจะยี่สิบห้า แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถึงแม้เขาเกิดมาในครอบครัวที่สืบสายเลือดโวไวดาผู้ทำหน้าที่เยียวยารักษาผู้เจ็บป่วยด้วยสมุนไพร มนตรา พิธีกรรม และยังเป็นผู้ติดต่อกับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ศาสตร์ทั้งหลายตกทอดมาถึงรุ่นเขาด้วยการผูกเป็นบทสวดและเพลงร้อง มันเคยเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อมาถึงรุ่นเขาความสำคัญของโวไวดาถูกทำลายไปหมดสิ้นตั้งแต่สมัยปู่ทวดที่ทำสนธิสัญญาสงบศึกกับผู้รุกรานผิวขาวที่อพยพมาจากทวีปยุโรป ดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลของชาวนกฟ้าถูกยึดเปลี่ยนเจ้าของภายใต้กฎหมายของรัฐบาลท้องถิ่น ผู้ครอบครองที่ดินรุ่นใหม่ต่างมีกระดาษกรรมสิทธิอันมีชื่อเรียกว่าโฉนด ส่วนพวกชาวนกฟ้าผู้บุกเบิกดินแดนแห่งนั้นสืบต่อกันมาแปดพันปีกลับถูกจัดสรรให้อยู่ในพื้นที่จำกัด มันกลายเป็นสวนสาธารณะที่นักท่องเที่ยวสามารลุกล้ำส่องกล้องมองดูความเป็นอยู่ของพวกเขาราวกับสวนสัตว์ ศาสตร์การเยียวยาแบบโบราณของโวไวดาที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดถูกถ่ายทอดสืบต่อมาอย่างกระพร่องกระแพร่ง ปู่ทวดของเขาแม้เป็นผู้เคร่งครัดต่ธรรมเนียมประเพณีชาวนกฟ้า แต่ก็พ่ายต่อกาลเวลาและความเจ็บช้ำน้ำใจที่สูญเสียผืนแผ่นดินของบรรพชนให้แก่ผู้ถือปืนซึ่งมาในนามของรัฐบาลกลาง ส่วนปู่และพ่อของเขาต่างพยายามเก็บรักษาและใช้ประโยชน์จากความรู้ที่รับถ่ายทอดมา แต่ความเป็นสมัยใหม่หลังจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้ชาวนกฟ้าค่อยๆถูกกลืน พวกเขาเลิกสนใจการเยียวยาแผนโบราณแถมยังดูหมิ่นความรู้แขนงนี้ว่าเร่อร่าไร้ความศิวิไลซ์ การท่องมนตราของตระกูลโวไวดากลายเป็นพิธีกรรมประกอบการแสดงทางวัฒนธรรมเท่านั้น ยามเจ็บไข้ได้ป่วยชาวนกฟ้ารุ่นใหม่จะพากันไปโรงพยาบาลและฉีดยา กินยาเม็ดหรือยาแค็ปซูลที่หมอผู้เรียนสาขาแพทย์เพียงแปดปีจากสถาบันเป็นผู้เขียนใบสั่งยา นอกจากนั้นพวกเขายังบริโภคอาหารชุ่มไขมันและผลิตภัณฑ์สังเคราะห์จากระบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอาหารราคาถูกจนร่างกายอ้วนใหญ่มหึมา เด็กหนุ่มสาวชาวนกฟ้ารุ่นปัจจุบันหลายคนเป็นโรคอ้วนเนื่องจากวิถีชีวิตแบบใหม่ที่ไร้ความสมดุลในทุกด้าน พวกเขาบางคนต้องปรึกษาจิตแพทย์และกลายเป็นคนที่ไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรได้ มีบางส่วนที่ติดเหล้าและยาเสพติดจนเป็นเดนมนุษย์ไร้ที่ยืนเหยียดร่างตรงในสังคมทั้งของตนเองและสังคมใหญ่ เชนคลำตลับที่คล้องกับสร้อยเงินแนบหัวใจเขาอยู่ในขณะนี้ เขาจำได้ว่าเมื่อเขาอายุสิบขวบ บิดาและบรรดาญาติผู้ใหญ่ได้ทำพิธีมอบสัญลักษณ์ของความเป็นโวไวดาให้แก่เขาโดยมีการเล่าประวัติที่เหมือนนิทานสู่กันฟัง ว่าเมื่อครั้งชาวนกฟ้ายังนุ่มห่มเปลือกไม้และอาศัยอยู่บริเวณรอบป่าไม้หินในแคว้นไซบีเรียที่หนาวเหน็บทุกฤดูกาล บรรพบุรุษผู้หนึ่งได้พบเจอแก่นหัวใจของไม้สนหอมสูงใหญ่มหึมาที่กลายเป็นหิน มันยืนต้นร่วมแสนปีตั้งแต่ก่อนยุคน้ำแข็งปกคลุมโลก เขาบอกกล่าวขอขมาแก่ต้นสนใหญ่ที่ยืนตายซากหลังจากหิมะละลาย หลังจากนั้นบรรพบุรุษผู้นี้นำแก่นหัวใจของไม้หินนั้นแขวนคอไว้เพื่อเป็นเครื่องป้องกันภัยจากผีร้ายและสายฟ้า ซึ่งเรื่องที่เล่าต่อกันมาก็สอดคล้องกับที่ญิผ่าเล่าเมื่อคืนนี้ ตัวเขาแขวนเครื่องรางอันเป็นสัญลักษณ์ของโวไวดามาจนทุกวันนี้ แต่เขาแทบไม่ได้นึกถึงมันในแง่คุณค่า มันทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องประดับที่เหมาะกับบุคลิกและสวมใส่ตามความเคยชินเท่านั้น มาบัดนี้เชนรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่ได้เรียนรู้ศาสตร์การเยียวยาอันเป็นความรู้เฉพาะของตระกูลโวไวดาอย่างจริงจัง เขาไหลไปตามวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ และเป็นได้แค่คนพื้นเมืองอเมริกันที่มีการศึกษา แต่เขาแทบจะไร้ค่าในสังคมใหญ่ที่บูชาเงินและสถานะ เขาไม่ใช่คนมีชื่อเสียงในหมู่พลเมืองชาวอเมริกัน อีกทั้งไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชาวนกฟ้าที่กำลังสูญเสียทุกอย่างไป วัฒนธรรมประเพณีของพวกเขามีไว้เพื่อแสดงโชว์เมื่อมีเทศกาลประจำปี พ่อของเขาและหมู่ญาติมักได้รับเชิญไปร้องและเต้นเปิดงานกีฬาเพื่อเสริมความสนุกสนานเท่านั้น ความเป็นชาวนกฟ้าของเขามีไว้เพื่อแนะนำตัวให้คนแปลกหน้าเลิกคิ้วและมองรูปร่างบึกบึน ผิวสีน้ำตาล ผมยาวถึงกลางหลังด้วยสายตาประหลาด ซึ่งมันทำให้เขาขาดความมั่นใจในการแสดงตนให้คนเห็นถึงเอกลักษณ์ต่างๆ ซึ่งชนเผ่าของเขาได้ก่อสร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมาเป็นเวลานับหมื่นปีตั้งแต่เมื่อครั้งยังอาศัยอยู่ในเขตเหนือสุดของทุ่งน้ำแข็ง ตัวเขาเองสวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงยีนส์ พูดภาษาอังกฤษชัดถ้อยคำ แต่เขารู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืนในสังคมของประเทศที่เขาเติบโตและได้รับการศึกษา จนกระทั่งไม่กี่วันมานี้ที่เขาเดินทางสู่เชียงใหม่พร้อมอินญา ในงานศพของโนอาห์เขามองเห็นความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมของชาวอาข่าซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย เขาเห็นนักศึกษาชนเผ่าที่ยังรักษาคำสอนของบรรพบุรุษไว้และทำการเก็บรักษาอย่างเป็นระบบโดยใช้เครื่องมือสมัยใหม่ ... ขณะที่เชนกำลังครุ่นคิดคำนึงอยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กกู่มาจากที่ไกลๆ มีเสียงรับกันเป็นทอดๆ จนถึงหมู่บ้าน บรรดาผู้อาวุโสต่างเดินลงมาจากบ้านของตน “พวกคนแปลกหน้ากำลังปีนเขาขึ้นมาแล้ว!” บะจีตะโกนบอกพลางเดินมาที่บ้านหลังกลาง เชนลุกขึ้นจากที่นั่งริมธารและไปสมทบกับชด ฤดี สุจา อะผ่าและอินญาที่ลงบันไดเรือนมายืนด้วยกัน “เสียงกู่นั้นคือเสียงเพื่อนพ้องของติ๊เบี่ย ทั้งนกแก้ว เสือปลา เลียงผา ชะนีแก้มขาว และเจ้าแมวป่าที่ขึ้นไปซุ่มอยู่บนที่สูงเพื่อดูเหตุการณ์” หน่าเหงอะอธิบายให้ผู้มาเยือนเข้าใจ “อีกนานไหมครับกว่าพวกเขาจะมาถึงหมู่บ้าน” ชดถาม “ก็คงจะอีกพักใหญ่ เพราะพวกนั้นต้องลัดเลาะไต่ขึ้นบนเส้นทางสูงชันกว่าจะลงมาจากหน้าผา” บะจีตอบพร้อมกู่เสียงกลับไป ทันใดนั้นนกแก้วปากแดงปีกสีเขียวอ่อนก็บินมาเกาะที่บ่าเขา “รายงานเหตุการณ์หน่อยซิ มิกก้า” บะจีถาม เจ้านกแก้วร้องแจ๊กๆ ก่อนพูดภาษาอาข่าออกมาเนื้อความว่า “คนพวกหนึ่งขับรถจี๊ปหุ้มเกราะมาจอดไว้ที่ด้านหน้าน้ำตกแล้วส่งทหารสามคนให้ปีนสำรวจเส้นทางขึ้นมาจากด้านหน้า พวกท่านต้องระวังตัวเพราะพวกเขาถืออาวุธปืนทันสมัย” มิกก้ารายงานพลางขยับปีกพึ่บพั่บ “ตอนนี้พี่แมวป่า น้าเลียงผาเฝ้ายามอยู่ที่เชิงผาด้านนี้ ส่วนลุงเสือปลา ป้าชะนีแก้มขาว และผู้เฒ่าพังพอนซุ่มดูอยู่ข้างน้ำตก” บะจีพยักหน้าอย่างครุ่นคิดแล้วถามนกแก้วคู่ใจว่า “พวกที่เฝ้ารถจี๊ปมีกี่คน” “มีสามคน” มิกก้าตอบเสียงแจ้ว อะผ่าแปลให้อินญา ชด และเชนได้เข้าใจ บะจีพยักหน้าและและบอกนกแก้วว่า “เอาละเจ้าไปได้แล้ว มิกก้า แล้วค่อยมาส่งข่าวอีกครั้งหากมีอะไรคืบหน้า คอยฟังเสียงกู่ของข้าด้วยละกัน” บะจีบอก นกแก้วสีสันสวยงามโผบินอย่างว่องไวไปทางหน้าผา อะผ่าแปลสิ่งที่นกแก้วบอกให้ชดและทุกคนเข้าใจ “เราต้องเตรียมตัวอะไรบ้างคะ” ฤดีถามบรรดาผู้อาวุโส พิมะส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า “คงไม่ต้องรับมืออะไรกับรถจี๊ปที่มาจอดหน้าน้ำตก เพราะพวกเขาคงหาทางเข้าหมู่บ้านเราไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ รถคันนั้นเป็นรถหุ้มเกราะ พวกเขาสามารถขับทะลวงฝ่าสายน้ำตกเข้ามาได้หากเขารู้ว่ามีถ้ำลอด ส่วนพวกคนที่ปีนหน้าผาขึ้นมา เราคงต้องต้อนรับพูดคุยสอบถาม หากเขามาดีเขาก็จะกลับไปด้วยดี” พิมะทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านี้ แต่ข้อมูลที่ได้รับก็ทำให้ชดและทุกคนกังวลใจ “พวกที่เฝ้ารถอยู่หน้าถ้ำอาจใช้เครื่องมือเอ็กซเรย์ภูเขาและมองเห็นปากถ้ำ” ชดบอก เพราะเขารู้เรื่องอุปกรณ์ทางทหารจากการอ่านหนังสือ “ท่านอย่าห่วงไปเลย” บะจีบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ถ้าเป็นอย่างนั้น เจ้าพังพอนแสนกลของเราคงจะปรากฏร่างเป็นมนุษย์และหาวิธีชักจูงพวกเขาให้ลองเส้นทางใหม่ๆ อย่างที่พวกท่านได้เล่นสนุกกันมาแล้ว” “อ้อ เข้าใจแล้วค่ะ” สุจาหัวเราะออกมาเพราะยังนึกขันที่ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยหลอกให้ชดและอะผ่าขับรถวนขวาจนไปออกปากถ้ำบนหน้าผาแล้วตกลงมาบนหญ้านุ่มริมตลิ่ง “พวกเราไปที่ลานหมู่บ้านกันดีกว่า เมื่อคนแปลกหน้ามาถึงจะได้พูดคุยสอบถาม” เจิ่วมะพูด จากนั้นเดินนำทุกคนไปยังลานหมู่บ้านอันเงียบสงบ พวกเขานั่งลงด้วยกันในศาลาใหญ่คล้ายกระท่อมมีแต่เสา รถโฟร์วีลสีขาวขุ่นจอดใต้ร่มไม้ใหญ่อย่างโดดเดี่ยว ครู่หนึ่งต่อมามีเสียงกู่สองครั้งและเว้นจังหวะก่อนจะกู่ซ้ำอีกสองครั้ง “พวกคนแปลกหน้ากำลังโหนเชือกไต่หน้าผาลงมา” บะจีบอกพลางกู่เสียงที่ฟังเหมือนสุนัขเห่า มีเสียงกู่ตอบมาเป็นจังหวะคล้ายเสียงนกหัวขวานกำลังเจาะกิ่งไม้ “อีกไม่นานพวกเขาจะผ่านประตูหมู่บ้าน” ทุกคนเงียบเสียงและรอดูเหตุการณ์ ชดก้มมองนาฬิกาข้อมือ ขณะนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น สิบนาทีผ่านไปคนในศาลาได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารพร้อมเสียงพูดที่ฟังจับความไม่ได้ จากนั้นเป็นเสียงย่ำเท้าสวบๆ คนแปลกหน้าสามคนสะพายเป้หลังและอุปกรณ์ปีนเขาปรากฏร่างอยู่เบื้องหน้า พวกเขาชะงักเมื่อเห็นรถโฟร์วีลสีขาวขุ่นจอดอยู่ “เฮ้ย มีรถเข้ามาได้นี่” เสียงหนึ่งตะโกนเป็นภาษาไทย อีกเสียงพูดภาษาอังกฤษกรอกลงไปที่วิทยุ “ทอมเรียกแจ็ก มีหมู่บ้านตามที่ดาวเทียมระบุ พบคนกลุ่มใหญ่ สงสัยจะเป็นนักท่องเที่ยวกับชาวบ้าน เอาเท่านี้ก่อน เดี๋ยวจะเรียกมาอีกครั้ง” คนแปลกหน้าทั้งสามเดินใกล้เข้ามา ชดพิจารณาผู้มาใหม่ มีคนไทยสองคนและคนผิวดำร่างสูง ทั้งสามสวมชุดลายพรางสะพายเป้สนาม คนไทยทั้งสองถือปืนยาวและที่บ่าคล้องอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนคนผิวดำไม่ถืออาวุธ มีแต่วิทยุสื่อสารในมือ “เฮลโล สวัสดีครับ” ชดส่งเสียงร้องทัก ขณะที่คนอื่นเก็บปากคำไว้สนิท ไม่มีใครส่งเสียงออกมา “เฮลโล” คนผิวดำตัวใหญ่ทักตอบ ชายไทยทั้งสองก้าวเข้ามายืนข้างหน้าแล้วกราดสายตามองทุกคนอย่างไม่เกรงใจ “พวกคุณมาเที่ยวกันหรือ” ชายไทยคนแรกถามชดด้วยน้ำเสียงเข้มเหมือนสอบสวน “ครับ” ชดตอบสั้นๆด้วยใบหน้าเฉยนิ่ง “เป็นไก๊ด์ละสิท่า” คนไทยคนที่สองพูดแล้วหันไปจ้องอินญาก่อนมองต่อไปที่สุจาและหยุดสายตาที่ญิผ่าร่างสูงใหญ่ผู้งดงาม เขามองใบหน้าลงไปที่ลำตัวเรื่อยไปถึงสะโพกจากนั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ครับ ผมพาเพื่อนๆมาชมธรรมชาติป่าเขาและลำธาร” ชดตอบเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจจากผู้ถามให้เลิกคุกคามผู้เป็นญิผ่าด้วยสายตา “พวกนี้เป็นชาวเขาเผ่าอะไร” คนไทยคนแรกถามพลางหรี่ตามองบรรดาผู้อาวุโสที่สวมใส่เสื้อผ้าทอสีซีดจาง “พวกเขาเป็นชาวอาข่า” ชดตอบ “อ้อ พวกอีก้อ ชอบกินหมา น้ำท่าไม่ชอบอาบ” คนไทยคนที่สองพูดแล้วหัวเราะ ขณะที่สุจาขยับลุกด้วยความโกรธ แต่ฤดีกดบ่าเขาไว้ สิ่งที่ชายผู้นี้พูดเป็นเรื่องที่คนไทยผู้มีอคติมักประทับตราชาวอาข่า ด้วยพวกเขาไม่รู้จัก ไม่เคยศึกษาวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย และมักคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าในทุกด้าน “กรุณาเรียกพวกเขาว่าชาวอาข่า” ชดพูดเสียงเข้ม อีกฝ่ายเมื่อเห็นสีหน้าของสุจาที่แสดงอาการโกรธก็ยักไหล่ “ผู้หญิงแต่งตัวสวยคนนี้เป็นเกาหลีหรือคนไทยล่ะ พูดภาษาไทยได้ไหม” ชายไทยคนแรกถามชดพร้อมมองสุจาที่สวมเสื้อผ้าทันสมัยลวดลายงามตา “เขาพูดได้ห้าภาษา เขาเป็นชาวอาข่า คุณล่ะครับพูดได้กี่ภาษา” ชดย้อนถาม ชายไทยทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะเจื่อนๆ จากนั้นหันไปบอกชายผิวดำด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นเรื่องที่พวกเขาสอบถาม ชายผิวดำยืดตัวตรงแล้วยื่นมือมาให้ชด ทั้งสองเขย่ามือกัน “ผมชื่อทอม ทหารไทยสองคนนี้ชื่อชัยกับกับชาญ ผมเป็นหัวคณะสำรวจและติดตามหาวัตถุสิ่งหนึ่ง ผมรับภารกิจมาจากรัฐบาลของผมและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย เราออกเดินทางตั้งแต่เช้าจากเชียงรายมากันหกคนด้วยรถจี๊ปและใช้ดาวเทียมบอกทิศทางจนถึงหน้าน้ำตกแล้วไม่มีทางรถให้ไปต่อ พวกผมสามคนจึงต้องปีนข้ามภูเขามาสามชั่วโมงและจะต้องเดินทางไปยังหุบเขาด้านหลังโดยเร็ว” ทอมเหลียวมองทิศทางที่จอโทรศัพท์ในมือของเขาชี้บอก แล้วพูดต่อ “หากพบวัตถุที่ค้นหาแล้ว เราจะส่งข่าวไปทางต้นสังกัดให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ขนส่งพร้อมเจ้าหน้าที่คุ้มกันให้เข้ามาบรรทุกไป เอ่อ คือมันไม่ใช่ของเล็กและมันมีน้ำหนักมากน่ะครับ จากนั้นพวกเราคงต้องรั้งรออยู่ที่นี่จนกว่าจะเสร็จภารกิจ ซึ่งคงกินเวลาไม่เกินสองวัน” ทอมพูดอย่างสุภาพด้วยสำเนียงอเมริกัน ชดมองหน้าเขาและเห็นแววตาจริงใจ “ผมชื่อชด ห้าคนทางนี้เป็นเพื่อนผมชื่อฤดี สุจา อินญา อะผ่า และเชน ส่วนแปดคนทางโน้นเป็นผู้อาวุโสทำหน้าที่สำคัญของหมู่บ้านแห่งนี้” ทอมโค้งคำนับให้ทุกคน ส่วนทหารไทยสองคนยืนนิ่งเฉยอยู่ ทอมถามชดว่า “ผมขอถามหน่อยนะครับ พวกคุณเอารถเข้ามาทางไหนกัน” ชดชำเลืองมองผู้อาวุโส เมื่อเห็นพิมะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้ชดบอกทางเข้าแก่ผู้มาใหม่ทั้งสาม ชดจึงพูดไปว่า “เราเข้ามาทางปากถ้ำที่อยู่เบื้องหลังน้ำตก พวกคุณต้องรอจนถึงพรุ่งนี้เที่ยงน้ำตกจะเปิดทางให้ แต่หากคุณต้องการเข้ามาที่หมู่บ้านในเวลานี้ ถ้ารถของคุณมีสมรรถนะเท่ากับรถถังก็น่าจะสามารถลุยผ่านเข้ามาได้” ชดตอบเสียงนิ่งและมองผู้ถาม ท่าทีเขาเป็นคนเอางานเอาการ “รถที่พวกผมขับมาเป็นยานยนตร์หุ้มเกราะขนาดเล็ก ล้อยางหกเส้น น่าจะลุยผ่านน้ำตกใหญ่เข้ามาได้สบายครับ” ทอมตอบแล้วดึงคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กออกมาจากเป้หลังอีกหนึ่งเครื่องและเปิดดูแผนที่ภูมิศาสตร์อย่างละเอียด เขาอุทาน “หลังน้ำตกมีถ้ำจริงๆ!” ชดชะโงกตัวเข้าไปมองที่หน้าจอ เขาเห็นสัญลักษณ์น้ำตก แต่เส้นทางภายในถ้ำไม่ปรากฏ “ขอโทษนะครับคุณชดที่ต้องถาม คือพวกคุณรู้จักเส้นทางนี้ได้อย่างไร เพราะแม้แต่ในแผนที่จีพีเอสของทางทหารก็ไม่บอกว่ามีทางรถที่จะเข้ามายังบริเวณนี้ได้” ทอมมองไปรอบๆอย่างสงสัย “อ๋อ เรามีเพื่อนที่เป็นชาวหมู่บ้านนี้นำทางเข้ามา” ชดตอบ “อ้อ หรือครับ แล้วระยะทางจากปากถ้ำด้านน้ำตกถึงทางออกยาวประมาณสักเท่าไรครับ” ทอมถาม “ประมาณสองกิโลเมตร ใช้เวลาขับรถแบบระมัดระวังสิบห้านาทีก็ถึง ถ้ำกว้างใหญ่ไม่ต้องกลัวติดขัด” ชดตอบและนึกหาคำอธิบาย ทันใดนั้นมีเสียงวิทยุเรียกมาที่เครื่องของทอม เสียงที่พูดเป็นสำเนียงอเมริกันที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียด “แจ็กเรียกทอม แจ็กเรียกทอม ตอนนี้เราเจอนายพรานร่างเตี้ยมากคนหนึ่ง เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านริมลำธารหลังภูเขาลูกนี้และรู้จักพื้นที่ทะลุปรุโปร่ง เขาให้ข้อมูลอย่างละเอียดเรื่องเส้นทางว่าเบื้องหลังน้ำตกมีถ้ำยาว ผมสามารถเอารถลุยเข้าไปได้ เขารับอาสานำทาง พวกเราเอ็กซเรย์ภูเขาลูกนี้ดูแล้วมองเห็นแต่ปากถ้ำแต่ไม่เห็นรายละเอียด ทราบแล้วเปลี่ยน” เสียงที่พูดมาหยุดไป “ทอมพูด ทางผมก็พบนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเช่นกัน พวกเขาเอารถเข้ามาที่หมู่บ้านนี้ได้ทางปากถ้ำหลังน้ำตกตามที่คุณว่า เขาให้ข้อมูลว่าระยะทางของมันประมาณสองกิโลเมตร เป็นถ้ำใหญ่ ขับรถราวสิบห้านาที ทางพวกคุณเตรียมตัวได้ หากพร้อมแล้วก็ให้นายพรานนำทางมา เราจะเดินทางต่อไปที่หุบเขาทันทีที่พวกคุณมาถึง ทราบแล้วปฏิบัติ” ชดเหลียวมองไปที่ผู้อาวุโสที่ยังนั่งกันอย่างสงบโดยไม่มีใครเอ่ยปากอันใด พวกเขาต่างมองดูทอมอย่างสนใจในบุคลิกและการพูดจาที่สุภาพ ขณะที่ทหารไทยสองคนยังจ้องมองญิผ่า สุจา และอินญาอย่างไม่เกรงใจ ทอมมองเพื่อนร่วมทีมทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยและขมวดคิ้วเป็นเชิงปรามก่อนจะเอ่ยปากถามชดว่า “พวกคุณพักค้างกันที่หมู่บ้านแห่งนี้หรือครับ” “ครับ” ชดตอบ “เอ่อ ผมคิดว่าพวกผมคงจำเป็นต้องพักค้างแรมที่หมู่บ้านนี้เช่นกันหลังกลับจากสำรวจหุบเขา และอาจต้องอยู่ต่ออีกสองหรือสามวันจนกว่าจะเสร็จภารกิจ แต่พวกเราจะไม่รบกวนชาวบ้าน เรามีเสบียงสนามติดมาด้วย ไม่ทราบว่าทางเจ้าบ้านจะว่าอะไรไหมครับหากเราจะกางเต็นท์นอนกันที่ลานแห่งนี้” ทอมถามชดพลางมองไปที่บรรดาผู้อาวุโสและยิ้มให้ “คุณลองถามท่านเหล่านั้นดูเองก็แล้วกัน” ชดตอบ ก่อนที่ทอมผู้ทำหน้าสงสัยจะพูดอะไรต่อ ทหารชื่อชัยซึ่งไม่สนใจฟังบทสนทนาของทั้งสองก็ถามแทรกขึ้นมา “นี่ไกด์ ลองถามอีก้อพวกนี้ให้หน่อยได้ไหมว่าลานสาวกอดอยู่ตรงไหน คืนนี้พวกผมจะไปหาสาวมากอดสักคนสองคน ผู้หญิงอีก้อเขาไม่ถือเรื่องนี้ใช่ไหม” สุจาเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงพูดสวนออกไปว่า “นั่นปากหรือ ทำไมจึงพ่นแต่ถ้อยคำราวกับผายลม พวกคนไร้การศึกษามักจะเข้าใจว่าคนอาข่ามีประเพณีแบบนั้น พวกคุณเป็นคนนอกแล้วมาพูดจาต่ำทรามเยี่ยงนี้ที่หมู่บ้านคนอื่น คุณไม่อายตัวเองบ้างหรือ” ชาญจ้องสุจาทั่วตัวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า “คุณพี่ไปเที่ยวลานสาวกอดด้วยกันคืนนี้ไหมครับ ผมรับรองว่าคุณพี่จะเพลินสุดๆไปเลย” แล้วชัยและชาญก็ส่งเสียฮาออกมา สุจาหน้าแดงจัดด้วยโทสะและตั้งท่าเดินไปที่ทหารสองคนที่ยืนกอดอกสะพายปืน แต่ฤดีรั้งตัวเขาไว้ เมื่อทอมเห็นท่าทีสุจาที่แสดงอาการโกรธเกรี้ยว เขาจึงถามชดว่ามีเรื่องอะไร ชดตอบทอมไปว่าทหารสองคนนี้พูดจาดูหมิ่นผู้หญิงอาข่า นอกจากนั้นพวกเขายังลามปามกับสุจา เมื่อทอมทราบดังนั้นเขาหันไปพูดกับผู้ใต้บัญชาเฉพาะกิจด้วยเสียงเด็ดขาดว่า “ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการพิเศษโดยความตกลงของรัฐบาลสองประเทศ ผมขอเตือนพวกคุณให้สนใจกับงานที่ได้รับมอบโดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เช่นนั้นผมจะเขียนรายงานส่งหน่วยเหนือของคุณ” ชัยกระซิบเป็นภาษาไทยกับชาญต่อหน้าชดว่า “ไอ้หมึกนี่อวดเก่ง เดี๋ยวกูจะสั่งสอนมันตอนเผลอ มันเพิ่งเป็นหัวหน้ากูได้สองวันมาทำเบ่ง” ทอมเมินท่าทีของผู้ร่วมทีมที่แสดงอาการฮึดฮัด เขาแค่นึกเสียดายว่าทางหน่วยที่เขาประสานงานมาน่าจะส่งคนที่มีจิตสำนึกดีกว่านี้มาทำภารกิจอันสำคัญ ไม่ใช่ว่าทหารไทยทุกคนจะหยาบคายเช่นนั้น แต่เขาโชคไม่ดีเอง จากนั้นทอมเดินไปหาบรรดาผู้อาวุโสทั้งที่เขาไม่แน่ใจว่าจะมีใครพูดภาษาอังกฤษได้ แต่เมื่อชดบอกว่าให้มาถามเจ้าบ้านดูในเรื่องที่พัก ทอมจึงเอ่ยปากถามพลางมองไปที่ทุกคน “ผมต้องขอโทษแทนผู้ร่วมทีมของผมที่พูดเรื่องระคายหูซึ่งอาจสร้างความรำคาญใจแก่พวกท่าน พวกผมทั้งหมดรวมหกคนกับรถเกราะเล็กอีกหนึ่งคันคงต้องพักค้างบนลานหมู่บ้านคืนนี้ พวกเรามีเต็นท์สนามและเสบียงอาหารมาพร้อมไม่รบกวนให้พวกท่านเหนื่อย” ทอมหยุดพูดเพราะนึกสงสัยว่าใครจะเป็นคนอนุญาตเขา แต่แล้วเขาก็ตระหนักว่าผู้อาวุโสทุกคนเข้าใจสิ่งที่เขาพูด เจิ่วมะเอ่ยปากตอบว่า “เชิญท่านตามสบาย จะพักที่ศาลานี้ก็ได้ พวกเราไม่รังเกียจ” ทอมตาโตเมื่อได้ฟังภาษาอังกฤษจากผู้เฒ่า เขายื่นมือออกไปสัมผัสมือของทุกคนจนมาถึงญิผ่า เขารู้สึกได้ถึงพลังกระตุ้นเร้าที่ทำให้เขาต้องเปิดปากเล่าถึงภารกิจของเขาไปตามตรงโดยไม่ปิดบัง ก่อนจะรู้ตัวถ้อยคำเจรจาก็หลั่งออกมาราวน้ำไหล “ท่านทั้งหลาย อีกสักครู่ใหญ่ลูกทีมของผมคงมาถึง พวกเราได้รับคำสั่งให้ตามหายานอวกาศที่สูญหายไปเมื่อต้นเดือนที่แล้ว เราเพิ่งสืบทราบว่ามันตกลงในบริเวณหลังหุบเขาหลังหมู่บ้านของพวกท่าน ยานลำนี้กลับมาจากปฏิบัติการขุดแร่สำคัญบนดาวอังคาร แต่ขณะที่เข้าสู่บรรยากาศของโลกมันเกิดปฏิกิริยาเสียดสี เพราะวิศวกรขององค์การอวกาศคำนวณผิดพลาดเรื่องแรงกดดัน ตัวยานจึงเสียการควบคุมและตกลงสู่พื้นผิวโลก ยานนี้ได้ทำระบบป้องกันการติดตามจากจอเรดาร์ของประเทศคู่แข่ง จนแม้แต่ประเทศผมซึ่งเป็นเจ้าของยานก็หามันไม่เจอ...” ทอมหัวเราะเหมือนสะใจในสิ่งที่เขาบอก เขาเล่าต่อไปด้วยดวงตาเหม่อลอย “...จนเมื่อไม่นานมานี้ดาวเทียมจารกรรมได้สืบพบว่ามันมาตกอยู่บริเวณหุบเขาแห่งนี้ ผมจึงเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์กจากเรือบรรทุกเครื่องบินที่จอดอยู่น่านน้ำประเทศฟิลิปปินส์พร้อมเจ้าหน้าที่คอมมานโดเกือบร้อยนาย ขณะนี้พวกเขาอยู่ที่ค่ายทหารในตัวจังหวัดเชียงใหม่รอรับคำสั่งเมื่อผมพบยานอวกาศแล้ว” ทอมหยุดพูดครู่หนึ่งและกลอกตาทำท่านึก ชัยและชาญซึ่งยืนฟังอยู่กระซิบบอกกันว่า “ไอ้หมึกมันไม่เห็นบอกเราละเอียดอย่างนี้ มันให้เรารับคำสั่งอย่างเดียวไม่ต้องถาม แต่ทีกับไอ้พวกชาวบ้านหน้าตาเซ่อซ่าทำไมมันบอกเขาหมดวะ” “นั่นสิ สงสัยผีจะเข้า ฟังมันพูดราวกับรายงานผู้บังคับบัญชา” ชดและคนอื่นในทีมต่างนิ่งฟังสิ่งที่ชายผิวดำพูดเหมือนถูกสะกดจิต “...ผมได้รับคำสั่งให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ขัดขวางปฏิบัติการครั้งนี้ พวกเราต้องคุ้มกันซากยานอวกาศอย่างเข้มแข็ง จากนั้นจะมีเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้บรรทุกสัมภาระหนักมารับยานนั้นไปส่งยังเครื่องบินบี 52 ซึ่งรอรับอยู่ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ แร่ธาตุที่ยานอวกาศลำนี้ขุดมาจากดาวอังคารจะถูกนำเข้าห้องทดลองอย่างเร่งด่วน เพื่อผสมกับสารอื่นๆ ตามสูตร หลังจากนั้นระเบิดปรมาณูยุคใหม่จะถูกคิดค้นขึ้น หากใครเป็นเจ้าของอาวุธนี้ก็จะได้เปรียบทางการค้าและการเมืองต่อประเทศทั้งหลาย...” ทอมหยุดพูดและถอนหายใน นัยน์ตาของเขาเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน เขาพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดออกมาอย่างหมดสิ้น “...ผมฝึกการทหารมาตั้งแต่ยังอายุน้อยเพื่อทำงานให้ประเทศที่รัก โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันเขตแดนและชีวิตพลเมือง ผมไม่มีความต้องการจะรุกรานหรือออกไปรบที่ประเทศอื่น แต่ที่เป็นไปปัจจุบันมันไม่ใช่เช่นนี้ พวกผมถูกใช้ให้ไปปล้นตีชิงทรัพยากรจากดินแดนยากจนมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อหล่อเลี้ยงประชากรที่มุ่งแต่การบริโภคเป็นสำคัญ ภารกิจครั้งนี้หากผมทำสำเร็จสามารถกู้ยานอวกาศได้ ผมคงต้องเสียใจหากมันจะถูกใช้ไปเพื่อเป็นเครื่องมือก่อสงคราม...แต่ในเมื่อผมเป็นทหาร ผมต้องทำตามคำสั่ง พระเจ้าโปรดช่วยให้ผมหาทางออกได้ทีเถอะ” เมื่อทอมพูดจบและยังยืนตาลอยอยู่ ญิผ่าจึงกระแอมเบาๆ ชายผิวดำสะบัดหน้าและมองไปรอบๆ พร้อมกับทำท่านึกว่าเขากำลังพูดกับบรรดาผู้อาวุโสด้วยเรื่องใด “เอ่อ ขอบคุณมากนะครับที่เอื้อเฟื้อเรื่องที่พัก พวกผมไม่รบกวนอะไรมากนอกจากสถานที่ตั้งเต็นท์อย่างที่บอกไปแล้ว อีกสักครู่รถของพวกผมคงมา”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม