บทที่ 8 จบภารกิจ
ชดมองนาฬิกา สองทุ่มกว่าแล้ว เทียนที่จุดวางไว้ริมระเบียงบ้านสั่นไหวเมื่อลมพัด
“พวกทหารที่ไปสำรวจหุบเขาเป็นอย่างไรกันบ้างนะ” สุจาพูดขึ้นขณะแหงนหน้าดูดวงดาวที่พราวเต็มฟ้า
“ป่านนี้คงรู้แล้วว่ายานลำนั้นมันถูกย้ายออกไปจากหลุม” ชดว่า
“พวกเขาคงจะส่งข่าวไปบอกหน่วยเหนือด้วยเครื่องมือสื่อสารให้ส่งทหารมาทั้งกองทัพและทำการสืบหาต้นตอนะคะ” อินญาเดาด้วยท่าทีครุ่นคิดผสมกังวล
“และจากนั้นหมู่บ้านนี้คงอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข เพราะจะมีคนเข้ามาสอบสวนและคุกคามหลังจากพวกเรากลับไปแล้ว” อะผ่าพูดต่อ
ทุกคนถอนหายใจเมื่อนึกถึงชาวบ้านริมธารที่ไม่สังคมกับบุคคลภายนอก พวกเขาทำไร่ ทำสวน ปลูกข้าว ปลูกผัก หาอาหาร ทอผ้า บำรุงร่างกายด้วยสมุนไพร และอิงอาศัยธรรมชาติอันเป็นวิถีชีวิตที่สงบร่มเย็น ไม่มีสิ่งเกินความจำเป็นในชีวิต
“เราคงต้องรอดูท่าทีของทหารกลุ่มนี้ก่อน ว่าเมื่อพวกเขารู้เรื่องแล้วจะเอาอย่างไรต่อ จะล็อกตัวพวกเราไว้เป็นผู้ต้องสงสัยหรือจะจับตัวผู้อาวุโสไปสอบสวน แต่ไม่ว่าอย่างไรเราจะไม่ทิ้งชาวบ้านให้รับเคราะห์” ชดพูดด้วยเสียงจริงจัง
“ดึกๆพวกนั้นคงกลับมาที่รถจี๊ป เห็นว่าจะกางเต็นท์นอนกันแถวศาลานั่น” สุจาทำหน้าคว่ำเมื่อนึกถึงความหยาบคายของชายไทยสองคนผู้เป็นลูกทีมของทอม
“ดีแล้วค่ะที่พวกเขาจะไม่เข้ามาจุ้นจ้านในหมู่บ้าน เพราะไม่เช่นนั้นอาจเจอดี” ฤดีพูด
ครู่หนึ่งมีเสียงเดินขึ้นบันไดมา ทุกคนหันไปเห็นบรรดาผู้อาวุโสทั้งแปดครบพร้อมทั้งเจิ่วมะ หน่าเหงอะ พิมะ บูแซะ คะมาทั้งสอง บะจี และญิผ่า
“เชิญครับ” ชดกล่าว
อะผ่าลุกขึ้นยืนพร้อมเชน ฤดีและอินญากุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้เตี้ยไปทางด้านข้างเพื่อให้ทุกคนได้นั่งหันหน้าเข้าหากัน ระเบียงอันกว้างขวางยังมีที่ว่างอยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งชด อะผ่า และเชนนัดกันว่าคืนนี้จะนอนดูดาวกันบริเวณนั้น
“เห็นพวกหนุ่มสาวบอกว่าพวกท่านเป็นคนทำอาหารมื้อค่ำที่ผ่านมา” เจิ่วมะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ซ้อมมือไว้เผื่อมารับจ้างเป็นพ่อครัวที่หมู่บ้านนี้วันหน้าครับ” ชดกล่าวทีเล่นทีจริง
“เราทุกคนอยากตอบแทนน้ำใจพวกท่านค่ะ” สุจาตอบ
“พวกดิฉันได้กินอาหารอย่างสบายมาแล้วตั้งแต่มื้อค่ำวานจนมาถึงมื้อเช้าและมื้อกลางวัน มื้อนี้จึงขอช่วยทำบ้างเพื่อผ่อนแรงสมาชิกหมู่บ้านที่เหน็ดเหนื่อยกันมาตั้งแต่เช้ามืด” ฤดีตอบ
“จะต้องเกรงใจอะไร พวกท่านมา ข้าก็ไม่เหนื่อยต้องตีมีดตั้งแต่หัวรุ่งอย่างที่ทำตลอดมาหนึ่งเดือน แถมคะมาคู่นี้ใกล้จะแย่งตำแหน่งของข้าไปแล้ว ฝีมือสูบลมหลอมเหล็กของเขาไม่เป็นรองใคร ฮ่าๆๆ” บะจีพูดด้วยสีหน้าเบิกบาน คะมาทั้งสองหัวเราะกั้ก ๆ
“อีกทั้งเราได้ฟังการพูดภาษาอังกฤษของพวกท่านจนชาวบ้านพูดได้แทบทุกคน” บูแซะพูดด้วยสำเนียงชัดเจน
“พรุ่งนี้แล้วที่พวกท่านจะเดินทางกลับไป” พิมะพูด “พวกเราคงอาลัยคิดถึงมิตรภาพที่หาได้ยากยิ่งในโลกทุกวันนี้”
“พวกผมคงต้องคอยดูเหตุการณ์ในคืนนี้ ว่าพวกทหารที่เข้ามาเขาจะว่าอย่างไรเมื่อรู้ว่ายานอวกาศหายจากหลุม เขาอาจจับกุมพวกเราเข้าซังเตฐานทำลายทรัพย์สินอันมีค่าของประเทศเขา” ชดตอบ
“อย่าห่วงไปเลย เรื่องนี้” พิมะพูดสั้นๆอย่างมั่นใจ “เราจะจัดการแก้ปัญหาให้พวกท่านเอง”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นญิผ่าเริ่มเอ่ยปากถึงธุระสำคัญที่เป็นจุดมุ่งหมายการมาเยือนของฤดีและทุกคน
“พวกท่านตั้งเป้าหมายไว้ก่อนเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ว่าต้องการพบข้าเพื่อขอยาไปทำการรักษาผู้ที่กำลังรับทุกข์จากโรคระบาด”
ญิผ่านิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“ข้าจะบอกความจริงให้ว่าพวกท่านมีตัวยาสำคัญนี้แล้ว” นางมองฤดีและผินหน้าไปทางอะผ่า “หนึ่งในพวกท่านคือผู้ที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนที่กำลังรอความตาย”
“หมายความว่าอย่างไรคะ” ฤดีถามพลางมองอะผ่าอย่างสงสัย
“เลือดของชายหนุ่มผู้นี้สามารถช่วยชีวิตผู้เจ็บป่วยจากโรคที่กำลังคุกคามชาวโลก” ญิผ่าตอบ
“หา!” เป็นเสียงอุทานดังขึ้นจากสุจา ส่วนอินญา เชน ชด ทำหน้าประหลาดใจ ตัวอะผ่าเองนั่งอ้าปากค้างพูดสิ่งใดไม่ออก
“เป็นไปได้อย่างไรคะ” สุจาถาม
ผู้อาวุโสหญิงมองอะผ่าครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาพิมะและกล่าวขออนุญาตเล่าเรื่องราวต่อไปนี้ด้วยตนเอง พิมะค้อมศีรษะให้นางและยิ้มให้อะผ่า นางจึงพูดต่อไป
“ข้าจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้วให้พวกท่านฟัง เพื่อพวกท่านจะได้รู้ว่าเพราะเหตุใดเลือดของชายหนุ่มชาวอาข่าผู้นี้จึงเป็นตัวยาสำคัญที่พวกท่านจะนำไปใช้รักษาโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นได้”
อะผ่าขยับท่านั่งให้เหมาะเพื่อเตรียมตัวฟัง
“...เมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว หมู่บ้านผาแดงเกิดโรคระบาดร้ายแรง อันเกิดจากชาวบ้านผู้หนึ่งไปรับจ้างทำงานที่ต่างประเทศ เมื่อเขากลับมาเยี่ยมครอบครัว เขาได้นำโรคร้ายนี้ติดมาด้วย เขามีอาการทุรนทุราย โลหิตซึมออกตามขุมขน หายใจติดขัด พูดจาไม่รู้เรื่อง และในที่สุดเลือดก็ทะลักออกมาทางทวารต่างๆ จนหมดลมหายใจไป ญาติพี่น้องที่มาเฝ้าดูแลต่างติดโรคร้ายแพร่กระจายไปทุกครัวเรือน มีคนตายทุกวันจนไม่อาจทำพิธีศพกันได้ทุกราย พิมะของหมู่บ้านเราเมื่อทราบข่าวก็รีบไปยังหมู่บ้านนั้นเพื่อช่วยสวดศพ”
ญิผ่ามองพิมะราวกับกำลังดึงความทรงจำของเขาออกมา
“เขาไปนอนค้างที่หมู่บ้านผาแดงเป็นเวลาสองอาทิตย์และช่วยทำพิธีให้แก่ครอบครัวต่างๆ ที่สูญเสียบุคคลในบ้านไปอย่างน่าเวทนา จนถึงบ้านหนึ่งที่พ่อแม่ติดโรคระบาดตายทั้งคู่ ทารกน้อยซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กกำลังใกล้ตายจากเชื้อร้ายที่ส่งผ่านทางน้ำนมของผู้เป็นมารดา ญาติของเด็กคนนี้นำตัวเขาใส่กระด้งและนำไปวางไว้ที่ชานบ้านเพื่อรอเวลาสุดท้าย ยามดึกเมื่อพักจากการสวดศพ ผู้อาวุโสพิมะเดินออกมานอกชานเห็นเด็กน้อยนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวใกล้ขาดใจ เขาเกิดสังเวชจึงแบ่งยาเท่าปลายเล็บหยอดใส่ปากทารกผู้นั้น ยาชนิดนี้เป็นเลือดแห้งของข้าที่เขาพกติดตัวไว้เพื่อแก้พิษจากสัตว์ร้าย วันรุ่งขึ้นเด็กน้อยรอดชีวิตโดยที่พิมะไม่เคยเอ่ยปากเล่าให้ผู้ใดฟังว่าเป็นเพราะเขาหยอดยาให้
“เด็กผู้นั้นเติบโตขึ้นเป็นเด็กแข็งแรงไม่เคยป่วยไข้ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเขาลงจากดอยและไปเรียนหนังสือในเมือง พิมะของเราได้เจอกับเขาครั้งหนึ่งเมื่อสิบปีที่แล้วเมื่อเขาขึ้นมาทำการศึกษาวัฒนธรรมดั้งเดิมที่หมู่บ้านของตน โดยที่ก่อนหน้านั้นพิมะผู้ชราแห่งหมู่บ้านผาแดงถูกงูพิษกัด พิมะของเรามองเห็นจากจิตของเขาและตั้งใจนำยาไปรักษาแต่ไม่ทันกาล เขาจึงบอกเจ้าบ้านว่าบังเอิญผ่านมาเพื่อไม่ให้ผู้ใดซักถามว่าเหตุใดจึงรู้ว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้น”
ญิผ่าหยุดเล่าและมองไปที่พิมะ
“ข้าไม่เคยบอกผู้ใดว่ามองเห็นกาลล่วงหน้า เพราะเกรงว่าผู้คนจะมารุมขอหวย” พิมะเอ่ยยิ้มๆ
“แหม ผมกำลังจะถามพอดีว่างวดนี้ออกเลขอะไร จะได้เอาเงินไปซื้อรถคันใหม่ใช้ขับช่วยสองขา” ชดตอบแล้วหัวเราะฮ่าๆ ญิผ่าเมื่อได้ฟังจึงเอ่ยว่า
“เรื่องรถของท่านที่เสียหาย เราเอาไว้พูดกันในตอนท้าย ข้าจะชดเชยให้ท่านเอง ช่วงนี้ขอให้เราเสร็จธุระเรื่องตัวยาสำคัญก่อนนะ ท่านหัวหน้าคณะ” แล้วญิผ่าก็เล่าต่อจากที่ค้างไว้
“จากนั้นพิมะของเราได้ช่วยสวดศพผู้ล่วงลับเพื่อเรียกวิญญาณให้กลับสู่เส้นทางที่จะไปยังภพใหม่ ในขณะทำพิธีเขามองเห็นเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเขาเคยช่วยชีวิตไว้เมื่อครั้งเป็นทารก สำหรับผู้ที่เคยได้รับเลือดของข้าแล้ว พวกเขามีคลื่นสีขาวรอบกายซึ่งพวกท่านไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า แต่ผู้อาวุโสบางคนสามารถมองเห็นได้ในทันที พิมะจึงแต่งบทสวดท่อนหนึ่งร่ายออกไปเพื่อให้เด็กหนุ่มผู้นั้นจดจำไว้สำหรับนำไปศึกษาในภายหลัง
“บทสวดนั้นเองที่ได้นำทุกท่านมาที่หมู่บ้านเราในคราวนี้และยังนำทายาทของโวไวดามาด้วย ทำให้ข้าได้มีโอกาสคืนครึ่งของหัวใจหินไม้แก่ผู้เป็นสายเลือดของโคเชน”
ญิผ่ามองไปที่เชน เค้าหน้าและรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลผู้นี้คือภาพของโคเชนอย่างแท้จริง นางถอนหายใจเมื่อนึกถึงชายผู้นางเคยตามหาแต่ไม่มีโอกาสได้พบ จากนั้นจึงเล่าต่อไปว่า
“ผู้รับเลือดของข้าไปส่วนใหญ่มีสุขภาพที่ดี นอกเสียจากว่าพวกเขาทำลายตนเองด้วยการบริโภคสารเสพติดที่เป็นพิษ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลายที่ร่างกายไม่ทนต่ออาวุธและอุบัติเหตุร้ายแรง เด็กหนุ่มผู้นี้ดูแลจิตใจและร่างกายอย่างดี คลื่นสีขาวของเขาแจ่มใส” ญิผ่ากล่าวพลางยิ้มให้อะผ่าผู้นั่งอึ้งกับข้อมูลที่ได้รับฟัง
“ท่านผู้รอดชีวิต มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกกล่าว ซึ่งอาจทำให้ท่านไม่สบายใจ” นางพูดกับอะผ่าโดยตรง
“ท่านคงได้เห็นสมาชิกหนุ่มสาวทั้งแปดสิบคนของหมู่บ้านนี้แล้ว หากท่านไม่รู้ถึงประวัติพวกเขาตามที่พวกเราเล่าบอก ท่านคงเข้าใจว่าพวกเขาอยู่ในวัยเดียวกับท่าน” นางเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ
“ท่านเองก็จะต้องเป็นเหมือนพวกเขาที่มีอายุยืนยาวหลายร้อยปี ซึ่งสำหรับท่านช่างเป็นเรื่องน่าเห็นใจ ชีวิตของคนสมัยใหม่ที่อยู่กับสิ่งเร้าและความต้องการด้านวัตถุและอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะร่างกายของท่านยังคงที่ อีกทั้งความรู้สึกนึกคิดไม่อาจตามทันคนรุ่นหลัง ท่านจะเกิดความทุกข์ขึ้นในใจที่ยิ่งอยู่นานไปท่านยิ่งไม่มีเพื่อน และในที่สุดท่านอาจปลิดชีวิตตนเอง
“แต่สำหรับชาวหมู่บ้านริมธารทั้งแปดสิบคนนี้พวกเขามีเพื่อนผู้ร่วมชีวิต ต่างอยู่ด้วยกันในกรอบประเพณีและธรรมเนียมที่พวกเขาธำรงรักษาไว้ พวกเขารู้จักประวัติความเป็นมาของตนและรู้ว่าอนาคตจะไปสิ้นสุดที่ไหนและอย่างไร ความรู้สึกมั่นคงเกิดขึ้นในจิตใจที่สงบร่มเย็น แต่ละวันพวกเขาดำเนินชีวิตไปตามวิถีแห่งธรรมชาติอย่างเหมาะสม ดังนั้นการมีชีวิตยืนยาวหลายร้อยปีจึงไม่เกิดความทรมาน”
อะผ่านั่งนิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ใช่ว่าเขาจะเชื่อทุกสิ่งที่ญิผ่าบอกเพราะมันไม่มีข้อพิสูจน์ ใจหนึ่งเขาคิดว่าหนุ่มสาวที่เขาพบในหมู่บ้านนี้อาจเป็นคนรุ่นปัจจุบันที่มาอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน อีกทั้งทุกสิ่งอย่างที่เขาได้ฟังบรรดาผู้อาวุโสเล่าเรื่องราวแห่งอดีตกาลนั้นราวกับนิยายที่เสกสรรปั้นแต่งหลอกคนอ่าน
อะผ่าครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นและหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาประสบด้วยตาตนเองตั้งแต่ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยที่แปลงร่างจากพังพอนมาเป็นมนุษย์เสียงแหลมชอบเล่นสนุกแต่มีน้ำใจ นอกจากนั้นเขายังได้พบสาวน้อยร่างป้อมนามจิมุ่ยและจิเม้าว์ ซึ่งแท้แล้วคือช้างดึกดำบรรพ์พี่น้อง อีกทั้งสะดือลำธารที่เปิดปากอ้าแล้วดูดยานอวกาศให้หายลงไปในชั่วพริบตา
ด้วยสิ่งที่เห็นและสิ่งที่เล่าล้วนแล้วแต่เหลือเชื่อ อะผ่าคิดด้วยเหตุผลของมนุษย์ปุถุชนว่าขนาดช้างและพังพอนยังพูดได้ นับประสาอะไรกับเรื่องความยืนยาวของอายุที่อาจผิดปกติจากคนทั่วไป แต่ไม่เหนือกว่าสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างแน่นอน เมื่อเขาคิดได้ดังนี้เขาก็พร้อมรับฟังในสิ่งที่ญิผ่าจะกล่าวต่อ
“ต่อไปข้าจะบอกถึงคุณสมบัติเลือดของท่านที่สามารถนำไปรักษาโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในเวลานี้ ท่านผู้รอดชีวิต เมื่อครั้งท่านยังเป็นทารก ท่านเองก็เจ็บป่วยใกล้ตายด้วยโรคเดียวกันนี้ จนเมื่อผู้อาวุโสพิมะหยอดยาใส่ปากให้ เลือดของข้าได้แฝงฝังอยู่ในทุกอณูของร่างกายท่านในเวลานี้และมันสามารถต่อชีวิตให้แก่ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเดียวกัน โดยเลือดหนึ่งหยดของท่านช่วยได้หนึ่งชีวิต จะใช้วิธีหยอดหรือผสมยาฉีดเข้าร่างกายด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ก็ไม่เป็นปัญหา”
“ง่ายอย่างนั้นเลยหรือครับ” อะผ่าถามอย่างแปลกใจ ญิผ่ายิ้มแล้วพยักหน้า
“ความจริงเลือดของข้าก็สามารถช่วยผู้เจ็บป่วยได้ทุกคน แต่พวกเขาจะต้องมีชีวิตยืนยาวไปอีกหลายศตวรรษกว่าจะสิ้นอายุขัยอย่างเช่นชาวบ้านของหมู่บ้านนี้ การมีอายุยืนยาวในสังคมแบบของท่านนั้นนับว่าเป็นคราวเคราะห์ ข้าไม่ประสงค์จะให้พวกเขาต้องทนทุกข์กับชีวิตที่ไร้ความหมายยาวนานในโลกสมัยใหม่ ดังนั้นข้าจึงแนะนำเฉพาะเลือดของท่านผู้รอดชีวิต เพราะผู้ที่ได้รับการรักษาจะมีชีวิตยืนยาวตามอายุขัยปกติ”
“ช่างน่าประหลาดใจมากครับ ผมไม่เคยรู้เลยว่าเลือดของผมสามารถนำไปรักษาโรคได้” อะผ่าพูด
“ก็เฉพาะโรคที่ท่านเคยเป็นเมื่อครั้งวัยเด็กเท่านั้น” ญิผ่าย้ำ
“และหากบางคนได้รับเกินหนึ่งหยดล่ะครับ จะเกิดอะไรขึ้น” ชดสนใจอยากรู้
“ก็แค่รักษาหาย ไม่เกิดผลมากกว่านั้น” ญิผ่าตอบ
“ถ้าเลือดของอะผ่าสามารถใช้แทนยาได้ เราต้องดูแลเขาให้ดีๆ อย่าให้พบอุบัติเหตุหรือวิ่งหนีหายไปนะคะ” สุจาพูด
“ผมไม่หนีหายไปไหนหรอกครับอาโฮ เกรงแต่ว่าเลือดผมจะไม่พอรักษาคนป่วยน่ะสิ เพราะมีคนที่ติดโรค เฮมาลอยด์ หลายล้านคนแล้วในปัจจุบัน” อะผ่าหันไปพูดกับสุจา
“อย่ากังวลกับเรื่องนั้น” ญิผ่าได้ยินนางจึงแทรกบอก “ร่างกายของท่านจะสามารถผลิตเลือดขึ้นมาทดแทนได้ทันทีที่มันหลั่งออกไป”
ทุกคนต่างมองอะผ่าด้วยความแปลกใจ
“ขอโทษเถอะนะคะ ดิฉันขอถามท่านสักนิด เลือดแห้งของท่านที่มอบให้พิมะติดตัวยามเดินทางนั้นมีลักษณะอย่างไร ดิฉันอยากเห็นเพื่อประดับความรู้” ฤดีถาม
ญิผ่าพยักหน้าแล้วหันไปมองพิมะผู้ควานมือค้นหาบางสิ่งจากย่ามใบเล็กที่สะพายมา เขาหยิบกลักไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วก้อยส่งให้ฤดี เธอรับมาแล้วเปิดฝา สิ่งที่เห็นบรรจุอยู่ภายในนั้นเป็นเกล็ดสีขาวส่งประกายเหมือนผลึก
“นั่นคือยางไม้แห้งซึ่งเป็นเลือดของข้า ต่างชนิดกับที่โคเชนรองดื่มเมื่อแปดพันปีที่แล้ว ที่โคเชนดื่มนั้นเป็นยางไม้สดซึ่งกลั่นออกมาจากแก่นหัวใจขณะที่ร่างกายของข้าเป็นไม้ยืนต้นในเขตหนาวจัดแห่งไซบีเรีย เป็นยางไม้บริสุทธิ์ ซึ่งทำให้โคเชนสามารถมีชีวิตอยู่ได้เท่ากับข้าในวันนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาถูกเด็ดชีพด้วยลูกธนูเมื่อมีอายุได้เพียงสามพันปี”
ญิผ่ากล่าว
“ส่วนที่เห็นในกลักนี้เป็นเลือดที่กลั่นออกมาจากหัวใจของข้าเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว ข้าสกัดมันให้เป็นเกล็ดแบ่งให้บรรดาผู้อาวุโสพกติดตัวไว้เพื่อช่วยเหลือตนเองยามถูกพิษจากสัตว์ร้าย ท่านเหล่านี้มีเมตตาชุบชีวิตสัตว์บางชนิดให้อยู่เป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเรา ทั้งนกแก้ว เสือปลา แมวป่า ชะนีแก้มขาว นอกจากนั้นยังมีเลียงผาที่ท่านเห็นพวกเขาในงานเลี้ยงอาหารเมื่อคืนนี้”
เมื่อฤดีดูแล้วก็ส่งต่อให้ชด สุจา เชน อะผ่า และอินญาได้เห็น จากนั้นจึงส่งคืนให้แก่พิมะ
“ตัวยาส่วนที่เหลืออยู่ขอพวกท่านเก็บรักษาให้จงดี เพราะครั้งต่อไปที่หัวใจข้าจะกลั่นโลหิตอันเป็นยาอายุวัฒนะครั้งสุดท้ายคืออีกสามปีข้างหน้า แต่เวลานั้นพวกท่านและข้าคงแยกห่างจากกันแล้ว” ญิผ่าเอ่ยอย่างอ่อนน้อมกับบรรดาผู้อาวุโส จากนั้นนางจึงหันไปหาชดและพูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาซักถามในสิ่งที่นางเพิ่งกล่าวไป
“ท่านหัวหน้าคณะผู้เสียสละ ท่านได้นำพาหนะอันมีราคาของท่านพุ่งเข้าชนซากยานอันตรายลำนั้นจนมันตกลงในบ่อน้ำวนของลำธารใหญ่ รถของท่านหมดสภาพที่จะใช้การได้อีก มิหนำซ้ำช้างของเรายังสะดุดทำให้มันจมน้ำไปต่อหน้า แต่ท่านยังยิ้มแย้มแจ่มใสโดยไม่เอาสิ่งที่ท่านสูญเสียมาครุ่นคิดให้เศร้าหมอง พวกเรานับถือในน้ำใจของท่านยิ่งนัก”
ญิผ่ากล่าวแล้วล้วงมือลงไปในย่ามที่นางสะพายติดตัว นางหยิบกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาส่งให้ชด
“สิ่งของในกล่องนี้ข้าได้รับพระราชทานเป็นของขวัญจากมหาราชาแห่งดินแดนหิมาลัยเมื่อครั้งข้าทำการรักษามเหสีของพระองค์จนหายประชวร ข้าขอมอบให้ท่านเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ”
ชดยื่นมือไปรับและเปิดฝากล่องนั้น เขามีสีหน้าตกตะลึง ฤดี สุจา อินญา และอะผ่าต่างชะโงกตัวเข้าไปดูอย่างยอมเสียมารยาท
“เพชรเม็ดโตเท่านิ้วโป้ง เกิดมาไม่เคยเห็น” เสียงสุจาร้องแหลม
“แถมยังมีมรกต บุษราคัม และทับทิมสีต่างๆ ล้วนแต่น้ำงามๆทั้งนั้นเลยค่ะ” อินญาร้องอย่างตื่นเต้น
“สวยเหลือเกิน” ฤดีอุทาน
เมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้นั้น ชดทำท่าคิดและบอกญิผ่าว่า
“ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ มันมีราคาเกินกว่ารถของผมมากมาย อัญมณีแต่ละเม็ดราคาน่าจะมากกว่าเพชรมหามงกุฎของพระราชินีชาวตะวันตกที่ส่งกองเรือไปปล้นทรัพย์จากประเทศอื่นมาครอบครอง”
ชดปิดฝากล่องและส่งคืนให้ญิผ่าด้วยสีหน้าจริงจัง แต่นางยกมือห้ามไว้
“ท่านหัวหน้าคณะ กรุณารับไว้เถอะนะ ข้าขอร้อง สิ่งของในกล่องนี้นับว่ามีจำนวนน้อยนิดเทียบกับที่ข้าสละออกไปตามเส้นทางจนหมดก่อนเข้าสู่แคว้นกะฉิ่นเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว
“ข้าได้รับอัญมณีและเครื่องประดับอันประมาณราคามิได้จากบรรดามหาราชาและกษัตริย์หลายพระองค์ขณะที่เดินทางอยู่ภาคเหนือของชมพูทวีปเข้าสู่ดินแดนหิมาลัย ข้าปรุงยารักษาบรรดาพระราชวงศ์ของอาณาจักรเหล่านั้นและได้รับของมีค่าเป็นรางวัล เมื่อเดินทางออกชนบทข้าได้แจกจ่ายให้กับคนยากไร้ตามเส้นทางกันดารที่พวกเราผ่าน ข้าเก็บไว้เพียงกำมือเดียวเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงความดีของผู้มอบให้ แต่เหตุการณ์เมื่อเที่ยงวันที่ท่านยอมสละพาหนะของท่านโดยไม่เสียดาย ทำให้ข้าต้องการมอบสิ่งนี้เป็นของขวัญให้ท่านนำไปใช้ประโยชน์ ขอท่านอย่าได้ปฏิเสธ”
ชดถอนหายใจและรับกล่องบรรจุอัญมณีล้ำค่าคืนมาพร้อมกับกล่าวว่า
“เมื่อท่านเต็มใจมอบให้ ผมก็ขอรับไว้ด้วยความขอบคุณ” เขาตอบและสอดกล่องนั้นลงในกระเป๋าเสื้อด้านในและรูดซิบเก็บไว้อย่างมิดชิด
“เม็ดไหนไม่ชอบก็แอบเอามาโยนให้หนูก็ได้นะคะพี่ชดขา” สุจากระเซ้า
“มีเรื่องที่เราต้องแจ้งบอกท่านอีกเรื่องหนึ่ง” เจิ่วมะเริ่มพูดเมื่อคณะผู้มาเยือนเริ่มหายตื่นเต้นกับอัญมณีที่ชดได้รับ
“พวกเราจะอพยพออกจากหมู่บ้านริมธารในอีกสามวันข้างหน้า อันเนื่องมาจากเมื่อคนแปลกหน้าค้นพบสถานที่แห่งนี้แล้ว พวกเขาจะนำพาความเปลี่ยนแปลงในทางลบซึ่งเป็นสิ่งรบกวนวิถีชีวิตดั้งเดิมอันสงบของพวกเรา จริงๆ ก็เป็นการประจวบเหมาะกับแผนการเดิม ซึ่งตอนที่ประชุมกันครั้งแรกพวกเราตั้งใจจะย้ายเมื่อหมดฤดูฝน เพราะการเดินทางในถ้ำเราอาจเจอน้ำหลากโดยไม่คาดคิด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้เราจึงจำเป็นต้องร่นมาเป็นต้นฤดู”
“คนแปลกหน้าที่จะนำความเปลี่ยนแปลงเข้ามา ท่านหมายถึงทหารกลุ่มที่ว่าใช่ไหมคะ” ฤดีถาม
“ข้าหมายถึงคนทั่วไปที่รับรู้เรื่องราวของหมู่บ้านอันสวยงามแวดล้อมด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ซึ่งทหารกลุ่มนี้จะนำไปเล่าบอก แล้วจะมีนายทุนเข้ามาบุกเบิกทำลายป่าไม้เป็นบริเวณกว้างเพื่อทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหากำไร พวกเขาจะทำการโฆษณาชักชวนให้คนทั้งหลายพากันมาชมทุ่งลวงตา ภูผาสีดำ น้ำตกใหญ่ที่มีถ้ำลอดยาวสองกิโลเมตรถึงริมลำธาร ประตูหมู่บ้านไม้ซุงจะมีคนมายืนเรียงแถวถ่ายรูปกันทุกวัน หุบเขาที่ยานอวกาศมาตกก็จะถูกพัฒนาเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ด้านสิ่งประดิษฐ์ก้าวหน้า อีกทั้งพวกเขาจะก่อสร้างสวนสนุกทำรถไฟเหินฟ้าจากปากถ้ำใหญ่กระโจนข้ามลำธาร ซึ่งเป็นการรบกวนสัตว์ป่าและต้นไม้ นอกจากนั้นพวกเขาจะค้นพบความลับของธรรมชาติเรื่องสายน้ำที่แห้งขอดทุกเที่ยงวัน ซึ่งทำให้สถานที่นี้มีชื่อเสียง มีคนจากทุกทวีปมาเฝ้าชมปรากฏการณ์”
“พวกเขาจะค้นพบไหมคะว่ายานอวกาศถูกน้ำวนดูดลงไป” อินญาถาม
“สิ่งที่ถูกน้ำวนหรือสะดือลำธารดูดลงไปนั้นฝังตัวอยู่ใจกลางโลก มนุษย์ทั่วไปไม่มีโอกาสค้นพบ” ญิผ่าตอบ
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นเราก็ยังปลอดภัยจากระเบิดนิวเคลียร์ที่จะคิดค้นขึ้นใหม่นะคะ” สุจาออกความเห็น
“แต่มนุษย์ก็ไม่เคยปลอดภัยจากความโลภ” ชดตอบคำสุจา
“ด้วยเหตุนี้เราจึงจะต้องอพยพกันก่อนกำหนดเดิมที่วางไว้หนึ่งฤดู” บะจีบอกชดและคณะ บูแซะกล่าวเสริมว่า
“หากเราไม่ย้ายไปในสามวันนี้ พวกทหารจะสืบจนทราบว่าเรามีช้างดึกดำบรรพ์เป็นสมาชิก อีกทั้งมีเพื่อนสัตว์ที่สามารถแปลงร่างและพูดภาษาคนได้ พวกเขาจะตีกรอบล้อมจับเพื่อนผู้กำลังพัฒนาตนของเราไว้จนเสียอิสรภาพและต้องกลายเป็นทาสของคนสมัยใหม่ ดังนั้นพวกเราจึงตกลงใจจะโยกย้ายกลับถิ่นฐานเดิม การอพยพครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอายุขัยของเราทุกคนจะสิ้นสุดลงในอีกไม่เกินยี่สิบปีข้างหน้า”
เมื่อบูแซะพูดจบเขาหันไปทางญิผ่า นางมองอะผ่าครู่หนึ่งและเอ่ยปากพูดว่า
“ท่านผู้รอดชีวิต ขอให้ท่านดูแลตนเองให้ดี ในสังคมภายนอกมีท่านเพียงผู้เดียวที่มีเลือดข้าอยู่ในกาย พวกเราหวังว่าท่านจะไม่ได้รับอันตรายจากศาสตราวุธและอุบัติเหตุใดๆ แต่ข้าสังหรณ์ใจว่าท่านอาจตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ทำการค้าและเดินผิดทาง ซึ่งไม่ใช่ด้วยความละโมบในสันดานแต่เนื่องด้วยเหตุผลในความเป็นมนุษย์ของท่านที่ตั้งใจจะช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย
“อย่างไรก็ตามข้าขอให้ท่านมั่นคงในแนวทางแห่งการเสียสละ อย่าได้หลงใหลต่อลาภสักการะที่จะมีคนแห่แหนนำมาเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนกับเลือดของท่าน ชีวิตที่มีค่านั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ขอให้ท่านจดจำไว้” ญิผ่าจบคำพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“พรุ่งนี้พวกท่านควรออกเดินทางแต่เช้า” พิมะเอ่ยขึ้น “เพราะจะมีทหารกองใหญ่เข้ามาสมทบกับคนของเขาที่ล่วงหน้ามาแล้ว เจ้านกแก้วส่งข่าวมาว่าเห็นรถหุ้มเกราะหลายคันแล่นขึ้นมาปักหลักบนดอยผาชัน พวกเขาคงจะมาถึงหน้าน้ำตกก่อนเที่ยง แล้วคงหาทางข้ามภูผาดำมายังริมธาร”
“แล้วพวกผมจะกลับออกไปได้หรือครับหากพวกเขามาดักอยู่ที่หน้าน้ำตก” ชดถาม
“ข้าจะชี้ทางให้พวกท่านเข้าสู่ถนนโบราณในถ้ำใต้ดินซึ่งจะสิ้นสุดลงที่เชิงดอยเวียงป่าเป้า ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เป็นเส้นทางที่ปลอดภัย ข้ารับประกัน”
พิมะกล่าว ชดมองหน้าลูกทีม ทุกคนพยักหน้าพร้อมรับสถานการณ์
“ตกลงครับ พรุ่งนี้พวกผมจะเตรียมตัวกันแต่เช้า” ชดตอบ
ก่อนที่ใครจะได้ถามอะไรอีก มีเสียงเอะอะดังมาจากหน้าหมู่บ้าน ทุกคนชะงักและนิ่งฟัง ไม่นานจากนั้นมีแสงไฟฉายส่องกราด แล้วทหารหกคนก็เดินขึ้นบันไดมาบนระเบียงบ้านหลังใหญ่ที่ผู้อาวุโสและผู้มาเยือนประชุมกัน
“ขอโทษที่ผลีผลามขึ้นมายามดึก ผมเห็นแสงเทียนยังสว่างอยู่ก็รู้ว่าพวกท่านยังไม่นอน จึงมาขอแจ้งเหตุ เผื่อท่านจะรู้จักผู้ก่อการร้าย” ทอม หัวหน้าปฏิบัติการเอ่ย
ผู้ที่ตามหลังทอมขึ้นมา คือ ชัย ชาญ แจ็ก โจ้ และจ้อน ทุกคนอยู่ในสภาพอ่อนล้าและมามือเปล่า ไม่มีเป้สนามหรืออาวุธใดๆติดตัว
“เชิญพวกท่านนั่งก่อนแล้วค่อยบอกเล่าว่ามีเรื่องอะไรหรือ”