“ดิฉันเข้าใจแล้วในคำอธิบายของท่าน ขอขอบพระคุณ” ฤดีตอบและถอนหายใจ ภารกิจเบื้องหน้ากำลังรอทุกคนอยู่
“พวกชาวบ้านพากันเข้าป่าตั้งแต่เช้ามืดเพื่อช่วยกันตัดเถาวัลย์ถักเป็นเชือกเส้นหนา พวกเขาคงกำลังกินอาหารเช้าและรอเราอยู่ที่ริมหุบเขา” เจิ่วมะพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
“เรื่องชักลากไม่ต้องห่วงนะคะ หนูชอบออกกำลัง” เสียงน่ารักของจิเม้าว์พูดออกมา “คุณน้าช่วยถ่ายรูปและส่งมาให้หนูดูด้วยนะคะ”
“ชักเอาใหญ่แล้ว เธอไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน ฮึ” จิมุ่ยส่งเสียงถาม
“นั่นสิ ช่างเป็นช้างที่ไม่ตกยุคสมัยจริงๆ” สุจาก้มตัวลงเกาสีข้างจิเม้าว์
“ลุงติ๊เบี่ยเล่าให้ฟังเมื่อคืนนี้ เขาบอกว่าท่านทั้งหกต่างพกสิ่งที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถือ มันพูดได้ ส่องไฟฉายได้ และถ่ายรูปได้ ลุงเขาแอบดูพวกท่านที่นั่งคุยรอบกองไฟหลังการประชุมยุติแล้ว เมื่อสักครู่ตอนที่ผ่านชิงช้าคุณน้าก็เซลฟี่พวกหนูไปแล้ว” จิเม้าว์ตอบพลางส่ายงวงไปมา
“เดี๋ยวเราจะได้เจอผู้เฒ่าติ๊เบี่ยไหมจ๊ะ” สุจาถาม
“ได้เจอแน่ค่ะคุณน้า เขากับบรรดาเพื่อนของเราทั้งพี่นกแก้ว พี่ลิงกัง อาเลียงผา น้าแมวป่า ลุงเสือปลา คุณป้าชะนีแก้มขาวมากันครบ พวกเราจะร่วมแรงร่วมใจกันทำงานจนสำเร็จ” ช้างน้อยตอบ
“เบื้องหน้านั้นคือหุบเขาที่ลูกไฟตก” เสียงเจิ่วมะบอกเสียงดังจากบนหลังจิมุ่ย
“นั่นไง หนุ่มสาวทั้งแปดสิบคนนั่งรอเราอยู่ พวกเขาคงถักเชือกและกินอาหารกันเสร็จแล้ว”
บนริมขอบหุบเขาผู้คนชายหญิงอีกทั้งผู้เฒ่าติ๊เบี่ยกับผองเพื่อนต่างโบกมือให้พวกเขา ภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจปรากฏขึ้นหลังจากช้างทั้งสองปีนขึ้นขอบเนินขึ้นไป
“โอ้ ราบเป็นหน้ากลองเลย” ฤดีอุทาน ส่วนอินญานั้นเกือบตกหลังช้างเพราะชะโงกดู ช้างทั้งสองยืนเคียงกันที่ริมหุบเขาและกำลังย่อตัวลงให้คนทั้งหมดปีนขาหน้าลงมาทีละคน
“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นภาพที่น่ากลัวเช่นนี้”
ชดพูดเมื่อมองเห็นป่าไม้บริเวณกว้างในหุบเขาโค่นล้มยับเยิน เขาก้าวเดินขาถ่างเพราะการนั่งคร่อมหลังช้างตัวใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกชาวบ้านต่างพากันหัวเราะและชี้ให้กันดู
“ผมมองเห็นแล้วว่าจุดที่ลูกไฟตกมันอยู่ที่ไหน” อะผ่าหันหน้าไปที่บริเวณหนึ่งซึ่งมีรอยดินยุบและมีพงหญ้าขึ้นเป็นวงโดยรอบ
“น่าจะใช่” เชนพูดแล้วออกเดิน บรรดาผู้อาวุโสและญิผ่าสาวเท้าตามไปติดๆ พวกชาวบ้านที่ยืนโดยรอบช่วยกันแบกเชือกที่ถักจากเถาวัลย์เส้นหนาตามไปข้างหลัง
“เดี๋ยวผมจะปีนลงไปสำรวจก่อนนะครับ ทุกคนอยู่ที่นี่ก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงผม” เชนตบตลับสีเงินที่เขาแขวนคอไว้ “สิ่งนี้จะช่วยป้องกันผมไว้จากรังสีทุกชนิด”
บะจีเดินตรงมาหาเชน เขาลากเชือกเส้นเล็กยาวติดมือมาแล้วมัดปลายข้างหนึ่งกับเอวของเชนอย่างแน่นหนา “เมื่อท่านลงไปลับสายตาพวกเรา หากเกิดเหตุการณ์คับขันขอให้กระตุกเชือกถี่ๆ เราจะรีบดึงท่านขึ้นมา”
“โทรบอกพวกเราด้วยทุกระยะ” ชดบอก “เอาโทรศัพท์ติดตัวไปหรือเปล่า” เขาถาม
“อ้อ ครับ ผมเกือบลืม” เชนพึมพำพลางล้วงกระเป๋าหยิบชุดหูฟังขึ้นมาเสียบหู
“ชาร์จแบตหรือยังจ๊ะ หนุ่มหล่อ” สุจาถาม
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมเตรียมตัวพร้อมสำหรับภารกิจนี้” เชนตอบด้วยความกระตือรือร้น
“เธอจะได้เป็นฮีโร่แล้วนะ” อินญาเดินเข้าไปกอดเชน “เทคแคร์ ระวังตัวให้มาก”
“ให้ผมลงไปด้วย ผมจะได้มีคนอวยพรอย่างนั้น” อะผ่ามองอินญาแล้วพูดยิ้มๆ เขาเดินเข้าไปโอบบ่าเชน “ผมอยากลงไปช่วยคุณจริงๆ”
“หากไม่มีอันตรายอะไร คุณได้ลงตามไปก่อนคนอื่นแน่ เพราะผมเดาว่าสิ่งที่เราจะพบมันต้องมีขนาดใหญ่มาก ดูจากรอยต้นหญ้าที่ขึ้นปกคลุมเป็นวงขนาดสี่หรือหาเมตรเลยละ
เชนพูดจบก็หันไปโบกมือให้ทุกคนแล้วหันหลังไต่ลงไปในหุบเขาอย่างแคล่วคล่อง ผมเปียที่ถักแน่นของเขาสะบัดไปมา ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ถึงบริเวณที่เห็นดินยุบมีพงหญ้าปกปิดไว้
“มีหลุมลึกประมาณยี่สิบเมตร”
เชนพูดใส่ไมโครโฟนที่เขาต่อสายไปยังเครื่องโทรศัพท์ของอินญาที่เปิดรออยู่ หญิงสาวเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยิน
“เดี๋ยวผมจะลงไป ผู้อาวุโสบะจีช่วยผ่อนเชือกให้ผมด้วยครับ”
บะจีค่อยผ่อนเชือกเส้นยาวทีละน้อยตามระยะการไต่ลงของเชน ไม่นานเสียงของเขาก็ดังออกมาทางลำโพงว่า
“ผมถึงข้างล่างแล้ว หายใจสะดวกไม่มีปัญหา ดูภาพสดพร้อมกันนะครับ”
โทรศัพท์ของอินญาปรากฏภาพสิ่งที่อยู่ในหลุม ขณะเดียวกันเชนเริ่มบรรยายพร้อมบันทึกวิดีโอไปด้วย
“มีวัตถุขนาดใหญ่ฝังอยู่ในดิน ส่วนที่โผล่ให้เห็นเป็นโลหะกลมมนที่ถูกความร้อนเผาจนดำเกรียม มันบิดเบี้ยวเป็นรอยแหว่งเว้า ผมเห็นผนังที่ดูเหมือนประตูทางเข้า มันปิดสนิท ผมลองสัมผัสพื้นผิวของวัตถุนี้ดู มันไม่มีประจุไฟฟ้า ไม่มีกลิ่นแก๊ส มีแต่คลื่นแม่เหล็กที่ร่างกายผมรับไว้จนรู้สึกหนัก ผมไม่แน่ใจว่าส่วนที่ฝังอยู่ในดินนี่ใหญ่ขนาดไหน แต่เราไม่มีทางเข้าไปได้ นอกจากฉุดลากขึ้นไป”
เชนจบคำพูดเขาแต่ยังหันกล้องส่องให้เห็นวัตถุนั้นอย่างรอบทิศ
“งั้นเราต้องรีบแล้ว” ชดเกาศีรษะล้านเลี่ยนก่อนใส่หมวกปิดกันแดด เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือ เก้าโมงครึ่ง
“เราต้องกำจัดสิ่งนั้นให้ได้ภายในเวลาเที่ยงวันก่อนคนแปลกหน้าจะปีนหน้าผาเข้ามา” เจิ่วมะพูด
ช้างน้อยสองตัวที่ฟังอยู่ไม่ห่างพากันเดินเข้ามา
“หนูช่วยได้ไหมคะคุณน้า คุณลุง คุณพี่ทั้งหลาย” จิเม้าว์ส่งเสียงเล็กๆถาม
“ตามนั้นเลย” ชดพูดพลางหันไปขอขมาผู้อาวุโสและญิผ่า “ผมขอโทษที่จะต้องตั้งตนเป็นผู้สั่งงานนะครับ เพื่อความรวดเร็ว”
“ขอบใจมากท่านหัวหน้าคณะ ” เสียงผู้อาวุโสทุกคนร้องบอก
“เอาละ ขอกำลังชาวบ้านผู้ชายยี่สิบคนลงไปกับอะผ่า ลากเอาเชือกเถาวัลย์เส้นหนาไปสมทบกับเชน แล้วช่วยกันผูกสิ่งที่อยู่ในหลุมให้แน่น ปลายเถาวัลย์ด้านนี้คล้องรัดกับร่างจิมุ่ยและจิเม้าว์ไว้อย่าให้หลุดเลื่อน ลงมือเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อจบคำพูดของชด อะผ่าและชายหนุ่มยี่สิบคนแบกเชือกหนาหนักที่ถักด้วยเถาวัลย์สี่เส้นวิ่งลงไปในหุบเขาแล้วตรงรี่ไปที่หลุมใหญ่ ชาวบ้านที่อยู่บนขอบเนินต่างช่วยกันรัดปลายเชือกคล้องตัวจิเม้าว์กับจิมุ่ยไว้อย่างกระชับ
“เรากำลังให้หนุ่มๆ แบกเชือกเถาวัลย์ลงไป คุณกับพวกเขาช่วยกันหามุมมัดให้แน่น เมื่อเสร็จแล้วให้รีบปีนขึ้นด้านบน จากนั้นจิมุ่ยและจิเม้าว์พร้อมด้วยชาวบ้านที่เหลือจะช่วยกันลากฉุดมันขึ้นมา” ชดพูดใส่โทรศัพท์
“รับทราบครับ” เชนตอบรับทันที
สิบนาทีผ่านไปอะผ่าและบรรดาหนุ่มๆ ก็วิ่งมาถึงปากหลุม พวกเขากู่ร้องเตือนเชนก่อนจะโยนปลายเชือกเส้นหนาเท่าข้อมือลงไป แล้วพวกเขาก็โหนตัวตามกันอย่างว่องไว เชนยกโทรศัพท์ส่องถ่ายภาพวกเขาไว้เพื่อให้คนที่อยู่ข้างบนได้เห็น
เมื่อลงไปถึงพื้นล่างต่างช่วยกันผูกมัดเชือกเถาวัลย์กับวัตถุประหลาดนั้นไว้จนแน่นหนา พอเสร็จสรรพก็รีบไต่เชือกกลับขึ้นไป ส่วนเชนใช้วิธีผ่อนแรงโดยให้บะจีดึงตัวเขาขึ้น เขายกกล้องบันทึกภาพไว้ ทุกความเคลื่อนไหวของหนุ่มแนวหน้าอยู่ในสายตาผู้อาวุโสที่ต่างจ้องมองโทรศัพท์ของอินญา
ภายในไม่กี่นาที เชน อะผ่าและชายหนุ่มยี่สิบคนก็กลับขึ้นไปยืนบนปากหลุม พวกเขาโบกมือให้สัญญาณ จากนั้นจิมุ่ย จิเม้าว์และชาวบ้านอีกหกสิบคนรวมทั้งติ๊เบี่ยและเพื่อนพ้องต่างช่วยกันฉุดดึงเต็มแรง
“ฮุย เล ฮุย”
ชดตะโกนให้จังหวะ ชาวบ้านส่งเสียงขานรับ หนุ่มๆที่อยู่ปากหลุมช่วยกันออกแรงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“มันไม่ใช่เบาๆเลยนะคะคุณน้าขา” เสียงจิเม้าว์กัดฟันพูด ช้างน้อยใช้เท้าหลังถีบดินยันไว้ขณะเท้าหน้าพยายามก้าวจิกพื้น
“อย่าลืมถ่ายรูปพวกหนูไว้ด้วย”
จิมุ่ยหอบหายใจและพยักเพยิดไปทางสุจาผู้ยกกล้องโทรศัพท์มือถือส่องไปที่ช้างดึกดำบรรพ์ทั้งสองซึ่งแหงนหน้ามายิ้มนิดหนึ่งก่อนจิมุ่ยจะผายลมฟืดใหญ่ออกมาจนฝุ่นบนพื้นฟุ้งกระจาย
“ว้ายยยย!” สุจากระโดดหนี
“ขออภัยค่ะคุณน้า หนูกลั้นไม่ไหว” จิมุ่ยพูดเขินๆ ก่อนดึงร่างตามจังหวะฮุยเลฮุย
ห้านาทีผ่านไป พวกเขาเดินหน้าไปได้สามก้าว ห้าก้าว สิบก้าว และสิบห้าก้าว
“มันหลุดออกมาจากดินแล้ว” เชนตะโกนบอก เขายื่นกล้องส่องลงไปที่ปากหลุม ภาพที่เห็นทำให้ฤดี ชด อินญา และสุจาอุทาน
“ยานอวกาศ!”
ที่หน้าจอโทรศัพท์ของชดทุกคนมองเห็นยานอวกาศที่ดำเกรียมจากการลุกไหม้หลังจากเสียดสีกับบรรยากาศของโลก
“รูปร่างเหมือนหลอดไฟตกแตก สมน้ำหน้า” สุจาพูด
“นี่เป็นส่วนหัวที่บรรทุกแร่สำคัญ ตัวยานระเบิดจนป่าราบไปแล้ว” ชดบอก
เสียงฮุยเลฮุยของชาวบ้านดังห่างออกไป หมายความว่าสิ่งที่พวกเขาชักลากขึ้นมานั้นใกล้ถึงปากหลุมแล้ว
“ตอนนี้ต้องออกแรงเยอะหน่อยนะน้องสาว” คะมาตะโกนบอกช้างน้อยทั้งสองขณะที่ซากยานกำลังพ้นปากหลุมขึ้นมา
“ยิ้มหน่อยจ้า น้าขอเซลฟี่กับหนูๆหน่อย”
สุจาวิ่งออกไปตั้งท่าถ่ายรูปกับหนุ่มสาวที่กำลังชักลากกันอย่างหน้าดำหน้าแดง
“ฮุย เล ฮุย ไชโย มันขึ้นมาอยู่ปากหลุมแล้ว พักกันครู่หนึ่ง” หน่าเหงอะตะโกนบอก ขณะที่ทุกคนกรูกันวิ่งลงไปดูยานอวกาศรูปร่างเหมือนหลอดไฟตกแตกตามที่สุจาออกความเห็น
“มันหนักมากมายจริงๆเลยค่ะ หนูปวดเมื่อยไปทั้งตัว” จิเม้าว์พูดเสียงออดอ้อน
“เดี๋ยวกลับถึงบ้านน้าจะให้ขนมอร่อยๆ ตกลงไหมจ๊ะ” สุจากอดงวงช้างน้อยไว้อย่างเอาใจ
“หนูก็เมื่อยด้วยค่ะ” จิมุ่ยสอดงวงเข้ามาเกาะปลายงวงจิ๊เม้าว์แล้วแกว่งเป็นชิงช้าให้สุจานั่ง
“ติ๊เบี่ยเองจ้ะ ติ๊เบี่ยมากับจิเม้าว์แล้วก็มากับจิมุ่ย”
เสียงเล็กแหลมดังขึ้นข้างหลังสุจา มนุษย์จำแลงผู้แต่งตัวทะมัดทะแมงยืนยิ้มแฉ่ง เมื่อสุจาหันไปเห็น เขาอ้าแขนอุ้มชายตัวเล็กขึ้นมาหอมแก้มสองข้าง
“ผู้เฒ่าหายไปไหนมา เห็นแว่บไปทางโน้นทางนี้” สุจาถามอย่างดีใจ
“ข้าตื่นตั้งแต่ตีสามแล้วก็ตามพวกบ้านเราเข้าป่ามาตัดเถาวัลย์ เมื่อกี้ข้าแวะไปงีบ ก็เลย เอ่อ ยาวไป แหะๆ” ติ๊เบี่ยตอบพลางหันไปดูหมู่คนที่มุงยานอวกาศ
“เราไปหาพวกเขากันเถอะ เผื่อมีอะไรต้องช่วยกัน” สุจาบอก
ช้างน้อยทั้งสองเกี่ยวงวงพาสุจาและติ๊เบี่ยลงจากขอบหุบเขาไปที่บริเวณปากหลุม
“ใช่ยานลำเดียวกับที่เป็นข่าวว่าสูญหายไปจริงๆด้วย” ชดดูภาพถ่ายยานสำรวจดาวอังคารที่หน้าจอของเขาเทียบกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“หมายเลขเดียวกันค่ะ” ฤดีชี้ให้ดูตัวเลขสีขาวจางๆ ด้านข้างของยานที่เกรียมไหม้
“ข้างในเป็นแร่ธาตุที่จะทำให้โลกนี้วินาศด้วยภัยสงคราม” ชดพูด “เราต้องกำจัดมันทิ้ง” เขาจ้องดูเชนและอะผ่าผู้กำลังปีนขึ้นไปบนตัวถังของยานที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่ารถกระบะ
“ไม่มีทางที่จะเข้าไปข้างในได้เลยครับ” เสียงเชนตะโกนบอกหมู่คนที่ยืนล้อมอยู่ห่างๆ “มันหลอมละลายผนึกเข้าด้วยกัน จนแม้อากาศก็คงผ่านเข้าไปไม่ได้ แร่อันตรายที่พวกเขาขุดมาจากดาวอังคารก็คงจะถูกขังเก็บไว้ในนั้น”
ชดก้มมองนาฬิกา สิบโมงครึ่งแล้ว
“เดิมมันหนัก 74 ตัน แต่เมื่อเสียดสีลุกไหม้และระเบิดออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงหัวยานเท่าที่เห็นนี้น่าจะหนักประมาณสามตัน รวมกับน้ำหนักแร่ที่พวกเขาขุดมาจากดาวอังคารอีกสิบสองตัน รวมเป็นสิบห้าตัน” อะผ่าคำนวณแล้วพูดออกมา
“แต่ก็ยังนับว่าหนักมากเกินไปหากจะโยนมันเข้าไปสู่สะดือลำธาร เพราะลำพังช้างเพศเมียที่ไม่มีงาคงดันไม่ไหว และจะทำให้บาดเจ็บถึงตาย” ฤดีพูดอย่างเป็นห่วงช้างน้อย
“เอาอย่างนี้ พวกเราช่วยกันชักลากไอ้หัวฟักนี้ไปที่ริมธารก่อน ผมรู้วิธีแล้ว ขอให้ไว้ใจผม ลงมือเดี๋ยวนี้” ชดสั่งเสียงเข้ม ไม่มีใครพูดถามอะไร พวกเขาต่างรู้ภารกิจที่สำคัญนี้และมอบความไว้วางใจให้ชดในฐานะหัวหน้าเฉพาะกิจ
หนุ่มสาวสิบคนลากเชือกเถาวัลย์มาคล้องตัวจิมุ่ยและจิเม้าว์อีกครั้งอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งให้สัญญาณ จากนั้นเป็นเสียงให้จังหวะ
“ฮุย เล ฮุย เอ้า ฮุย เล ฮุย”
บรรดาผู้อาวุโสต่างช่วยกันชักลากโดยไม่ออมแรง ผู้มาเยือนไม่ยอมน้อยหน้า ต่างคนต่างฉุดลากอย่างเต็มที่ สุจาเหน็บโทรศัพท์ลงไปที่กระเป๋ากางเกง ถลกแขนเสื้อและดึงสุดแรง
“ฮุย เล ฮุย”
เชนและอะผ่าพร้อมหนุ่มสาวอีกสิบคนอยู่ท้ายขบวน พวกเขาช่วยกันดันซากยานอันหนักอึ้งให้เคลื่อนไป
ภายในเวลาสี่สิบนาทีทั้งหมดก็มาถึงท้ายหมู่บ้าน
“ลากมันไปที่ริมฝั่งใกล้สะดือลำธารที่สุด” ชดสั่ง
ช้างน้อยสองตัวมองหน้ากัน ทั้งคู่พร้อมสละชีวิตเพื่อการนี้
“เราเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง จะตายอีกครั้งก็ไม่เป็นไรนะน้องพี่ เพราะที่เราฟื้นขึ้นมากลางทะเลทรายเมื่อหกร้อยปีที่แล้ว เราใช้ชีวิตประกอบความดีจนคุ้มแล้วที่ได้ชีวิตใหม่” จิมุ่ยพูด
“เอ่อ แต่ฉันยังไม่อยากตาย ยังไม่ได้ชิมขนมของคุณน้าคนสวยเลยสักอัน” จิเม้าว์พูดเสียงอ่อย
“เธอนี่เห็นแก่กินชะมัด ช่วงเวลานี้เราต้องพูดให้ดราม่าเข้าไว้ เพราะเรากำลังจะเป็นฮีโร่แล้ว” จิมุ่ยผู้เรียนรู้คำพูดคำจาจากผู้เฒ่าพังพอนเอ่ยปาก
“ฮีรงฮีโร่อะไรฉันก็ไม่อยากเป็น ฉันอยากกินขนมเท่านั้น”
จิเม้าว์ส่งเสียงแปร๋นพลางถีบดินจนลำตัวอวบอ้วนพุ่งไปข้างหน้า ขณะที่เหล่าชาวบ้านช่วยกันชักลากอยู่ข้างหลัง
ไม่นานก่อนพระอาทิตย์จะตั้งฉากเหนือหัว ซากยานที่ไหม้เกรียมจนดำก็ถูกลากมาหยุดที่ริมฝั่งน้ำบริเวณใกล้สะดือลำธาร บรรดาชาวบ้านกุลีกุจอถอดเชือกเถาวัลย์แล้วดึงออกไปตามคำสั่งของชดอย่างเร็วจี๋ จากนั้นพากันไปยืนนั่งอยู่รอบนอกเพื่อพักเอาแรงและดูเหตุการณ์ต่อ
“ระยะทางจากไอ้ยานตัวนี้กับสะดือลำธารนี่อยู่ห่างกันสักเท่าไรครับ” ชดถามบะจี
“ประมาณสิบวา” บะจีตอบ
“วาหนึ่งนี่กี่งูคะ” อินญาขมวดคิ้วถาม
“งูอะไรกันหรือ” บะจีจ้องหน้าอินญา
“ผู้เฒ่าพังพอนบอกว่าหมู่บ้านนี้ใช้มาตราวัดเป็นความยาวของงู ก็ขนาดความสูงของอินญาเองค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงซื่อ
“อ้อ อย่างนั้นหรือ” บะจีพยักหน้าพลางเหลียวหาติ๊เบี่ยที่หดคออยู่ข้างขาจิเม้าว์
“อีกคดีหนึ่งแล้วนะไอ้เจ้านี่” บะจีพึมพำแล้วกล่าวต่อ “เอามาตราวัดแบบสากลเข้าใจง่ายกว่านะท่าน หนึ่งวาก็เท่ากับปลายนิ้วกลางมือซ้ายจรดปลายนิ้วกลางมือขวาเมื่อกางแขนออก”
“อ้อ แหม อย่างนี้ค่อยสบายหน่อย” อินญาพูดแล้วประเมินด้วยสายตาพลางบอกชด “จากตรงนี้ไปถึงจุดที่บะจีบอกก็ประมาณยี่สิบเมตรค่ะ”
“เอาละ ทุกคนถอยไปให้ห่างที่สุด เร็วด้วยครับ”
ชดควักโทรศัพท์มือถือออกมาและเปิดแอป เขากดลงไปที่โลโก้รูปรถแล้วคำนวณระยะทางคูณด้วยแรงปะทะและน้ำหนักยานโดยประเมิน
“อย่าให้ใครขวางระหว่างลานหน้าหมู่บ้านกับบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด”
ชดตะโกนกำชับแล้วพาร่างท้วมใหญ่วิ่งตามเหล่าชาวบ้านและผู้อาวุโสขึ้นเนินผาสีดำ จิมุ่ยและจิเม้าว์ที่ตามมาข้างท้ายขณะนี้วิ่งโครมครามออกหน้า ติ๊เบี่ยเกาะหูช้างน้อยไว้ ผ้าโพกของเขาปลิวไสว
สามนาทีก่อนที่พระอาทิตย์จะตั้งฉากกับพื้นโลก มีเสียงเครื่องยนต์คำรามก้องดังมาจากทิศที่ตั้งของหมู่บ้าน รถฮัมเมร่าที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในโทรศัพท์มือถือของชดกำลังแล่นตะบึงมาตามทิศทางที่เจ้าของรถกำหนดไว้ด้วยความเร็วสูงสุดอย่างไม่มีการเบรกแล้วพุ่งเข้าชนยานอวกาศอย่างแม่นยำ
เสียงโครมสนั่นดังก้องภูผา ซากยานเจ้ากรรมลอยหวือลงไปยังสะดือลำธารที่กำลังอ้าปากอย่างเหมาะเจาะ น้ำวนดูดวัตถุใหญ่ลงไปกับสายน้ำราวกับสัตว์ที่หิวโหย ทุกคนมองเห็นโพรงมหึมาที่ลึกสุดหยั่งเพียงชั่วอึดใจ จากนั้นมันก็พ่นน้ำกลับขึ้นเป็นลำสูง แล้วลำธารก็ไหลซ่านซ่าดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หมดกัน รถคุณชด”
อะผ่ามองพาหนะคันใหม่ของชดอย่างเสียดาย มันพังยับเยินทั้งคัน หน้ารถยุบเข้ามาจนถึงห้องโดยสาร กระจกแตกละเอียดทุกบาน ตัวถังที่เป็นเหล็กกล้าเบี้ยวบิดผิดรูป มันจอดนิ่งสนิทริมฝั่งราวกับคนที่เพิ่งขาดใจตายหลังจากยอมสละชีวิต
“ช่างมันเถอะ ของนอกกาย” ชดมองรถฮัมเมร่าด้วยความภูมิใจ “มันทำหน้าที่อย่างสมเกียรติแล้วที่สามารถกำจัดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชาวโลกให้ไปอยู่ใต้พิภพไม่มีใครเอาไปใช้ได้อีก”
ชาวบ้านทั้งหลายต่างยืนล้อมวงและปรบมือยาวนานให้ชดและรถฮัมเมร่า
“พวกเราขอขอบคุณท่าน” เสียงหนึ่งตะโกนมา
“พวกท่านต่างหากที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ทุกคนมีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะจิมุ่ยและจิเม้าว์”
ชดตอบด้วยใบหน้านิ่งสงบ เขาไม่ได้เหลิงต่อคำนิยมยกย่อง เหตุการณ์ครั้งนี้เขาเข้าใจซาบซึ้งกับคำว่าพลังของความสามัคคี ทุกคนเสียสละตามส่วนของตน
“มันซ่อมไม่ได้แล้วนะพี่ชดขา สภาพนี้”
สุจามองรถที่ยับเยินอย่างสงสาร ชดเดินเข้าไปค้นหาเอกสารประจำรถและข้าวของส่วนตัวบางอย่างใส่กระเป๋าสะพายเก็บไว้
“ทิ้งไว้ที่นี่แหละ” ชดพูดแล้วตบหลังรถ “เจ้ากล้าหาญมากเพื่อนยาก” จากนั้นเขาเดินหันหลังไปหาบรรดาผู้อาวุโสที่ยืนรออยู่
พวกชาวบ้านทยอยเดินกลับหมู่บ้านล่วงหน้าไปแล้ว ส่วนจิมุ่ย จิเม้าว์ยืนรอเพื่อให้ผู้มาเยือนและผู้อาวุโสขึ้นขี่โดยสาร ติ๊เบี่ยเดินวนไปมาอยู่แถวนั้นเพื่อกลับไปพร้อมกัน พิมะกำลังชี้มือขึ้นไปบนหน้าผาสีดำโดยมีอะผ่า อินญาและเชนใช้มือป้องหน้ามองตาม
“ตรงนั้นเห็นไหม มันคือปากถ้ำด้านบนที่พวกท่านขับรถตกลงมา”
“อินญาเห็นแล้วค่ะ สีของมันช่างดูกลมกลืนกันไปหมดแทบมองไม่ออกว่าเป็นปากถ้ำ” หญิงสาวหยีตามอง
“เรากลับไปหมู่บ้านทำอาหารกินกันดีกว่า ผมหิวแล้ว”
ชดมองดูปากถ้ำด้านบนแล้วส่ายหน้า จริงๆมันก็สนุกดีเหมือนกันที่ผู้เฒ่าติ๊เบี่ยสรรหาโปรแกรมการผจญภัยให้พวกเขาตื่นเต้น
“ในรถพี่ชดยังมีเสบียงและขนมอยู่ด้านหลัง หนูขอกุญแจรถหน่อยคะ” สุจาเพิ่งนึกได้
“ไม่ต้องกุญแจแล้ว มันพังยับทั้งคันอย่างนั้นอยากหยิบอะไรก็หยิบเอา ระวังโครงเหล็กล้มใส่” ชดเตือน
จิเม้าว์เมื่อได้ยินคำว่าขนมก็เดินมาใช้งวงคว้าตัวสุจาเดินไปที่รถ
“ว้ายยยย” สุจาร้องผสมหัวเราะ ขาของเขากวัดแกว่งไปมา เมื่อถึงท้ายรถจิเม้าว์ก็คลายงวง สุจาคว้าเสบียงกล่องแรกออกมา มันคือขนมสำหรับแจกเด็กที่ชดและสุจาซื้อตุนไว้
“คุณน้าถอยออกไปก่อนนะคะ”
จิเม้าว์ใช้งวงดึงกล่องที่สองและสามออกมาได้ก่อนสะดุดกันชนเหล็กกล้าที่หล่นโครมลงมา เข่าช้างน้อยกระแทกเข้ากับท้ายรถ ทันใดนั้นเกิดเสียงดังครืดคราดแล้วเจ้าฮัมเมร่าก็ไหลเลื่อนลงลำธารหายลับตาไป
“คุณพระช่วย” สุจาอุทาน
“ตายแล้ว หนูไม่ได้ตั้งใจนะ” จิเม้าว์พูดเสียงสั่นและเงยหน้ามองชดที่โบกมือไหวๆ
“ไปกันเถอะช้างน้อย” ชดเรียก “ขอบใจที่ช่วยให้รถคันนั้นได้พักผ่อนอย่างถาวรไม่มีใครรบกวน”
จิเม้าว์ได้ฟังก็คลายความวิตกแล้วใช้งวงคว้ากล่องขนมและเดินกลับไปที่กลุ่มพร้อมสุจา
ทุกคนขึ้นหลังจิมุ่ยกับจิเม้าว์และมองไปที่กลางลำธาร ไม่มีวี่แววของซากยานอวกาศ
“จะไม่มีใครรู้ว่าสิ่งอันตรายนี้อยู่ที่ไหน” เสียงหน่าเหงอะลอยมา
“นอกเสียจากว่าจะมีคนบอก” บะจีพูดต่อ
“มันจะเป็นความลับของพวกเราทุกคนไปจนตาย” ชดพูด ทุกคนพยักหน้า
ช้างทั้งสองพากันเดินไปตามทางจนลอดประตูหมู่บ้านอันมหึมาแล้วเดินเลียบริมลำธารไปโดยสงบ ทุกสิ่งที่ผ่านไปตั้งแต่เช้าดูราวกับเรื่องโกหก ผู้มาเยือนและผู้อาวุโสต่างถอนหายใจเมื่อมาถึงลานหมู่บ้านและเห็นรถโฟร์วีลสีขาวจอดอยู่คันเดียว
“ท่านเสียสละให้พวกเราอย่างมาก” เจิ่วมะหันมาพูดกับชดผู้ซึ่งก้มศีรษะรับ
“หากไม่ทำอย่างนั้นพวกเราจะไม่มีทางกำจัดเจ้าสิ่งอันตรายนั้นได้ครับ” ชดพูด เขาสะบัดศีรษะเพื่อให้ลืมภาพของฮัมเมร่าที่บาดเจ็บสาหัส
“เราจะหาวิธีชดใช้ให้ท่าน” ญิผ่าพูดจากหลังจิมุ่ย
ช้างทั้งคู่พาผู้โดยสารไปส่งที่ระเบียงบ้านหลังกลาง ที่ซึ่งมีขันโตกพร้อมอาหารจัดวางเตรียมไว้แล้ว
“เชิญพวกท่านตามสบาย เราจะพบกันอีกครั้งเวลาค่ำ” ญิผ่าค้อมตัวเล็กน้อยและลงเรือนเดินกลับไปยังที่พักหลังติดกันพร้อมผู้อาวุโสทั้งหลาย
สุจาซึ่งขณะนี้แกะกล่องเสบียงออกแล้ว เขาแจกขนมให้จิมุ่ยและจิเม้าว์อย่างมากมาย
“เอ้า เอาไปฝากผู้เฒ่าติ๊เบี่ยกับเพื่อนๆ ด้วยจ้ะ ไปพักผ่อนกันเถอะ พวกหนูๆออกแรงกันจนเหงื่อท่วม” สุจาพูดอย่างเอ็นดู จิมุ่ยและจิเม้าว์ชูงวงคำนับแล้วหิ้วขนมถุงใหญ่เดินกลับไปอย่างดีใจ สุจาตะโกนไล่หลังไปว่า “อย่าลืมเก็บถุงพลาสติกมัดรวมกันแล้วฝังลงไปในดินลึกๆนะจ๊ะ มันจะย่อยสลายในอีกร้อยปีข้างหน้า”
จากนั้นผู้มาเยือนทั้งหกลงนั่งล้อมขันโตกที่หนุ่มสาวชาวหมู่บ้านจัดเตรียมไว้ให้
“อาหารธรรมชาติแบบนี้หากินที่ไหนได้” ฤดีกล่าวอย่างพอใจ “ปลูกจากในไร่และหาจากป่า ไม่มีสารเคมี ไม่ต้องฉีดพ่นยา พวกเราอยู่แต่ในเมืองกินผักหรือผลไม้ไม่ค่อยสนิทใจ”
“นั่นสิคะ หนูกำลังคิดอย่างเดียวกัน” สุจาบอกขณะที่เคี้ยวผักสดกร้วมๆ
“อินญาอร่อยมากกับอาหารแบบนี้ ธัญพืช ถั่ว งา ผักสด ผลไม้”
หญิงสาวพูดพร้อมกับส่งผลไม้หวานฉ่ำเข้าปาก อะผ่ากับเชนนั้นไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองตักข้าวเพิ่มถ้วยที่สองแล้วก้มหน้าก้มตากิน
“หนุ่มสองคนนี้หมดแรงไปเยอะ” สุจาพูด เขารินน้ำชาใส่กระบอกไม้ไผ่แจกทุกคน
“เดี๋ยวผมต้องงีบสักหน่อยละ พอหนังท้องตึงมันก็ดึงหนังตาให้หย่อน บรรยากาศอย่างนี้ช่างเป็นใจ” ชดกล่าวหลังจากกินอาหารเสร็จก่อนคนอื่น ไม่มีใครเอ่ยถึงรถฮัมเมร่าให้เขาคิดถึง
เมื่อขันโตกถูกเก็บยกไปแล้วก็เป็นเวลาบ่ายสองโมง
“พวกเราพักผ่อนเอาแรงไว้ก็ดีนะคะ ผู้อาวุโสญิผ่าบอกว่าจะมีคนแปลกหน้าไต่หน้าผาเข้ามาที่หมู่บ้านเวลาเย็นก่อนพลบค่ำ เราไม่รู้ว่าพวกเขามาร้ายหรือมาดี แต่ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน”