บทที่ 7 ร่วมมือ ร่วมใจ
แสงจากเปลวไฟอาบร่างผู้มาเยือนและเจ้าบ้านที่นั่งราวกับรูปปั้นในพิพิธภัณฑ์หลังจากญิผ่าจบเรื่องเล่าของนาง
“โคเชน”
ญิผ่าขยับตัว นางเรียกชื่อชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตนางไว้จากบาดแผลที่ถูกสายฟ้าฟาดเมื่อครั้งที่นางยังเป็นต้นสนหอมในป่าไม้หินเมื่อแปดพันปีที่แล้ว
เชนซึ่งนั่งขัดตะหมาดนิ่งอยู่เงยหน้าขึ้นสบตานาง เขารู้สึกเกือบจะเรียกความทรงจำบางอย่างที่ฝังลึกในจิตใจออกมาได้ แต่บรรยากาศรอบตัวขณะนี้ทำให้เขาอยู่กับจิตสำนึกในปัจจุบัน
“ข้าขอคืนครึ่งของสิ่งที่เปรียบเสมือนหัวใจท่านกลับสู่ครึ่งที่เหลือเพื่อประสานกันเป็นหัวใจดวงเดียวอย่างที่เคยเป็นเมื่อครั้งบรรพกาล”
ญิผาถอดตลับเงินที่นางสวมคอไว้ออกมาถือและเปิดออก แสงจากกองไฟที่สว่างขึ้นจากฟืนที่กำลังลุกไหม้ส่องให้เห็นฟอสซิลไม้ที่ละม้ายเครื่องรางของเชน
ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและผู้มาเยือนทั้งหกต่างนั่งอย่างสงบและมองดูความเคลื่อนไหวของเชนและญิผ่า
“ขอให้ท่านจงรับไว้”
ญิผ่าพูดจบก็ยื่นตลับเงินอันนั้นส่งให้เชนที่โน้มกายยื่นแขนแบมือออกไป เขาก้มมองดูเครื่องรางชิ้นที่อยู่ในตลับ มันช่างเหมือนเครื่องประดับเก่าแก่ของเขาราวกับภาพสะท้อน เขาถอดสร้อยคอและดึงจี้ไม้หินออกมาประกบกับชิ้นที่อยู่ในมือ
ทันใดนั้น กระแสคลื่นของพลังงานลึกลับได้แผ่กระทบตัวพวกเขาและจางหายไป เชนหลับตา ถอนหายใจสามครั้งและเอ่ยคำสวดด้วยเสียงห้าวลึก คำที่เปล่งออกมาเป็นภาษาโบราณที่สูญหายไปนานแล้ว พบได้เฉพาะในคำสวดและเพลงร้องของชาวนกฟ้าที่คนรุ่นปัจจุบันไม่รู้ความหมาย ครู่หนึ่งญิผ่าก็เผยอปากร่ายคำสวดคลอเป็นภาษาเดียวกัน
ทั้งคู่ร่ายมนตราอยู่เช่นนั้นประมาณสิบนาที จากนั้นเชนก็ถอนหายใจสามครั้งและลืมตาขึ้น บรรพบุรุษต้นตระกูลเขารับรู้ว่าเครื่องรางสองชิ้นกลับคืนมารวมกันเป็นหัวใจดวงเดียว ไมราเซตีได้กระทำตามวาจาที่นางลั่นไว้แล้ว
เมื่อคำสวดจากทั้งสองยุติลง สุจายกมือไหว้ไปรอบทิศและเอ่ยปากว่า
“เจ้าประคุณเอ๋ย ชาตินี้ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอเรื่องน่าประหลาดจนขนลุกชันขนาดนี้”
อินญาและชดผู้พกโทรศัพท์มือถือติดตัวไว้ตามความเคยชินต่างร้องอุทานเมื่อได้ยินเสียงติ๊งตั๊งดังขึ้นมาหลายครั้งจากกระเป๋าเสื้อ เป็นเสียงเข้าของข้อความจากครอบครัวของทั้งสองที่ส่งมาตั้งแต่เมื่อวานค่ำ
“อินเทอร์เน็ตมีสัญญาณแล้ว!” อินญาอุทานอย่างดีใจ
ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและญิผ่าขยับตัวลุกขึ้นยืน เจิ่วมะกล่าวว่า
“เอาละ พวกเราจะกลับที่พักกันละนะ เชิญพวกท่านหย่อนใจกันตามสบาย พรุ่งนี้เช้าเราจะพาท่านไปที่หุบเขาด้านหลังเพื่อดูสถานที่เกิดเหตุระเบิดจากลูกไฟดวงใหญ่ ซึ่งเราต้องขอความช่วยเหลือจากพวกท่านในบางสิ่ง”
“ส่วนเรื่องยารักษาโรคระบาดที่ท่านต้องการ โปรดอย่าได้กังวลใจ ข้าจะบอกท่านในคืนวันพรุ่งนี้โดยไม่ปิดบัง”
นางกล่าวพลางมองตรงไปที่อะผ่า เขาสะดุ้งก่อนขยับท่านั่งให้หลังตรงและทำตาปริบๆ ญิผ่าพูดต่อกับทุกคนว่า
“ขอจงพักผ่อนให้เต็มที่ วันพรุ่งนี้จะยาวนานและเหน็ดเหนื่อยสำหรับพวกท่าน”
หญิงร่างใหญ่กล่าวแล้วค้อมตัวให้ทุกคนก่อนดึงคบไฟจากที่เสียบแล้วหันร่างเดินกลับที่อยู่อาศัย
“ก่อนเข้านอนเราต้องดับกองไฟนี้ไหมคะ” ฤดีถามด้วยความเป็นห่วง
“ท่านเพียงแต่ชักฟืนออกแล้วจุ่มลงในถังน้ำ จากนั้นตักขี้เถ้ากลบถ่านไฟก็พอแล้ว” บะจีหันมาตอบ จากนั้นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดต่างคว้าคบไฟคนละอันและเดินเรียงกันกลับบ้านของตน
อินญาและชดขณะนี้เริ่มเช็คข้อความจากครอบครัวด้วยความดีใจ ส่วนสุจาเดินถือไฟฉายเดินดุ่มไปยังเรือนพักและหยิบโทรศัพท์ของเขาและของฤดีใส่กระเป๋าถือ โดยไม่ลืมคว้าเสื้อกันหนาวและหมวกอุ่นหนีบไว้ใต้แขนแล้วเดินกลับมาที่กองไฟอีกครั้ง
“ขอบใจมากค่ะสุจา” ฤดีรับเสื้อ หมวก และโทรศัพท์ เธอขยับที่ให้สุจาทรุดตัวลงนั่งเหยียดขา
เชนนิ่งเงียบขณะลูบคลำเครื่องรางสองชิ้นที่เขาประกบเข้าไว้ด้วยกันแล้วใส่ตลับเงินที่ญิผ่ามอบให้ เขาจุมพิตตลับนั้นก่อนคล้องใส่ไว้ที่สร้อยคอและนั่งเอนหลังเหม่อมองแสงไฟ
อะผ่าล้มตัวนอนหนุนแขนซ้ายดูท้องฟ้าอย่างมีความสุข เขาชำเลืองมองอินญาที่กำลังคุยโทรศัพท์กับพ่อแม่และหัวเราะกับรูปถ่ายของกระต่ายที่เธอเลี้ยงไว้ อะผ่านึกถึงเพลงที่อินญาร้องเมื่อตอนหัวค่ำหลังอาหาร เขาจะเป็นกระต่ายขาวส่วนเธอเป็นกระต่ายสีชมพู เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็หัวเราะกับความคิดของตัวเอง
ฤดีขณะนี้กำลังเพ่งอ่านข่าวทางหน้าจอโทรศัพท์แล้วอุทานออกมา เธอหันไปทางชดผู้เพิ่งวางสายจากซูซานและลูกสาว
“ชดคะ มีข่าวชิ้นหนึ่งที่ฉันเสิร์ชหาจนเจอ”
สีหน้าตื่นเต้นของฤดีทำให้ชดเดาออกว่าเป็นเรื่องเดียวกับที่เขากำลังจะค้นหาในกูเกิ้ล
“เรื่องยานสำรวจดาวอังคารที่สูญหายไปขณะเดินทางกลับสู่พื้นโลกใช่ไหมครับ มันเป็นยานไร้คนขับ น้ำหนัก 74 ตัน มีชื่อว่ามาร์เรซ ”
ชดมองฤดีที่สวมแว่นหนาและก้มหน้าอ่านข่าวนั้นต่อ
“ใช่คะ แต่เอ๊ะ คุณตามข่าวนี้ด้วยหรือคะ” ฤดีมองลอดแว่นมาที่ชด เธอนั่งเหยียดขาตามสบายหลังจากที่บรรดาผู้อาวุโสลุกออกไปแล้ว
“ผมเพิ่งนึกได้ตอนอาบน้ำ เพราะหลังจากทบทวนช่วงเวลาที่ข่าวยานสำรวจดาวอังคารสูญหายไปนั้นมันตรงกับที่ชาวหมู่บ้านนี้บอกว่ามีลูกไฟมาตกที่หุบเขาเมื่อเดือนที่แล้ว” ชดบอกพลางจิ้มอินเทอร์เน็ตเสิร์ชหาเบื้องลึกเบื้องหลัง
“ฉันดูข่าวนี้จากโทรทัศน์ไปรอบหนึ่งเมื่อปลายเดือนมีนาคม เป็นข่าวเล็กๆจากองค์การอวกาศสากลที่เสนอให้ผู้ชมได้ดูเพียงสองนาที เขาบอกว่ายานลำนั้นอาจตกลงในมหาสมุทรแห่งใดแห่งหนึ่งโดยคาดว่าเป็นแถบทะเลอันดามัน เพราะเป็นบริเวณที่ได้รับสัญญาณครั้งสุดท้าย จากนั้นข่าวนี้ก็เงียบหายไปทั้งๆ เป็นเรื่องที่ผู้สนใจความก้าวหน้าของโลกต่างติดตาม หลังจากนั้นฉันก็เจอคลิปจากยูทูบที่มีคนกลุ่มเล็กๆโหลดขึ้นเผยแพร่ก่อนคลิปจะถูกลบไป พวกเขาแฉข้อมูลลับเฉพาะว่าภารกิจที่แท้จริงของยานลำนั้นคือการขนแร่ยูเอ็ม-50 มายังโลกเพื่อเป็นส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์รุ่นใหม่ที่สามารถทำลายล้างเมืองใหญ่ได้ในพริบตา” ฤดีตอบ ชดเงยหน้าขึ้นพูดบ้าง
“ผมก็ดูข่าวนี้แล้วเพิ่งนึกสงสัยว่ายานลำที่หายไปจะมาตกแถวนี้หรือเปล่าเพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน แต่นี่ ฤดี...”
ชดส่งโทรศัพท์ของเขาให้ฤดีอ่านข่าววงในเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินที่ได้ชื่อว่าฐานทัพลอยน้ำเตรียมจัดส่งหน่วยคอมมานโดมือดีออกตามหายานมาร์เรซ พวกเขาได้พิกัดแล้วว่ามันตกอยู่ในบริเวณชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย
“ชักจะยุ่งกันใหญ่” ฤดีส่งโทรศัพท์คืนให้ชดหลังอ่านข่าวที่ย่อมาจนจบ ชดตอบว่า
“มันมีสาเหตุมาจากรัฐบาลของประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจแต่กำลังตกกระป๋องสั่งให้ยานนี้ขุดและขนแร่ยูเอ็ม-50 มาจนเต็มลำ ซึ่งน้ำหนักเดิมของยานนี้คือ 74 ตัน แต่เมื่อบรรทุกแร่ซึ่งมีน้ำหนักสิบสองตันจากดาวอังคารมาถึงบรรยากาศโลก ปรากฏว่าเกิดปฏิกิริยาจนเครื่องบังคับยานขัดข้อง มันจึงลอยเคว้งคว้างเป็นขยะอวกาศพุ่งออกนอกทิศทางที่กำหนดไว้แต่เดิมคือมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วจากนั้นจึงหายไปจากจอเรดาร์ที่ระบุตำแหน่งสุดท้ายว่าอยู่บริเวณน่านฟ้าอ่าวไทย ซึ่งบรรดาประเทศเจ้าของยานกำลังค้นหาว่ามันตกที่ไหนและพวกเขาจะส่งคนมาขนเพื่อนำไปผลิตอาวุธสำคัญ”
“มันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะคะ ชด ดูนี่ ข่าวล่าสุดของเว็บไซต์นี้ บอกว่าพวกทหารคอมมานโดจากประเทศเจ้าของยานอวกาศได้รับอนุญาตจากทางการไทยเรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังจะลุยมาแถบเทือกเขาผาแดงเพื่อกู้ซากยานลำนั้นและจะนำแร่ยูเอ็ม-50 ที่อยู่ในกล่องนิรภัยไปใช้ทดลองตามโปรเจ็คท์เดิม พวกเขาอ้างว่าเป็นโครงการปรมาณูเพื่อสันติภาพ”
“กากจริงๆ ไอ้เลวพวกนี้”
ชดเผลอด่าออกไป แล้วถอนใจขณะหันกลับมาที่เรื่องของพวกเขา
“ผมเข้าใจละ ว่าทำไมพวกเครื่องมือทำกินที่เป็นเหล็กมันเกิดบูดเบี้ยวขึ้นมา ก็เพราะอานุภาพของแร่ตัวนี้ที่ส่งกระแสแม่เหล็กเป็นวงกว้าง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเข็มทิศของอินญาและในรถผมถึงรวนไปเมื่อเข้ามาอยู่ในรัศมีของมัน” ชดพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“และโทรศัพท์ของพวกเราก็ไม่มีสัญญาณเพราะเหตุนี้” เสียงสุจาสอดแทรกมาจากด้านข้างของฤดี เขาเงี่ยหูฟังคำสนทนาที่ได้ยินอย่างชัดเจน
“แล้วที่มันกลับมามีสัญญาณได้อีกเพราะเหตุใดคะ” ฤดีถาม
ความเงียบแทรกเข้ามาอึดใจหนึ่งแล้วทั้งสามก็พยักหน้าพร้อมกันเพราะได้คำตอบอันประหลาดที่อยู่ในใจของทุกคน ชดลดเสียงลงพูดราวเสียงกระซิบ
“เครื่องรางของญิผ่าและของเชนที่กลับมารวมเป็นชิ้นเดียวกันมีอานุภาพตัดกระแสคลื่นแม่เหล็กได้ทันที”
“ใช่ค่ะ หนูก็ว่าอย่างนั้น เพราะอย่างที่ญิผ่าเล่า มันสามารถป้องกันฟ้าผ่าและสิ่งเหนือธรรมชาติได้”
สุจาป้องปากพูด แต่ยามดึกเช่นนี้เสียงกระซิบของเขาดังก้องจนอะผ่า อินญาและเชนได้ยิน ทั้งสามขยับตัวตีวงเข้ามาใกล้
“ไม่ต้องชิดกันขนาดนั้นก็ได้นะจ๊ะ”
สุจาพูดกับอะผ่าและอินญาที่นั่งบ่าเกยกัน หนุ่มสาวทั้งสองหน้าแดงและเขยิบตัวถอยออกไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเก้อๆออกมา
“คุยอะไรกันครับอาโฮสุจา คุณลุงชดและคุณอาฤดี” เชนถาม ตลับเครื่องรางของเขาสะท้อนแสงไฟวูบวาบ
ชดและฤดีช่วยกันเล่าให้หนุ่มสาวทั้งสามฟังถึงข่าวยานสำรวจดาวอังคารที่สูญหายเมื่อต้นเดือนมีนาคมและทั้งสองเชื่อว่ามันคงต้องตกที่หุบเขานี้
“อินญาจำข่าวนี้ได้ค่ะ ออกทีวีนิดหน่อยแล้วเขาก็เอาข่าวเรื่องโรค เฮมาลอยด์ มากลบข่าวนี้จนสิ้น ผู้คนต่างหมดความสนใจข่าวยานอวกาศ เพราะข่าวโรคระบาดเป็นเรื่องใหญ่ใกล้ตัวพวกเขา สิ่งที่คนอเมริกันทำคือเข้าห้างและต่อสู่กันเพื่อแย่งชิงกระดาษเช็ดก้นและอาหารกระป๋องค่ะ” อินญาพูดแล้วหันไปทางเชน
“ผมอ่านเจอข่าวยานอวกาศลำนี้เช่นกันครับ แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก” เชนบอกขณะที่ยังลูบคลำตลับเงินที่ทาบอยู่บนหน้าอกของเขา “ผมรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างรอบตัวพวกเรา”
“เป็นไปได้ว่าเครื่องรางของเธอส่งพลังตัดคลื่นสนามแม่เหล็กที่แผ่ออกมาจากหุบเขานั้น” ชดชี้ไปเบื้องหลังหมู่บ้าน “พรุ่งนี้พวกมีดพร้าของชาวบ้านคงอยู่ในภาวะปกติ ไม่บิดเบี้ยวอีกแล้ว”
“แล้วสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคืออะไรคะ” สุจาถามพลางอ้าปากหาวอย่างลืมตัวก่อนยกมือปิดไว้
“คงต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ผมว่าเรากลับไปพักผ่อนเอาแรงไว้ ผมเชื่อว่ามีงานลำบากรอเราอยู่แน่นอน”
ชดพูดพลางยันตัวเตรียมลุก เขารับมือเชนที่ยื่นมาช่วยดึงร่างท้วมของเขาให้ยืนขึ้นโดยไม่ล้ม สุจาและฤดีลุกขึ้นปัดเศษเถ้าไฟออกจากชายเสื้อ ส่วนอินญาและเชนยืนรอพลางคุยกันเบาๆ
“เดี๋ยวผมดับไฟแล้วจะตามไปครับ”
เชนบอกและก้มลงไปดึงไม้ฟืนจากกองไฟจุ่มลงในถังดินเผาที่มีน้ำเต็ม เขาได้กลิ่นจางๆ จากควันไฟที่พลุ่งขึ้นมา เขากวาดสายตามองหาและเห็นเศษสมุนไพรตกอยู่จึงหยิบโยนเข้ากองถ่านที่กำลังมอด กลิ่นหอมประหลาดลอยอวลเข้าจมูก ความจำที่ซ่อนลึกอยู่ในกลีบสมองชั้นในถูกกระตุ้นให้ตื่นโดยฉับพลัน ภาพป่าไม้หินและภูมิประเทศหลากหลายแล่นผ่านความคิดเขาไปราวกับฉายภาพยนตร์ เมื่อรู้ตัวเขาสะบัดศีรษะขจัดภาพเหล่านั้นและมองเห็นสมุนไพรอีกสองสามชิ้นหล่นอยู่บริเวณที่ญิผ่านั่ง เขาจึงเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อไว้จากนั้นก็เดินตามหลังทุกคนกลับที่พัก
รุ่งเช้ามาถึงหลังจากทุกคนได้นอนหลับสนิทจนฟ้าสว่าง พวกเขากินอาหารแบบง่ายๆที่เจ้าบ้านจัดห่อให้พอดีคนเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เมื่ออิ่มกันดีแล้วต่างเตรียมตัวออกเดินทางไปยังหุบเขาพร้อมผู้อาวุโสที่มานั่งพร้อมกันที่ระเบียงบ้านเมื่อสักครู่
“หลับกันสบายไหมพวกท่าน” บะจีถาม เขายิ้มแย้มแจ่มใสขณะที่กล่าวต่อ “วันนี้เป็นวันแรกในรอบสามสิบวันที่ข้าไม่ต้องซ่อมมีดและเครื่องมือทำไร่ เพราะไม่มีอะไรบิดเบี้ยวสักอย่าง ฮ่าๆๆ”
“พวกเราหลับกันเหมือนตายเลยค่ะ” สุจาตอบพร้อมกับควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปเซลฟี่
“ขอบคุณพวกท่านที่เอื้อเฟื้อที่พักและหมอนฟูก ดิฉันไม่เคยได้นอนฟังเสียงน้ำในลำธารที่ไพเราะเยี่ยงนี้มาก่อน กลิ่นหอมจากดอกไม้ป่าที่โชยมาทำให้ดิฉันหลับลึกโดยไม่ฝัน”
ฤดีกระพุ่มมือไหว้บรรดาผู้อาวุโสที่นั่งรออยู่บนระเบียงหน้าบ้าน พวกเขายิ้มรับคำทักทายและคำขอบคุณจากผู้มาเยือน จากนั้นทั้งหมดจึงประชุมสั้นๆ ด้วยเรื่องสำคัญก่อนออกเดินทาง
“ดังที่ท่านทราบกันแล้วเรื่องลูกไฟที่มาตกและระเบิดในหุบเขาหลังหมู่บ้าน”
พิมะเริ่มพูดเป็นคนแรก
“ผู้อาวุโสญิผ่าบอกเราเมื่อเนิ่นนานมาแล้วว่าจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนแปลกหน้าเข้ามาที่นี่”
“เอ่อ หมายถึงพวกเราใช่ไหมคะ” เสียงสุจาดังขึ้น
“ฮ่า พวกท่านไม่ใช่คนแปลกหน้าดอก เพราะเราล้วนเกิดตายเป็นพี่น้องกันมาหลายชาติแล้ว” เสียงหน่าเหงอะพูดขึ้น “แต่ไม่ใช่เรื่องจะพูดกันตอนนี้ เพราะเวลาเริ่มกระชั้น” เขาหันไปทางพิมะให้อธิบาย
“คงเป็นเย็นวันนี้ที่คนแปลกหน้าจะปรากฏตัวขึ้น เพราะขณะนี้พวกเขาหาเส้นทางพบแล้วจากเครื่องมือสมัยใหม่แบบเดียวกับที่พวกท่านใช้ มันสามารถระบุจุดที่ลูกไฟมาตกได้อย่างแม่นยำ พวกเขาต้องการมาขุดเอาสิ่งของบางอย่างจากเศษซากวัตถุนั้น หากได้มันไปพวกเขาจะสามารถล้างผลาญทำลายชีวิตมนุษย์ได้คราวละสิบแสนคน
“เราต้องไปถึงหุบเขาให้เร็วที่สุดแล้วฉุดซากลูกไฟออกมากำจัด เรามีจิมุ่ยและจิเม้าว์ผู้ทรงพลังสามารถฉุดของใหญ่ขึ้นมาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่เศษซากชิ้นสำคัญนั้นมีพลังประหลาด มันจะทำลายผู้ที่เข้าไปแตะต้องมันจนยับย่อย”
เชนก้าวออกไปข้างหน้าขณะที่ถือตลับเงินไว้
“ผมเข้าใจถูกไหมครับ ว่าที่ท่านรอให้พวกเรามาเพราะท่านต้องการให้เครื่องรางทั้งสองมารวมกันเพื่อทำลายพลังที่พวกเราเรียกมันว่าสนามแม่เหล็ก”
“สายเลือดของโคเชน” ญิผ่าพูดตอบขึ้นมา “อย่างที่กล่าวมาแล้ว ข้ามองเห็นบางสิ่งล่วงหน้า แต่ไม่ใช่ทุกสิ่ง ข้ารอให้พวกท่านเข้ามาที่หมู่บ้านริมธารเพื่อจุดประสงค์สองประการ ประการแรกข้าได้ทำไปแล้วคือคืนเครื่องรางแก่ผู้ที่เป็นทายาทตระกูลโวไวดา ประการที่สองคือข้าจะขอให้ท่านเป็นผู้ลงไปค้นหาซากสิ่งของที่คนแปลกหน้าต้องการและนำไปกำจัด หัวใจไม้หินที่กลับมารวมเป็นดวงเดียวสามารถป้องกันท่านจากคลื่นพิษและไฟอธรรมชาติทุกชนิด ขอให้ท่านมั่นใจ” นางหยุดไปอึดใจหนึ่งและถามเชนว่า “ท่านพอจะช่วยตามที่ข้าขอร้องได้ไหม เพราะหากไม่ใช่ท่าน ก็ไม่มีใครสามารถทำได้”
“ข้ายินดีช่วยเหลือในทุกสถานที่ท่านขอ” เชนตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” เจิ่วมะพยักหน้าอย่างพอใจ “ชาวบ้านทั้งแปดสิบคนกำลังเร่งมือกันถักเถาวัลย์เส้นยาวเป็นเชือกใหญ่เพื่อใช้ชักลากเศษซากลูกไฟพิษ พวกเขารอเราอยู่ที่ริมหุบเขา ส่วนพวกท่านและเราจะนั่งช้างไป จิมุ่ยและจิเม้าว์กำลังรออยู่”
พอเจิ่วมะจบคำพูด ทุกคนก็ได้ยินสียงร้องแปร๋นที่หน้าบ้าน ชดและผู้มาเยือนทุกคนตกตะลึงกับช้างดึกดำบรรพ์หน้าทะเล้นสองตัว ทั้งคู่มีรูปร่างสูงสองเท่าของเชน ขนสีดำเป็นเงา
“โอ้ว หม่าย ก๊อดดด” สุจาแผดเสียงอุทานดังกว่าเสียงช้างน้อย
“โอ้ ช่างน่ามหัศจรรย์” ชดพูดพร้อมกับควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปไว้ อินญาและสุจารีบทำเช่นเดียวกัน
ฤดีและอะผ่ายืนจ้องจิมุ่ยและจิเม้าว์อย่างแปลกใจ สองพี่น้องเดินโยกซ้ายโยกขวามาถึงริมระเบียง หัวอันมหึมาของช้างทั้งสองก้มลงและทักทายผู้มาเยือนว่า
“เฮลโล ฮาวอาร์ยู จำพวกหนูได้ไหมคะ”
อินญาผงะและหัวเราะคิก เธอยื่นมือไปจับงวงของจิมุ่ยและทักทายว่า
“เฮลโล ฮาวอาร์ยู ทำไมฉันจะจำเธอไม่ได้ เธอเป็นสาวน้อยที่ขึ้นมาเสิร์ฟน้ำชาและผลไม้ให้เรา เมื่อคืนนี้เธอทั้งสองกับฉันก็เต้นรำกันสนุกสุดฤทธิ์ ฉันชอบท่าเต้นของพวกเธอมากเลยละ”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเต้นให้ดูอีกรอบนะคะ”
จิเม้าว์ตอบแล้วยกเข่าขึ้นข้างหนึ่งสลับกับอีกข้างพร้อมกับส่ายหัวไปมา อินญาและสุจาที่ไม่ทันระวังตัวถึงกับล้มก้นกระแทก ผู้อาวุโสที่นั่งกันอยู่บนม้านั่งต่างพากันเกาะราวระเบียงไว้แน่น ส่วนชดเกาะบ่าอะผ่าไว้จึงไม่หกล้ม
“พอแล้ว แม่แก้วตา” บะจีพูดเสียงดังพลางขนผ้าห่มจากในบ้านออกมา “ย่อตัวลงหน่อย”
“แหมกำลังสนุกเลย” ช้างน้อยบ่นพลางคู้ขาลง
บะจีพาดผ้าห่มบนหลังจิเม้าว์ จากนั้นคะมาคนที่สองก็ออกมาพร้อมผ้าห่มผืนใหญ่อีกผืน จิมุ่ยย่อตัวให้คะมาพาดผ้ารองนั่งสำหรับผู้โดยสาร
“เส้นทางที่เราจะไป พาหนะเหล็กของท่านไปไม่ได้เพราะเราต้องลัดเลาะเข้าป่าทึบเพื่อไปถึงหุบเขาโดยไวแล้วจัดการฉุดลากสิ่งของที่เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายไปที่ริมธารก่อนเที่ยง” เสียงบูแซะอธิบาย
“เพื่อที่เราจะกำจัดมันลงในสะดือลำธาร” หน่าเหงอะพูด
“แต่ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นมันมีขนาดและน้ำหนักเท่าใด” พิมะพูดต่อ
“หากมันไม่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมันก็คงใหญ่โตเอาการ เพราะจากขนาดของลูกไฟที่พวกเราบางคนเห็นจากหน้าโรงอาหารนั้นชัดเจนมาก แม้ว่ามันจะตกในหุบเขาที่อยู่ห่างเราไปหากเดินเส้นทางปกติก็ราวชั่วโมงหนึ่ง แสดงว่ามันไม่ใช่เล็กๆ” คะมาคนที่หนึ่งพูด
“เรารีบไปกันเถอะแล้วค่อยพูดคุยปรึกษากันกลางทาง เพราะเราต้องทำงานแข่งกับเวลา” เสียงเจิ่วมะกระตุ้น
จากนั้นทุกคนก็กุลีกุจอปีนขึ้นนั่งบนหลังช้างทั้งสองที่ย่อเข่ารออยู่ริมระเบียง ญิผ่าผู้มีร่างสูงใหญ่ขึ้นขี่คอจิเม้าว์ด้วยท่าทีองอาจ นางสะพายย่ามที่บรรจุสมุนไพรต่างๆ ไว้เพื่อเตรียมรักษาหากมีอุบัติเหตุ
“ขอโทษนะจ๊ะ สาวน้อย” สุจา ฤดี และอินญากล่าวก่อนตามหลังญิผ่าขึ้นไปนั่งเกาะกันตัวสั่นงันงก
“นั่งดีๆ คุณน้า อย่าหัวเราะ” จิเม้าว์พูด “เดี๋ยวจะตกลงมา”
“มีเข็มขัดนิรภัยไหมจ๊ะ” สุจาถามเสียงสั่น
“หนูไม่ใช่รถทัวร์นะคะคุณน้า เกาะหลังคนข้างหน้าเอาไว้ให้ดี เดี๋ยวหนูจะยกตัวยืนขึ้นละนะ วัน ทู ทรี” จิเม้าว์เตือน
“หวายยยย!” สุจาอุทานเสียงสะท้านเมื่อมองลงมาเบื้องล่าง จิเม้าว์ก้าวถอยหลังอย่างช้าๆพร้อมผู้โดยสารสตรีสี่คน
จากนั้นจิมุ่ยก็เดินเข้าไปย่อตัวรับผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและแขกรับเชิญอีกสาม พวกเขาปีนขึ้นไปนั่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบมีเจิ่วมะอยู่หัวแถวและเชนปิดท้าย บะจีกระแทกเท้าให้สัญญาณ ช้างน้อยผู้พี่ยกตัวขึ้นแล้วพาผู้โดยสารเดินตามหลังจิเม้าว์ไปด้านหลังหมู่บ้าน พวกเขาผ่านชิงช้าใหญ่ปักด้วยไม้กลมสี่เสาและรวบปลายผูกไว้ด้วยกัน ชิงช้านี้เป็นสัญลักษณ์ของชาวอาข่าที่จัดงานเฉลิมฉลองหลังเก็บเกี่ยวปลายเดือนสิบ
“อ้อ อยู่ตรงนี้เอง แหมผู้เฒ่าติ๊เบี่ยหลอกพวกเราว่ามันย้ายที่หายไป”
สุจาพูดพลางควักโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป แต่แล้วก็ทำหลุดมือ จิเม้าว์เหลียวหลังเอางวงรับโทรศัพท์ไว้แล้วส่งคืนให้อย่างทันท่วงที
“คุณน้าช่วยเซลฟี่ให้หนูสักรูปนะ หนูจะยิ้มสวยๆ” ช้างน้อยบอกอย่างอารมณ์ดี
สุจารับโทรศัพท์ กล่าวขอบใจแล้วชูโทรศัพท์ขึ้น ฤดีและอินญายกมือโบกให้หน้าจอ ญิผ่ายิ้มอ่อนให้กล้อง จากนั้นสุจาก็กดชัตเตอร์
ฝ่ายชดผู้นั่งเกาะเอวผู้อาวุโสและทรงตัวไว้อย่างมั่นเหมาะก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาและชูขึ้นถ่ายเซลฟี ภาพที่ได้มาช่างหน้าขัน ผู้อาวุโสเจ็ดคนและสามชายผู้มาเยือนนั่งเรียงต่อกันไปบนหลังช้างดึกดำบรรพ์ที่ชูงวงขึ้นมาทำหน้าทะเล้นใส่
อากาศยามเช้าสดชื่น ทิวทัศน์รอบข้างสวยงาม ช้างทั้งสองลงเนินแล้วมุดเข้าป่าใหญ่ เสียงคุยเริ่มเงียบไปเพราะผู้อยู่บนหลังช้างต้องคอยหลบกิ่งไม้และเถาวัลย์ จิเม้าว์เดินตามรอยทางที่ชาวบ้านทั้งแปดสิบคนเดินล่วงหน้าไปตั้งแต่เช้ามืด
“หลังมีเหตุระเบิดในหุบเขาแล้วพวกท่านได้เข้ามาดูกันครั้งเดียวใช่ไหม” ชดถามขณะที่เกาะเอวบะจีไว้
“ใช่ พวกเราเข้ามาดูวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็ไม่มีใครมาอีกเพราะเกรงอันตราย”
“พวกท่านได้เข้าไปสำรวจดูข้างในหรือเปล่า” ชดถามต่อ
“ไม่มีใครกล้าเข้าไป อีกทั้งผู้อาวุโสญิผ่าห้ามไว้ว่าสิ่งที่มาตกนี้มันกระจายรังสีเลวทรามออกมา หากเข้าไปใกล้อาจทำให้ตาบอดและร่างกายผุพัง” หน่าเหงอะที่นั่งถัดไปตอบชด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครเห็นว่ามันมีขนาดใหญ่เล็กและอยู่ลึกสักเท่าใด” ชดพูด
“นั่นละที่อาจเป็นปัญหาของวันนี้” บะจีนายช่างใหญ่ของหมู่บ้านกล่าวตอบ
“เพราะหากชิ้นส่วนที่เราค้นหานั้นมีขนาดใหญ่และหนักเกินกว่ากำลังของจิมุ่ยและจิเม้าว์จะช่วยกันผลักไปกลางลำธารได้ เราก็จะไม่สามารถกำจัดมัน เรื่องลากเรื่องฉุดช้างน้อยสองตัวกับชาวบ้านอีกแปดสิบทำได้อยู่แล้ว แต่การจะโยนมันสู่โพรงน้ำวนเวลาเที่ยงวันนี้ข้ายังสงสัยอยู่ว่าจะทำกันอย่างไร”
ชดนึกชื่นชมในการพยายามประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าของบะจี สมแล้วที่เขาเป็นกำลังหลักในการก่อสร้างหมู่บ้านและดูแลเครื่องมือทำกิน
บนหลังจิเม้าว์ ขณะนี้ฤดีกำลังสอบถามญิผ่าถึงเรื่องคนแปลกหน้าที่จะเข้ามาที่หมู่บ้านเย็นวันนี้
“ต้องขออภัยนะคะ ที่ดิฉันอาจสงสัยไม่เข้าเรื่อง คือดิฉันอยากรู้ว่าท่านเห็นล่วงหน้าด้วยวิธีใด”
ญิผ่าผู้นั่งหลังตรงองอาจอยู่บนคอช้างน้อยเอี้ยวตัวตอบคำถามของฤดีว่า
“ข้าผ่านชีวิตมายาวนานตั้งแต่ฝึกหัดท่องบ่นมนตราเมื่อครั้งเป็นต้นไม้ในป่าหิน จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ข้าเรียนรู้จากโคเชนแทรกซึมซ่านอยู่ในกายข้าในทุกอณู จนเวลาผ่านไปห้าพันปีข้าพัฒนาร่างกายให้กลายเป็นคนและถอนร่างออกเดินทาง จากนั้นสองพันปีข้าบำเพ็ญพรตอย่างโดดเดี่ยวในป่าสนแห่งญาติของข้าหลังจากทราบว่าโคเชนถูกธนูปลิดชีพแล้วไปเกิดในร่างอินทรีและเดรัจฉานอื่นๆ
“ช่วงบำเพ็ญพรตนั้นข้าได้ฝึกจิตใจให้สงบนิ่งและพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวอันเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง เมื่อมองเห็นจนจบสิ้นแล้วข้าหันกลับเข้ามาศึกษาตนเองทั้งกายและใจ จนทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในจิตข้ารับรู้ทั้งภาพอดีตและอนาคต แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะเพ่งดูในทุกเรื่องหรอกนะ เพราะแท้จริงแล้วชีวิตเป็นสิ่งไม่มีสาระ เกิดขึ้นมาแล้วก็เสื่อมสลายไปทั้งสิ้น ข้าเลือกเกี่ยวข้องกับบางสิ่งเท่านั้น
“เดือนที่ผ่านมา หลังจากลูกไฟตกและระเบิดที่หุบเขาเบื้องหน้าที่เรากำลังใกล้จะถึง ข้ามองเห็นเภทภัยที่จะเกิดต่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย ข้าเห็นเมืองใหญ่พังพินาศผู้คนล้มตายโดยไม่เหลือซากสิ่งใดไว้ ทั้งเนื้อและกระดูกละลายไปในความร้อนดุจไฟนรก มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองจนข้ามิอาจหลับตาต่อไป แต่อนาคตเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการกระทำในปัจจุบัน
“ก่อนหน้านั้น ด้วยญาณของผู้บำเพ็ญพรต ข้ามองเห็นมนุษย์ที่กำลังทรมานกับความเจ็บป่วยและความตายจากโรคระบาด ข้าแจ้งบอกบรรดาผู้อาวุโสไว้ว่าปลายเดือนสามต่อต้นเดือนสี่จะมีคนดีกลุ่มหนึ่งเข้ามาด้วยจุดประสงค์ที่มุ่งช่วยเหลือผู้รับทุกข์ ท่านพิมะจึงให้ติ๊เบี่ยไปเฝ้าดูจากเนินเขา จนคืนหนึ่งเมื่อเห็นแสงไฟรถของท่านหลงวนเวียนอยู่ที่ป่าด้านตรงข้าม เจ้าพังพอนแสนกลของเราจึงออกเดินทางไปรับพวกท่านยังลานหินที่พวกท่านจุดตะเกียงสว่างไสว
“จากนั้นจิตของข้ามองเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าในเครื่องแบบ พวกเขาถืออาวุธร้ายและกำลังพยายามค้นหาว่าลูกไฟดวงนั้นไปตกที่บริเวณไหน พวกเขาปักหลักอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในสังกัดรัฐบาลของท่านไม่ห่างจากเทือกเขาผาชันมากนัก จนกระทั่งยามดึกเมื่อคืนนี้ครึ่งของหัวใจไม้หินได้กลับมารวมกันเป็นดวงเดียวอีกครั้งหลังจากแปดพันปีที่แยกจากกัน มันมีอานุภาพตัดคลื่นสนามแม่เหล็กที่เกิดจากเศษซากลูกไฟ พวกท่านสามารถรับสัญญาณจากเครื่องมือสมัยใหม่ที่เรียกว่าโทรศัพท์ คนพวกนั้นก็เช่นกันต่างโห่ร้องดีใจที่อุปกรณ์ทันสมัยสามารถแสดงจุดหมายของสิ่งที่พวกเขาใช้เวลาร่วมเดือนเพื่อค้นหา ก่อนตะวันพลบของวันนี้จะมีทหารกลุ่มหนึ่งปีนป่ายภูเขาเข้ามาสำรวจและพบหมู่บ้านนี้”