ทันใดนั้นเชนที่นั่งขัดตะหมาดหลับตาอยู่ก็ถอนหายใจสามครั้งและพยักหน้าราวกับระลึกถึงบางสิ่งได้ เขาลืมตามองตรงไปที่ญิผ่าโดยไม่กะพริบตาและเปล่งเสียงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงห้าวลึกซึ่งผิดแผกจากเสียงเดิม
“ไมราเซตี ผู้รอดชีวิตจากสายฟ้า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากข้าดื่มยางไม้ของเจ้าเพื่อให้ชีวิตเป็นอมตะและอพยพออกจากถิ่นอาศัยชายป่าไม้หินเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิพร้อมกับพี่น้องเผ่านกฟ้าเมื่อแปดพันปีที่แล้ว
“เจ้าไม้หอมของข้า พวกเราหลายสิบครอบครัวพากันย่ำเท้าผ่านภูมิประเทศอันน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะหนา ผ่านธารน้ำแข็งไปจนถึงผืนแผ่นดินใหญ่และทุ่งราบที่กว้างยาวสุดตา
“วันหนึ่งเราได้พบผู้คนต่างเผ่า พวกเขามีนัยน์ตาเฉียง ใบหน้ากลม ร่างเตี้ย ควบขี่สัตว์พาหนะอย่างแคล่วคล่องทั้งเด็กและผู้หญิง พวกข้าไม่เคยเห็นสัตวที่มีพละกำลังเช่นนั้นมาก่อนจึงหยุดยืนดู พวกเขาแปลกใจที่เห็นพวกข้าออกเดินทางด้วยสองเท้าเป็นกลุ่มใหญ่จึงทักทายไถ่ถามด้วยภาษาที่ข้าไม่เข้าใจ แต่ไม่นานเราก็สื่อสารกันได้ด้วยการใช้มือ ท่าทาง และเขียนวาดภาพลงบนพื้น
“หัวหน้าเผ่านกฟ้าได้บอกเล่าให้พวกเขารับรู้ว่าพวกเรากำลังแสวงหาดินแดนแห่งแสงแดดอุ่นเพื่ออยู่อาศัยอย่างถาวร พวกเจ้าถิ่นพยักหน้าและประกาศว่าพื้นที่แห่งนี้มีเจ้าของ ข่านของเขาดุร้ายเกินกว่าจะยอมให้คนแปลกหน้ามาอยู่ร่วมด้วย แต่พวกเขายินดีให้พวกเราพักแรมอยู่ในดินแดนนั้นระยะหนึ่งเพื่อฟื้นกำลัง
“พวกเราดีใจรีบสร้างเพิงพักให้เด็กและคนแก่และนำหนังสัตว์ป่าไปแลกอาหาร หลังจากข้าได้รู้ว่าบุตรชายคนเดียวของข่านป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ข้าจึงรับอาสาปรุงยาสมุนไพรไปมอบให้เขาที่กระโจมหลังกลมกว้างใหญ่ ไม่นานบุตรชายของข่านก็อาการทุเลาและหายขาด ข้าได้รับรางวัลเป็นม้าฝูงใหญ่และเสบียงอาหาร ข่านผู้ทรงอำนาจชักชวนข้าให้อยู่เป็นหมอประจำครอบครัว แต่ข้าปฏิเสธและกล่าวถ้อยคำถนอมน้ำใจโดยชี้แจงว่าจุดหมายปลายทางของพวกข้าอยู่ที่ทวีปเบื้องหน้า
“เมื่อข่านได้ฟังดังนั้น เขาก็พยักหน้าเข้าใจด้วยสัญชาตินักรบแห่งชนเผ่าผู้เคยร่อนเร่มานับสิบชั่วอายุคนจนได้ครองดินแดนทุ่งราบกว้างใหญ่แห่งนี้ เขารักน้ำใจข้าและมอบของขวัญอันข้าปฏิเสธไม่ได้ บุตรสาววัยสิบห้าผู้เชี่ยวชาญการยิงธนูบนหลังม้าและขับกล่อมอาชา เธอเป็นนักรบเก่งกล้าเยี่ยงบิดา ข้าโค้งคำนับข่านและทำพิธีรับนางไว้ในฐานะภรรยาและให้คำมั่นว่าข้าจะให้เกียรติและถนอมรักนาง หลังจากนั้นชาวนกฟ้าก็อำลาชนเผ่าผู้บัดนี้เกี่ยวดองเป็นญาติของข้า
“พวกเราเดินทางต่อไปจนสุดผืนดินแล้วต่อแพไม้ซุงข้ามมหาสมุทรที่ช่องแคบแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมต่อสองทวีป พวกเราเข้าสู่แดนที่หนาวเย็นอีกครั้งและพบเจอชนเผ่าที่ห่อหุ้มเนื้อตัวด้วยหนังหมีขาวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า พวกเขาสร้างบ้านด้วยน้ำแข็งตัดเป็นก้อนแล้วเรียงต่อกันเป็นรูปโดม ภายในบุด้วยหนังสิงโตทะเล พวกเขาชี้ทางให้พวกเราเดินทางต่อไปยังแผ่นดินใหญ่ ไม่นานจากนั้นพวกเราก็มาถึงที่ราบผืนกว้าง มีภูผาและลำห้วยพร้อมสมบูรณ์ พวกเราชาวนกฟ้าจึงปักหลักสร้างบ้านและดำรงชีพอยู่ ณ ที่นั้น ปลูกพืช ทำไร่ เลี้ยงม้าซึ่งพ่อตาของข้ามอบให้ มันขยายพันธุ์ออกไปจนเต็มท้องทุ่ง
“ข้าและเมียผู้เป็นธิดาของข่านสร้างกระโจมอยู่ด้วยกันตามประสา เราสองคนมีลูก มีหลานมากมายและพวกเขาตายจากไปตามอายุขัย เช่นเดียวกับชาวนกฟ้ารุ่นเดียวกับข้าที่ต่างแก่ชราและทิ้งร่างฝังดินนับไม่ถ้วน คนรุ่นต่อไปหลายสิบชั่วอายุต่างเกิดมา มีชีวิตอยู่ ต่อสู้ ทำมาหากิน ดิ้นรนกัน แล้ววันหนึ่งก็แก่ชราและตายลง
“ข้าเห็นวัฏจักรเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนข้าอายุได้สามพันปี ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเผ่านกฟ้าอยู่กันอย่างสันติ พวกเราพัฒนาความเป็นอยู่ในทุกสิ่ง ทั้งการทำปศุสัตว์ ปลูกพืช การประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้เพื่อทุ่นแรง รวมทั้งวิชาแพทย์ที่ข้ารวบรวมเป็นบทสวดเพื่อให้โวไวดารุ่นต่อไปจดจำเป็นทำนองอย่างที่ข้าเคยท่องเป็นเพลงในป่าไม้หินเมื่อนานมาแล้ว
“แต่แล้วความสงบสันติที่เคยมีก็ถูกรบกวนจากผู้อพยพเผ่าอื่นผู้กระหายเลือด พวกเขาปล้นม้าและสัตว์เลี้ยงของพวกเราไป นอกจากนั้นยังหมายเอาชีวิตข้าผู้ลุกขึ้นต่อต้านพวกเขา วันหนึ่งชายผู้สวมหัวเสือและผ้าคลุมเสือดาวพุ่งเข้ามาในกระโจมและเงื้อหอกขึ้น ข้าได้ยินเสียงหนึ่งร้องเตือน ข้าไหวตัวหลบและรอดชีวิต ข้ามองหาที่มาของเสียง แล้วความทรงจำก็ผุดขึ้นมา เสียงที่ข้าได้ยินคือเสียงของเจ้า ไมราเซตี ข้ารู้แท้ว่าเจ้าส่งกระแสใจช่วยข้าไว้
“ครั้นแล้วคราวเคราะห์ก็มาถึงตัวข้าในวันที่ฟ้ากระจ่าง ศึกสงครามระหวางเผ่านกฟ้าและเผ่าเสือดาวเพิ่งเริ่มขึ้น ขณะที่ข้าอยู่บนหลังม้าร่วมกับนักรบหนุ่มสาว ธนูนับพันดอกก็ระดมพุ่งเข้าใส่ มันปลิดชีวิตพวกเราโดยฉับพลัน ดวงวิญญาณข้าหลุดจากร่างลอยลิ่วเข้าสิงร่างอินทรีที่เหินผ่านและโผบินกลับสู่รวงรังของถิ่นนกฟ้าบนยอดเขา
“วันรุ่งขึ้นข้าบินร่อนมาดูพิธีฝังศพตัวข้าและเหล่านักรบที่ตายไปพร้อมกัน ข้าได้เห็นบุตรชายคนสุดท้องผู้ขยันหมั่นเพียรในการฝึกตนเป็นผู้เยียวยากำลังกล่าวคำสาบานรับตำแหน่งโวไวดา เขาคล้องสายหนังผูกเครื่องรางที่แปดเปื้อนเลือดจากหัวใจข้าไว้ มื่อข้าเห็นเช่นนั้นข้าร้องอวยพรเขาจากบนฟ้าและบินวนสามรอบก่อนอำลาพวกเขาไปอยู่เยี่ยงเดรัจฉานอินทรี แล้วเผ่านกฟ้าก็พ่ายแพ้ต่อผู้รุกรานต่อมาอีกหลายครั้งจนเราเหลือดินแดนแค่หนึ่งในสามของที่เคยมี
“สองพันปีต่อจากนั้นข้าเกิดแล้วตายกลายเป็นสัตว์หลายชนิดหลายชาติภพ ทั้งหมาป่า หมาใน ควายไบซัน เสือภูเขา แม้แต่งู กระรอก และสัตว์เลื้อยคลานสี่ขาข้าเป็นมาหมดแล้ว
“อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ข้าอยู่ในชาติกวางไพร ข้าบาดเจ็บจากลูกธนูของพรานไพรจึงหนีซมซานเข้าป่าไม้สนใบเดี่ยวจนได้พบนักพรตหญิงผู้หนึ่ง นางเห็นข้ามีธนูปักติดหลังใกล้หมดกำลัง นางจับข้าตรึงไว้ก่อนจะกรีดแผลและดึงลูกธนูออก จากนั้นนางสมานแผลให้ข้าพร้อมทั้งพูดปลอบประโลม ความที่ข้าเกิดและตายกลายเป็นสัตว์หลายชาติความทรงจำถึงการเป็นมนุษย์ได้สูญหายไปหมดสิ้น แต่ความกรุณาของนางได้ปลุกส่วนลึกของดวงจิตข้าขึ้นมา
“นางนักพรตทายาและป้อนอาหารอ่อนให้ข้าทุกวัน จนร่างกายข้าเข้าสู่ภาวะปกติ ช่วงระยะที่ได้รับความกรุณาจากหัวใจบริสุทธิ์ของนางผู้นั้นก่อให้วิญญาณดั้งเดิมแห่งการเป็นโวไวดาของข้าตื่นขึ้น หลังจากตายจากชาติกวางแล้วข้าได้ไปเกิดเป็นบุตรชายของสายเลือดข้าในแผ่นดินที่ดวงตะวันสาดแสงอันอบอุ่น จากนั้นข้าเวียนเกิดและตายอยู่ในชนเผ่านกฟ้ามาจนถึงรุ่นปัจจุบัน”
เชนจบคำพูดด้วยใบหน้านิ่งเรียบราวกับไม่รับรู้ต่อสิ่งรอบข้าง ดวงตาที่เปิดกว้างบัดนี้หลุบต่ำราวกับง่วงงุน เมื่อกลิ่นไม้กฤษณาจางลงและควันไฟที่ไหลเลื่อนเป็นภาพต่างๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมืดดำ เชนถอนหายใจสามครั้งแล้วกะพริบตา เขามองดูบรรดาผู้อาวุโสและเพื่อนร่วมทางพร้อมทั้งทำหน้าสงสัย
“จ้องผมทำไมครับอาโฮสุจา คุณลุงชด อะผ่า อินญาด้วย ผมมีอะไรผิดประหลาดหรือผมนั่งสัปหงกน้ำลายยืดไหล”
เชนถามพร้อมหันไปมองญิผ่าผู้ซึ่งมีใบหน้าสงบ เขานึกขึ้นได้ว่ากำลังฟังนางเล่าถึงการชุบชีวิตศพตายซากที่นางพบในทะเลทราย จากนั้นเขารู้สึกเหมือนวูบหลับไปชั่วครู่หนึ่ง
ทุกคนเงียบอึ้ง ญิผ่าเผยอปากยิ้มเล็กน้อยและกล่าวกับทุกคนว่า
“เอาละ พวกท่านโปรดทำตัวให้สบาย ข้าขอเวลาอีกไม่นานเพื่อบอกเรื่องราวต่อจากที่ผู้อาวุโสเล่าค้างไว้ ว่าพวกเราได้พบเจออะไรหลังออกจากอาณาจักรพระจักรพรรดิโดยติดตามขบวนราชทูต”
ชดคว้ากระบอกน้ำชามาดื่มทั้งที่ไม่รู้สึกกระหาย อะผ่า ฤดี และคนอื่นๆ ต่างไม่เอ่ยอะไรในเรื่องที่เกิดขึ้นกับเชน
ญิผ่าขยับตัวนิดหนึ่งและเล่าต่อ
“เหตุการณ์หกร้อยปีก่อนหน้านี้จากเมื่อครั้งที่ข่านของชาวอนารยชนผู้กลายเป็นจักรพรรดิได้อนุญาตให้พวกเราและช้างดึกดำบรรพ์สองตัวเดินทางออกจากพระนครแห่งวังใหญ่ เขาให้เหตุผลกับพวกเราว่าเพื่อความปลอดภัยเพราะขณะนั้นมีศึกเหนือเสือใต้มาประชิด เขาจึงมอบหมายให้ขบวนราชทูตซึ่งเขาส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีกับดินแดนภาคตะวันตกรับพวกเราร่วมเดินทางไปด้วย โดยมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา พวกเราขอบใจข่านที่เมตตาและไม่ปฏิเสธน้ำใจเขา
“คณะราชทูตรอนแรมจนถึงดินแดนของชาวศรีนครแห่งเทือกเขาหิมาลัย ราชทูตถวายสาส์นและพักแรมอยู่ ณ ที่พักอันเหมาะสม ส่วนข้าได้มีโอกาสถวายการรักษามเหสีอันเป็นสุดที่รักของมหาราชาแห่งแว่นแคว้นนั้นจนรอดชีวิตหลังจากนางคลอดราชบุตรองค์แรกและป่วยไข้จวนเจียนสวรรคต ข้าได้รับรางวัลเป็นเครื่องประดับเพชรนิลจินดามูลค่าประเมินเป็นเงินมิได้
“ฝ่ายราชทูตผู้ซึ่งองค์จักรพรรดิข่านมอบหมายภารกิจให้กระทำ พวกเขาเปิดการเจรจากับมหาราชาลับหลังพวกเรา เขากราบทูลมหาราชาว่าองค์จักรพรรดิข่านเสนอขอดินแดนอันมีทรัพยากรแร่ธาตุอันอุดมซึ่งอยู่ติดมณฑลด้านหนึ่ง สิ่งแลกเปลี่ยนคือช้างดึกดำบรรพ์สองตัวที่เหลืออยู่คู่เดียวในโลก ส่วนพวกข้าแปดคนแล้วแต่องค์มหาราชาจะโปรด พวกราชทูตกราบทูลเป็นเชิงขู่ว่าหากพระองค์ไม่ทรงยินยอม พวกเขาจะพาช้างและพวกเรากลับและวันหน้าอาจมีศึกใหญ่มาประชิดพระนคร
“องค์ประมุขแห่งชาวศรีนครตกลงใจยกดินแดนอันอุดมให้จักรพรรดิข่านผู้เจ้าเล่ห์แสนกล โดยรับพวกเราไว้ในดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัย
“หลังจากขบวนราชทูตอำลาไปพร้อมด้วยพระราชสาส์นที่ตีตราข้อตกลงลับ มหาราชาศรีนครพระองค์นั้นเรียกบรรดาผู้อาวุโสและข้าเข้าไปเฝ้าแล้วบอกความจริงว่า การที่พระองค์ยอมแลกเปลี่ยนดินแดนอันเต็มไปด้วยทรัพยากรสำคัญกับชีวิตของพวกเรานั้น เป็นเพราะพระองค์เล็งเห็นว่าเราแปดคนและช้างมีค่าจะเป็นอันตรายหากร่วมเดินทางกลับไปกับคณะราชทูตผู้เป็นข้ารับใช้ของข่านผู้ตระบัดสัตย์
“เมื่อทราบความจริงพวกเราต่างทรุดตัวลงคุกเข่าและหมอบคารวะในน้ำใจขององค์ราชา ในห้วงเวลานั้นเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว หิมะตกปกคลุมเทือกเขาหิมาลัยจนขาวโพลน พวกเราจึงขออนุญาตอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนั้นหนึ่งฤดู
“องค์มหาราชายินดีเป็นที่สุด พระองค์จัดที่พักอย่างดีเลิศให้เราและสร้างโรงช้างอันกว้างใหญ่ให้จิมุ่ยและจิเม้าว์ได้อยู่อาศัย อีกทั้งพระราชทานเสื้อผ้าเครื่องนุ่มแพรพรรณให้พวกเราสวมใส่ เหล่าผู้อาวุโสต่างตอบแทนพระองค์ด้วยการช่วยทำกิจการงานต่างๆเท่าที่ทำได้ในทุกทาง ส่วนข้าลงมือผสมยาขนานต่างๆถวายบรรดาพระราชวงศ์และแบ่งปันข้าราชบริพาร นอกจากนั้นยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิทยาการจากหมอหลวงทั้งหลาย
“ในบางเวลาข้าขอพระราชานุญาตตระเวนออกนอกพระราชวังเพื่อไปรักษาชาวบ้านที่อยู่ในถิ่นกันดาร ในขณะเดียวกันข้าทำการรวบรวมพืชพรรณต่างๆมาศึกษาค้นคว้าเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา พระราชาศรีนครเมื่อเห็นพฤติการณ์ของข้า พระองค์จึงสั่งมหาดเล็กให้นำราชรถเทียมม้าให้ข้าโดยสารเพื่อปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือชาวบ้านผู้เจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ซึ่งทำให้พระองค์เป็นที่รักยิ่งของปวงประชา
“พวกเราอยู่อาศัยในอาณาจักรศรีนครอย่างมีความสุขจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ อยู่มาวันหนึ่งช้างน้อยของเราก็พูดคุยกันด้วยภาษามนุษย์อีกครั้ง พวกเขาปิดปากเงียบมาตั้งแต่คราวที่เปิดการเจรจากับอดีตข่านแห่งชนเผ่าอนารยะผู้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิจนพวกเราถูกจับเป็นเชลย จิเม้าว์และจิมุ่ยคุยกันว่าเขาทั้งสองสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วหลังจากสงบวาจาและตั้งมั่นอยู่ในความสันติ พวกเขาให้อภัยและไม่คิดแค้นอาฆาตต่อผู้ที่กระทำร้ายต่อตน ซึ่งทำให้สาวน้อยทั้งสองได้รับผลแห่งการมุ่งมั่นประกอบความดี
“จากนั้นเมื่อหิมะละลาย พวกเราทุกคนก็เข้าไปในท้องพระโรงเพื่อกราบบังคมลามหาราชาผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตา พระองค์และพระมเหสีทรงมีพระพักตร์เศร้าหมองและบอกพวกเราว่า เนื่องด้วยขณะนี้เจ้าผู้ครองนครสุดแดนตะวันตกที่ได้ทราบข่าวว่ามีช้างดึกดำบรรพ์มาอาศัยอยู่ในพระราชฐาน เจ้าอันธพาลองค์นั้นจึงส่งตัวแทนมาขอเป็นเครื่องบรรณาการ พร้อมทั้งข่มขู่ว่าถ้ามหาราชาไม่พระราชทานให้ เขาจะส่งกองทหารมาย่ำยี
“มหาราชากล่าวว่าขณะนี้กองทหารของเจ้าครองนครผู้นั้นซุ่มดักอยู่ในป่ารอบอาณาเขต หากแม้พวกเราเดินทางไปก็จะได้รับอันตรายอีกทั้งช้างทั้งสองต้องถูกจับเป็นเชลย แต่หากพวกเรารั้งรออยู่ในราชอาณาจักร พระองค์จะปกป้องอย่างเต็มที่ แต่แน่นอนว่าต้องเสียเลือดเนื้อของทหารและประชาชนจนกระดูกกองท่วมแผ่นดิน
“เมื่อเราทราบความดังนี้ เรากราบบังคมก่อนเรียกจิมุ่ยและจิเม้าว์ในร่างใหม่ให้ปรากฏตัวต่อหน้าพระที่นั่ง สาวน้อยแก้มกลม ตัวป้อม เดินโยกซ้ายโยกขวาเข้าไปคุกเข่าและกราบทูลว่า
‘ขอพระองค์ทรงอย่าได้ห่วง พวกเราไม่ต้องการให้ราษฎรและทหารกล้าต้องสละชีวิตโดยเสียเปล่า โปรดเรียกผู้แทนเจ้านครองค์นั้นมารับกระหม่อมฉันทั้งสองในวันพรุ่งนี้ เราพร้อมเดินทางไปกับพวกเขาในคราบช้าง และเมื่อพ้นเขตอาณาจักรหิมาลัยไปแล้วเราทั้งคู่จะกลายร่างเป็นคนและหนีไป’
“องค์มหาราชาและพระมเหสีเห็นดังนั้นทรงแปลกพระทัยและปีติด้วยไม่นึกว่าช้างสูงใหญ่จะสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ นอกจากนั้นยังเจรจาพาทีฉลาดล้ำ สองพระองค์ทรงมองสาวน้อยทั้งคู่ที่นั่งคู้กายอยู่เบื้องหน้าและพูดคุยสอบถามความเป็นมา จากนั้นมหาราชาทรงถอนพระทัย
‘เจ้าทั้งสองยังเป็นเด็กอยู่แต่ก็รู้คิดหาวิธีช่วยเราป้องกันอาณาจักรและชีวิตประชาชน โดยยอมตนเป็นตัวประกันแล้วจะหาทางหนี ข้ารู้สึกละอายที่ไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้จนต้องจำยอมให้พวกเจ้าออกเดินทางไปกับเหล่าคนพาลสันดานหยาบ’
จิมุ่ยและจิเม้าว์กล่าวพร้อมกันว่า
‘ข้าแต่มหาราชา พวกเราทั้งสองมิได้เดินทางโดยโดดเดี่ยว เรามีผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและนางแม่หมอผู้ชุบชีวิตเราไปด้วย ขอพระองค์โปรดบอกกับพรรคพวกของเจ้านครตะวันตกว่าท่านเหล่านี้เป็นควาญช้าง หลังจากนั้นพวกเราจะหาทางหนีเข้าป่าและเดินทางกันต่อไป’
“เมื่อช้างน้อยกล่าวจบบรรดาผู้อาวุโสและข้าพากันขานรับว่าเรายินดีทำตามแผนการที่ช้างน้อยวางไว้ องค์มหาราชาเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารไปบอกผู้แทนของเจ้านครให้มารับช้างดึกดำบรรพ์ทั้งสองพร้อมด้วยควาญทั้งแปดในฐานะเครื่องบรรณาการในวันรุ่งขึ้น
“เมื่อถึงเพลาเช้า บรรดาผู้แทนของเจ้านครอันธพาลพร้อมด้วยกองทหารเดินตบเท้าเข้ามาในเขตพระราชฐาน จิมุ่ยและจิเม้าว์ทรงเครื่องช้างงามสง่ายืนรอพวกเขาอยู่บนลาน บรรดาผู้อาวุโสและข้าต่างยืนประจำข้างเท้าช้างทั้งสองตัว เมื่อองค์มหาราชาทำพิธีส่งมอบแล้ว พระองค์สั่งปืนใหญ่ยิงขึ้นฟ้าสิบนัดเป็นการอำลาพวกเราอย่างสมเกียรติ บรรดาพระราชวงศ์และข้าราชบริพารพร้อมทั้งชาวบ้านยืนตั้งแถวส่งพร้อมโบกมือและกล่าวคำอวยพร
“จากนั้นเหล่าทหารของเจ้าผู้ครองนครสุดแดนตะวันตกได้คุมตัวพวกเราออกเดินทางจากอาณาจักรแห่งหุบเขาหิมาลัย ช้างน้อยทั้งสองถูกล่ามเท้าด้วยโซ่ใหญ่เพื่อกันหนี เวลาผ่านไปสองวันก็ล่วงพ้นราชอาณาเขต
“ตกค่ำของคืนที่สามขณะบรรดาผู้คุมและทหารในค่ายต่างหลับไหลด้วยฤทธิ์ยาที่ข้าผสมลงไปในน้ำดื่ม พวกเราแปดคนสะพายสัมภาระไปรอรับจิมุ่ยและจิเม้าว์ที่ถูกผูกล่ามไว้ในเพิงพัก เมื่อถึงเวลานัด ช้างดึกดำบรรพ์สองตัวก็กลายสภาพเป็นเด็กสาวหน้ากลมรูปร่างอ้วนป้อม เสียงโซ่ใหญ่หล่นกราวๆลงพื้นดิน พวกเรารีบห่มเสื้อผ้าให้ทั้งคู่และพากันหนีเข้าป่าลึก เมื่อลัดเลาะเลียบเชิงผาแล้วจึงข้ามลำห้วยใหญ่โดยนั่งหลังช้างน้อยผู้แข็งแกร่งและฉลาดเฉลียว
“ห้าเดือนผ่านไป ฤดูหนาวเวียนมาอีกครั้ง พวกเราลุถึงสำนักผู้ทรงศีลแห่งหนึ่งและขออยู่อาศัยหลบความหนาวอันรุนแรง
“เจ้าสำนักยินดีต้อนรับและแบ่งที่พักให้พวกเรา ระหว่างนั้นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและข้าต่างช่วยพระหุงหาอาหาร ทำความสะอาดโรงสวด ซ่อมแซมกุฏิ กวาดหิมะ อีกทั้งร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านเหล่านั้น จิมุ่ยและจิเม้าว์ต่างพึงใจที่ได้อยู่ใกล้นักบวช ช้างทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงสวดมนตร์ทั้งคู่ก็นั่งคู้เข่าสวดตาม ซึ่งทำให้เป็นที่เอ็นดูรักใคร่ของเหล่าเณรน้อยทั้งหลาย พวกเขาพากันมาเล่นปีนป่ายขึ้นหลังช้างไม่เว้นวัน
“วันหนึ่งพวกเราเห็นพระเณรขนผักผลไม้หลายเข่งแบกหามไป พวกเราถามไถ่ว่าพวกท่านจะไปที่ไหน พระรูปหนึ่งบอกว่าจะนำไปให้หมู่บ้านคนโรคเรื้อนในหุบเขาเบื้องหน้า พวกผู้อยู่อาศัยที่นั่นต่างอดอยากยากไร้ไม่มีอาหารกินและมีชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญ สำนักแห่งนี้ต้องนำผัก ผลไม้ ถั่ว เต้าหู้ และเกลือไปให้พวกเขาสัปดาห์ละครั้ง ก่อนหน้าที่จะเจ็บป่วยกันทั้งหมู่บ้าน พวกเขาเคยอุปถัมภ์พระเณรอยู่เป็นประจำโดยนำผลผลิตมาถวายเพื่อประกอบอาหาร ถึงคราวเคราะห์พวกเขาเจ็บป่วยกันทั้งหมู่บ้าน เจ้าสำนักจึงสั่งให้พระเณรเกื้อกูลตอบแทนให้เต็มกำลัง
“พวกเราได้ฟังก็รู้สึกสงสารและขอรับอาสานำเสบียงอาหารไปส่ง แล้วผู้อาวุโสกับข้าก็ขึ้นนั่งหลังจิมุ่ยและจิเม้าว์พร้อมบรรทุกสิ่งของที่จำเป็นเดินข้ามภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนไปสองลูกก็ถึงหมู่บ้านโรคเรื้อน เราเห็นหนุ่มสาวหลายสิบคนอยู่ในสภาพน่าเวทนาร่างกายเต็มไปด้วยแผลพุพอง น้ำเหลืองไหลย้อย พวกเขาเดินหนีเราด้วยความละอายในรูปร่างและใบหน้าที่เสียโฉมน่าสังเวช เมื่อเห็นดังนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายจึงกวักมือเรียกพวกเขามาและทำท่าบอกพวกเขาว่าเรานำอาหารของผู้ทรงศีลมาส่งให้
“ชาวโรคเรื้อนผู้หุ้มห่อร่างกายด้วยเสื้อผ้าเก่าขาดต่างหวั่นกลัวช้างสูงใหญ่ทั้งสองที่ยืนจังก้าอยู่เบื้องหลัง เจิ่วมะจึงปลอบโยนโดยให้จิมุ่ยและจิเม้าว์สวดมนตร์ตามที่ได้ยินพระลามะท่องบ่นยามทำวัตรทุกเช้าค่ำ พวกชาวบ้านโรคเรื้อนเมื่อได้เห็นก็ประหลาดใจ พวกเขาจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนตัวหลังชะง่อนหินโดยที่ต่างคลุมผ้าปกปิดร่างกายและใบหน้าที่มีแต่รอยแผลปุ่มป่ำส่งกลิ่นน่าคลื่นเ**ยน พวกเรากันช่วยขนเสบียงอาหารไปวางไว้หน้าที่พักอันน่าสังเวช
“พวกเขากล่าวขอบคุณเซ็งแซ่และสอบถามว่าพวกเราเป็นใครและจะไปไหน เราทุกคนต่างประหลาดใจที่ได้ยินภาษาอาข่าจากปากของชาวหมู่บ้านในหุบเขาของพระลามะ พิมะจึงซักไซ้จนได้รับรู้ว่าหญิงชายแปดสิบคนนี้เป็นลูกหลานชาวอาข่าสายที่สาม บรรพบุรุษสายนี้อพยพจากแหล่งกำเนิดด้านทิศเหนือของเมืองจีนเพื่อหนีศึกสงคราม โดยเดินเท้าไปตามเทือกเขาที่ทอดยาวและตั้งหลักแหล่งตามชายแดนของหลายมณฑล ภายหลังต้องย้ายถิ่นเมื่อถูกก่อกวนจากทหารฝ่ายต่างๆ จนในที่สุดก็มาถึงหุบเขาแห่งนี้อันเป็นที่สงบเพราะเป็นดินแดนแห่งผู้ถือพรต พวกเขาจึงตกลงใจตั้งรกรากสร้างหมู่บ้านอาศัยอยู่ติดต่อกันมาหลายชั่วคน
“ผู้เป็นหัวหน้าเล่าถึงสาเหตุที่พวกเขาเป็นโรคเรื้อนกันทั้งหมู่บ้านว่า...
‘วันหนึ่งมีกลุ่มผู้เดินทางผ่านมาจากแดนไกล หนึ่งในนั้นเป็นโรคเรื้อนที่รักษาไม่หายและถูกทิ้งไว้กลางทาง พวกเราเวทนาจึงช่วยกันอุ้มเขาเข้าไปอาศัยในเพิงพักท้ายหมู่บ้านและนำอาหารไปส่ง แต่ไม่นานเราก็เริ่มติดโรคนี้จากคนที่สัมผัสเขาครั้งแรก มันระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วหมู่บ้านภายในระยะเวลาไม่ถึงปี เด็กเล็กคนเฒ่าชราและผู้อาวุโสทุกตำแหน่งต่างตายไปสิ้นเพราะไม่มีใครมีกำลังดูแลป้อนอาหารหยูกยา เหลือเพียงหนุ่มสาวแปดสิบคนที่มีชีวิตรอดอยู่ด้วยเมตตาจากสำนักผู้ทรงศีลที่นำข้าวผักและผลไม้มาให้ทุกเจ็ดวัน’
“เมื่อได้ฟังดังนั้นข้าเรียกช้างน้อยให้นำตะกร้าสมุนไพรลงจากหลังและขอร้องให้คะมาทั้งสองอีกทั้งบะจีและหน่าเหงอะช่วยกันก่อสร้างศาลาใหญ่ ผู้อาวุโสเจิ่วมะ พิมะ และบูแซะช่วยจัดการพาคนป่วยหนักที่นอนอยู่ในโพรงถ้ำออกมาและสอบถามอาการของแต่ละคนก่อนทำการรักษา จากนั้นข้าชะโลมน้ำมันยาและให้ผู้ป่วยดื่มสมุนไพรผสมกับเลือดสีขาวขุ่นของข้าปริมาณมากน้อยแล้วแต่ความหนักเบาของโรค
“ผู้อาวุโสและข้าเดินทางไปกลับเพื่อเยียวยาพวกเขาแปดสิบคนทุกวันจนถึงปลายฤดูหนาวหิมะเริ่มละลาย ชาวหมู่บ้านที่หายจากโรคร้ายได้พากันเดินทางมาที่สำนักผู้ทรงศีลและกล่าวขอบคุณเจ้าสำนักทั้งพระเณรและพวกข้าที่ช่วยเอื้อเฟื้อเมตตาแบ่งปันทั้งอาหารและรักษาพวกเขา เจิ่วมะบอกกับทุกคนในที่นั้นว่าอีกไม่กี่วันพวกเราจะเดินทางลงใต้เพื่อไปหาที่อยู่อันเหมาะสม
“เมื่อคนไข้ทั้งแปดสิบของข้าได้ยินดังนั้นก็ขอเดินทางอพยพตามไปด้วย ข้าบอกกับพวกเขาว่าเราต้องผ่านเส้นทางทุรกันดารและอาจมีภยันตราย พวกเขาบอกว่าตนเฉียดผ่านความตายมาแล้ว ชีวิตที่เหลือก็ไม่มีอะไรยาก ขอแค่ได้ติดตามเราไปช่วยกันสร้างที่อยู่อาศัยแห่งใหม่และสืบต่อชีวิตเยี่ยงชาวอาข่า พวกเขาจะปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกพืชเลี้ยงตัวและรักษาประเพณีไว้
“พระลามะเจ้าสำนักแจ้งบอกว่าชาวหมู่บ้านนี้สมควรต้องอพยพไปตั้งหลักแหล่งใหม่ เนื่องด้วยอีกไม่นานน้ำแข็งที่ยอดเขาจะละลายไหลท่วมหุบเขา ภูมิอากาศแถบนี้แปรปรวนติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ท่านมองเห็นเค้าลางที่จะเกิดภัยพิบัติใหญ่จึงขอเตือนมามิใช่ขับไล่ไสส่ง
“เมื่อผู้อาวุโสและข้าได้ฟังก็ปรึกษากัน จากนั้นพวกเราตกลงยอมรับให้ชาวหมู่บ้านทั้งแปดสิบคนร่วมเดินทางไป เราทุกคนกราบลาเจ้าสำนักอย่างซาบซึ้ง ท่านลามะและพระเณรต่างสวดอำนวยพรให้พวกเราทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ระหว่างทางข้าได้ผสมเลือดของข้าละลายสมุนไพรให้บรรดาผู้ร่วมทางได้ดื่มเพื่อให้มีกำลังต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ผลจากการนี้ทำให้พวกเขามีอายุขัยสูงกว่าคนธรรมดาหลายร้อยปี
“พวกเราผ่านแนวป่าและเทือกเขาสูงตลอดเส้นทางจนบรรลุถึงแคว้นกะฉิ่นทางเหนือของพม่าและตั้งหมู่บ้านอยู่ที่ภูเขาแห่งหนึ่ง เมื่อสร้างบ้านอยู่อาศัยกันเรียบร้อยแล้ว บรรดาผู้อาวุโสทั้งเจ็ดต่างทำหน้าที่เป็นครูให้หนุ่มสาวทั้งหลายผู้ซึ่งอยู่กันเยี่ยงมิตรสหาย เนื่องจากพวกเขาเป็นญาติพี่น้องจึงไม่อาจแต่งงานกันได้ พวกเขาใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ถือบวชเช่นเดียวกับพระเณรที่สำนักผู้ถือศีล ส่วนจิมุ่ยและจิเม้าว์ก็มีชีวิตอย่างสุขสบายและซ่อนตัวในร่างคนโดยมีแต่พวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งคู่เป็นช้างดึกดำบรรพ์ สาวน้อยตัวป้อมและชาวบ้านแปดสิบตนต่างร่วมกันสวดมนตร์ทำสมาธิตามที่ฝึกหัดมาจากสำนักพระลามะ ซึ่งบรรดาผู้อาวุโสไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดประเพณีของชาวอาข่าและยังสนับสนุน
“ช่วงระยะเวลาที่เราอยู่อาศัยบริเวณชายแดนแคว้นกะฉิ่น เราได้สมาชิกใหม่ผู้เป็นสัตว์เดรัจฉานโดยกำเนิด แต่พวกเขามีสำนึกเยี่ยงมนุษย์และพัฒนาจิตใจให้ก้าวหน้าจนสามารถเรียนรู้ภาษาคน ซึ่งนอกจากพังพอนแสนกลที่นำทางท่านมาจนถึงที่หมู่บ้านนี้แล้ว เรายังมีเสือปลา เลียงผา แมวป่า ลิง ชะนี และนกแก้ว ซึ่งท่านได้พบกับพวกเขาแล้วในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ผ่านมา
“พวกเราอยู่อย่างสันติมาได้ระยะหนึ่ง ต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศจีนและพม่ามีความไม่สงบ พวกเราถูกรบกวนจากทหารของชนกลุ่มน้อยและกลุ่มใหญ่ที่กำลังสู้รบ เราจึงย้ายถอยร่นอีกสองสามครั้งจนมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นี่เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว”
ญิผ่าหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไป
“เร็วๆนี้พวกเราจะอพยพกันอีกเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อกลับสู่ถิ่นกำเนิดของแต่ละคน อายุขัยของข้าและเหล่าผู้อาวุโสรวมทั้งชาวบ้านแปดสิบคนใกล้จะหมดแล้ว เราประชุมตกลงพร้อมเพรียงกันว่าเราจะกลับไปฝังร่างลงในผืนแผ่นดินที่เราจากมาในครั้งแรก ซึ่งเรื่องนี้เป็นกิจการภายในของพวกเรา ข้าคงไม่บรรยายรายละเอียดให้เสียเวลาพักผ่อนของท่าน ”
ชดก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ห้าทุ่มครึ่งแล้ว แต่เขายังไม่รู้สึกง่วงแต่อย่างใด เขาหันไปมองฤดีซึ่งปกติต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ แต่คืนนี้ดูเธอตาสว่าง เช่นเดียวกับสุจา อะผ่า อินญา รวมทั้งเชนที่มีท่าทีกระตือรือร้นที่ได้รับฟังเรื่องราวที่ญิผ่าเล่า เหล่าผู้อาวุโสต่างนั่งขัดตะหมาด เปลวไฟจากไม้ฟืนที่บะจีเพิ่งซุนเข้าไปในกองถ่านสะบัดส่องแสงมลังเมลือง เสียงน้ำตกที่ไหลแรงประดุจเสียงดนตรีจังหวะเร้าใจลอยประสมประสานกับกลิ่นดอกไม้ป่าและกลิ่นสมุนไพรที่โชยแผ่วจากกองไฟ