ฤดีฟังที่อะผ่าเล่ามาถึงตอนนี้เธอก็นึกถึงสายสัมพันธ์ของชาวอาข่าที่แน่นแฟ้นกลมเกลียว โดยทุกคนไม่ว่าจะมาจากหมู่บ้านไหนต่างถือว่าตนเป็นเครือญาติ เพราะพวกเขามีบรรพบุรุษคนเดียวกันคือซุมมิโอ แม้แต่ชาวอาข่าจากประเทศจีนและพม่าที่เคยมาสัมมนาร่วมกับมูลนิธิหมี่ยะ-โนอาห์ พวกเขาก็สามารถไล่เรียงชื่อบรรพบุรุษของตนลงมาจนถึงลำดับห้าสิบกว่าจึงได้พบว่าตนเกี่ยวข้องกับชาวอาข่าหลายตระกูลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
“น่าแปลกจริงๆ จ้ะ แล้วเคยมีใครได้พบพิมะผมมวยอีกไหมหลังจากวันนั้น” ฤดีถาม
“ผมเองหลังกลับมาที่เชียงใหม่และเขียนรายงานส่งคุณโนอาห์แล้ว ผมก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปเพราะต้องขึ้นชั้นเรียนใหม่ มีเรื่องต้องต่อสู้เรียนรู้หลายอย่างที่โรงเรียน พอปีถัดไปผมกลับหมู่บ้านผมก็ไม่ได้ยินใครพูดถึงพิมะแปลกหน้าที่มาช่วยสวดศพอีกเลย ผมคิดว่าเป็นเพราะไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากหมู่บ้านไหน ไม่รู้ที่มาที่ไป ก็เลยไม่มีอะไรให้พูดถึง”
“มีคนแปลกหน้าเข้ามาที่หมู่บ้านผาแดงบ่อยไหม” ฤดีถาม
“เมื่อก่อนนี้มีบ้างครับที่มีคนจากต่างถิ่นเข้ามาร่วมงานโล้ชิงช้า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการหาคู่ของผู้ชายชาวเขา ผู้หญิงบ้านผมบางคนก็แต่งงานกับหนุ่มหมู่บ้านไกล หลายครั้งมีพ่อค้าแปลกถิ่นเข้ามาขายของ เช่น พวกจีนฮ่อเดินทางเป็นกลุ่มมาจากยูนนานนั่นเลย ขี่ม้าตัวเล็กๆ ม้าพวกนี้ทรหดอดทน พวกมันบรรทุกของหนักมาก พวกจีนฮ่อเอาเครื่องใช้ไม้สอยมาแลกเปลี่ยนกับของป่าจากเรา แต่นานทีปีหนจึงจะเห็น สักสองสามปีครั้งหนึ่งมั้งครับ เวลาพวกเขามาพวกเด็กๆ จะวิ่งตามกันเป็นหมู่ๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว”
อะผ่าเล่าด้วยสีหน้ามีความสุขเมื่อนึกถึงวัยเด็กอันสนุกสนานเมื่อครั้งอยู่ในหมู่บ้านที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ
“แต่ที่เดินดุ่มๆ มาคนเดียวนี่ไม่ค่อยมี เพราะหมู่บ้านผมอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านอื่นมาก เส้นทางก็ลำบาก อีกทั้งไม่ใช่ทางผ่าน”
เขาหยุดไปอึดใจหนึ่ง แล้วเล่าต่อ
“ตอนที่ผมยังเด็ก คุณโนอาห์ก็เคยขับรถขึ้นมาสำรวจหมู่บ้าน พาเจ้าหน้าที่มูลนิธิมาด้วยสองคน พวกเขาเอารถโฟร์วีลบุกป่าขับเลียบริมผาเข้ามา ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นฝรั่งผิวขาว”
ฤดีพยักหน้าหงึกๆ และพูดยิ้มๆ
“อะผ่า เธอรู้ไหม เจ้าหน้าที่มูลนิธิที่บุกบั่นไปบ้านผาแดงกับคุณโนอาห์คราวนั้น นอกจากอาโฮหมี่ยะแล้วก็มีครูด้วยคนหนึ่ง สิบหกปีมาแล้ว เธอคงจำครูไม่ได้ และจริงๆเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากวิ่งตามรถตั้งแต่ในไร่จนถึงหมู่บ้าน พอรถจอดเธอก็ชะโงกหน้าเข้าไปที่หน้าต่าง วิ่งไปรอบๆ มุดเข้าไปดูข้างใต้และทำท่าจะขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย ครูบอกคุณโนอาห์ว่าถ้าเด็กคนนี้เรียนจบชั้นประถมก็ให้เขาไปสมัครเป็นนักเรียนทุนมูลนิธิของเรา แล้วสามปีต่อมาเด็กคนนั้นก็ได้เข้าไปเรียน ม.1 ที่เชียงใหม่”
อะผ่าจ้องมองฤดีอีกครั้ง เขายกมือขึ้นเขกหัวตัวเอง
“อ้อ คุณครูฤดีคือผู้หญิงคนนั้นเอง คนที่ให้ขนมพวกเด็กกิน ผมจำไม่ได้จริงๆ ต้องขอโทษด้วยครับ”
“ไม่เป็นไร ครูรู้ตัวว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาครูแก่ลงไปเยอะ ผมเปลี่ยนจากดำเป็นขาว จากผมยาวเป็นผมสั้น ครูเลิกสวมใส่กางเกงยีนส์เพราะมันเริ่มระคายเนื้อตัว และตอนนี้ครูต้องสวมแว่นหนา” ฤดีนึกเห็นภาพตนเองในสายตาของเด็กชายอะผ่าวัยเก้าขวบในครั้งนั้น “แต่เธอก็เปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งกว่าครู จากเด็กซนๆหน้าตามอมแมมตัวเล็กนิดเดียว ตอนนี้เธอเป็นผู้ใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างล่ำสัน มีมัดกล้าม และเรียนจบจากวิทยาลัยเทคนิคซึ่งเป็นสายอาชีพที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง”
อาตุเดินลัดเลาะข้างสวนเข้ามาและบอกให้ทั้งสองไปกินอาหารเช้า
“อาโฮสุจาเตรียมสำรับกับข้าวไว้พร้อมแล้วครับ”
“ขอบใจจ้ะอาตุ ครูเริ่มหิวพอดี เราไปกันเถอะอะผ่า”
อะผ่ารีบลุกขึ้นก่อนฤดี เขารอจนเธอออกจากที่นั่งแล้วจึงเดินตามหลังไปพร้อมอาตุ อากาศยามเช้าปลายเดือนมีนาคมที่บ้านหมี่ยะ-โนอาห์เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก ความร้อนจากแสงอาทิตย์แผ่กระจายครอบคลุมราชธานีแห่งภาคเหนือ หมอกฝุ่นควันกระจายตัวอยู่โดยรอบ ปีนี้เป็นปีที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยข่าวร้ายของประเทศและของมูลนิธิแห่งนี้
หมี่ยะและสุจารออยู่แล้วที่โต๊ะอาหารในครัว ขณะที่ญาติพี่น้องหมี่ยะผู้มาจากหมู่บ้านนั่งล้อมวงรอบขันโตกหลายชุดที่จัดวางอย่างเหมาะสมบนลานชั้นล่าง มีเสื่อไม้ไผ่สีน้ำตาลปูทับพื้นกระเบื้อง อะผ่าแยกไปนั่งรวมกลุ่มกับบรรดานักเรียนทุนรุ่นเก่าที่อยู่ช่วยงานศพตั้งแต่เมื่อคืน
“นอนหลับดีไหมคะพี่ฤดี” หมี่ยะร้องถาม
“หลับสนิทตลอดคืนค่ะ หมี่ยะล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง” ฤดีเดินเข้ามาและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“หมี่ยะนอนหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ ฝันอะไรไม่รู้วุ่นวาย กว่าจะได้หลับจริงๆก็ดึกแล้ว” หมี่ยะตอบ ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มของเธอดูซูบเซียวห่อเหี่ยว สุจาจัดวางชามข้าวลงตรงหน้าทุกคนอย่างเงียบๆ เขาสวมใส่ชุดกระโปรงสีดำ และสวมเสื้อกั๊กที่ปักลวดลายของชาวอาข่าทับอีกชั้น
“หนูทำข้าวต้มนะคะ พี่ฤดี จะได้ย่อยง่ายๆ ตอนบ่ายค่อยกินอาหารหนักกัน” สุจาผู้รับหน้าที่แม่ครัวใหญ่บอกฤดีเสียงเบา แล้วก็บ่นเรื่องหาซื้อของได้ไม่ครบ “เมื่อเช้าออกไปตลาดจะหาไข่มาทำกับข้าว ปรากฏว่าหาซื้อไม่ได้เลยค่ะ ไข่ขาดตลาด ผู้คนพากันกักตุนอาหาร เพราะเขากลัวว่าหากรัฐบาลสั่งให้อยู่กับบ้านแล้วจะไม่มีอะไรกินก็เลยพากันขนซื้อทุกอย่างจนหมดร้านของชำ”
“พี่ว่าพวกพ่อค้าคงเก็บไว้ขายเอากำไรมากกว่า ลองไปที่ห้างตอนสายๆดูสิ จะเจอสินค้าที่เราต้องการอยู่ในนั้นแต่อีกราคา” หมี่ยะพูดและปลอบสุจาว่า “สุจาเหนื่อยมากแล้ว ปล่อยให้พวกนักเรียนช่วยบ้าง พวกเขามากันหลายคน”
“พี่เองก็ต้องขอบใจสุจามาก อุตส่าห์ตื่นไปตลาดแต่เช้า มานั่งทานพร้อมกันดีกว่านะ” ฤดีรอจนสุจามานั่งที่โต๊ะ จากนั้นอาหารมื้อเช้าก็เริ่มขึ้นพร้อมกับบทสนทนา
“พี่ฤดีอ่านจดหมายของคุณโนอาห์แล้วใช่ไหมคะ” หมี่ยะถามด้วยความอยากรู้
“ค่ะ พี่อ่านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ฤดีตักข้าวต้มใส่ปากอย่างช้าๆ “คุณโนอาห์เขียนมายาวมาก มีเรื่องที่เขาอยากให้พวกเราช่วยกันทำอย่างเร่งด่วน จริงๆ คำว่าพวกเรานั้นหมายถึงพี่กับอะผ่าและอินญา หลานสาวเขาน่ะค่ะ”
“อินญาจะมาถึงวันพรุ่งนี้ตอนค่ำนะคะพี่ฤดี” หมี่ยะบอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เขาออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ดึกคืนวานเวลาบ้านเราเพื่อไปขึ้นเครื่องที่นิวยอร์ก มีเที่ยวบินสุดท้ายบินข้ามทวีปมาทางเอเซียก่อนที่ทุกสายการบินจะยุติกิจการชั่วคราว อินญาน่าจะถึงกรุงเทพฯ พรุ่งนี้บ่ายและรอเที่ยวบินหัวค่ำจึงจะถึงเชียงใหม่”
“ดีจัง ทันร่วมพิธีสวดศพคืนสุดท้าย น่าเหนื่อยแทนกับการรอต่อเครื่องบินหลายทอดกว่าจะถึงที่หมาย” สุจาพูด
“แต่โชคดีที่เขาหาตั๋วเครื่องบินได้” หมี่ยะตอบ เธอถอนหายใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องดำเนินไปขณะหัวใจเธอยังเศร้าโศกและถูกบีบคั้นจากความกดดันของเหตุการณ์ต่างๆรอบตัว
“แล้วในจดหมายคุณโนอาห์ที่บอกว่าจะให้พี่กับอินญาและอะผ่าทำด้วยกันนี่มันอะไรคะ บอกให้หนูรู้บ้างได้ไหม” สุจาเงยหน้าขึ้นถามฤดี
“เดี๋ยวเรากินอาหารเสร็จแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง เพราะเรื่องมันค่อนข้างยาวค่ะ” ฤดีบอก
หลังอาหารเช้าฤดีชวนหมี่ยะและสุจาหลบไปนั่งคุยในห้องสมุด ฤดีใช้เวลากว่าสิบนาทีในการบอกเล่าถึงรายละเอียดที่โนอาห์สั่งเสียไว้ในจดหมาย ตั้งแต่เท้าความถึงโรคระบาด เฮมาลอยด์ ที่ทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายมากขึ้นทุกภูมิภาคของโลก รวมทั้งภารกิจเร่งด่วนในเรื่องการสืบสานภูมิปัญญาของผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ในหมู่บ้านอันเป็นโครงการที่ต้องใช้เวลาทำต่อเนื่องไปอีกนานนับปี
จากนั้นจึงมาถึงส่วนสำคัญเรื่องรายงานของอะผ่าที่เขาถอดความคำสวดของพิมะผู้หนึ่ง ซึ่งหน้าสุดท้ายมีข้อความหกย่อหน้ากล่าวถึงเหตุการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นในปีหนู ซึ่งก็คือปีนี้ตามการตีความของโนอาห์ ต่อด้วยภารกิจที่เขามอบหมายให้ฤดี อินญา และอะผ่าร่วมมือกันทำ ซึ่งก็คือการออกเดินทางไปที่หมู่บ้านริมธาร เพื่อไปพบญิผ่าผู้หนึ่ง เขาเชื่อว่านางจะมอบตัวยามาให้รักษาผู้คนที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ในขณะนี้
“เมื่อเช้าพี่ได้คุยกับอะผ่า พี่คิดว่าเขาเหมาะสำหรับภารกิจนี้ เหลือที่ต้องคุยกับอินญาเท่านั้น หากมะรืนนี้อินญาเดินทางมาถึงและพักผ่อนหายเหนื่อยแล้ว พี่จะเช็คดูว่าเขาพร้อมสำหรับเรื่องนี้หรือเปล่า”
สุจาจ้องหน้าฤดีและพูดเสียงเข้ม
“พี่จะเดินทางโดยไม่ชวนหนูไปด้วยใช่ไหมคะ อย่าบอกนะว่าพี่จะไปกันแค่สามคน”
ฤดีนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง อันที่จริงแล้วเธอควรมีเพื่อนคู่ใจไปด้วยเพื่อปรึกษาหารือขณะเดินทาง แต่สุจามีงานสำคัญที่ต้องทำเช่นกัน
“สุจาคะ หมี่ยะต้องการกำลังใจอย่างมากระยะนี้นะ คุณโนอาห์ไม่อยู่แล้ว เราต้องช่วยกันดูแลมูลนิธิและนักเรียนทุนนับสิบคนที่อยู่รอบนอกและที่หอพัก สุจาต้องอยู่ที่นี่ค่ะ จะไปหัวหกก้นขวิดกับพี่ไม่ได้”
ฤดีพูดเสียงหนักแน่น แต่แววตาของเธอมองสุจาด้วยความอ่อนโยนอย่างยิ่ง
“พี่ฤดีพูดถูกนะสุจา” หมี่ยะพูด “คุณโนอาห์ไม่ได้เขียนบอกไว้ในจดหมายว่าจะให้สุจาร่วมทีมไปด้วย เป็นเพราะเขารู้ว่าสุจาต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่ ตอนนี้งานศพก็ยังไม่เสร็จ อย่าเพิ่งพูดอะไรไปล่วงหน้าดีกว่า ขอให้เราผ่านสามวันนี้ไปก่อนจนถึงวันฝังคุณโนอาห์ที่สุสานคริสต์ จากนั้นเราค่อยตกลงกันว่าจะเอาอย่างไร”
หมี่ยะโอบบ่าสุจาไว้และถอนหายใจ เธอเศร้าและเหนื่อยเกินกว่าจะคิดถึงเรื่องเนื้อความในจดหมายของโนอาห์ที่ฤดีเล่าให้ฟัง เหตุการณ์นอกรั้วบ้านที่ผู้คนรอบตัวต่างวิตกกังวลกับการระบาดของโรคร้ายจากไวรัส เฮมาลอยด์ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกตึงเครียด
สุจาลดความดึงดันลงอย่างว่าง่ายเมื่อเห็นใบหน้าหมองคล้ำของหมี่ยะ
“ตกลงค่ะ หนูจะยังไม่เรียกร้องอะไร รอให้ผ่านสามวันนี้ไปก่อน”
“ช่วงนี้พี่ไม่ขอรบกวนจิตใจหมี่ยะมากกว่านี้ ขอให้เราช่วยกันจัดงานศพคุณโนอาห์ให้ลุล่วงจนถึงวันทำพิธีฝัง แล้วพี่จะคุยเรื่องนี้อีกครั้ง จากนั้นต้องรีบเดินทางอย่างเร็ว เพราะสถานการณ์โรคระบาดนับวันยิ่งเลวร้าย หากเริ่มกันเร็วเท่าไรก็จะยิ่งมีผลดีมากขึ้นเท่านั้น เราอาจช่วยเหลือผู้คนได้นับล้านชีวิต”
“ขอบคุณพี่ฤดีมากค่ะ พี่เป็นคนที่เข้าใจหมี่ยะเสมอ เราไปกันเถอะ” หมี่ยะพูดและชวนทั้งสองออกจากห้องสมุดเพื่อไปร่วมพิธีพร้อมกับคนอื่นๆ
ฤดีใช้เวลาช่วงบ่ายปลีกตัวกลับมาที่ห้องสมุดอีกครั้ง เธอนั่งอ่านจดหมายของโนอาห์ซ้ำอีกรอบ โดยเฉพาะในเรื่องคำสวดหน้าสุดท้ายของรายงานที่อะผ่าเขียนมา
...เรื่อยมาจนถึงปีหนูหิว ผีร้ายจากป่าออกอาละวาด เข้ากัดกินผู้คนจนเลือดไหลโซมกาย ลมหายใจติดขัด ตัวร้อนดังไฟ จากนั้นจึงสิ้นชีพไปทุกคน
มันแผ่สยายเข้าไปทุกแห่งหน เข้าสิงคนทุกเผ่าพันธุ์ เด็กน้อย หญิง ชาย คนแก่ ผิวขาว ผิวดำ มั่งมี สิ้นไร้ ไม่มียกเว้น ไม่มีใครหยุดผีร้ายเหล่านี้ได้...
...มีหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมธาร ซ่อนตัวหลังน้ำตกแห่งภูผาดำปลายเทือกเขาสีแดง
ผู้เป็นญิผ่าแห่งหมู่บ้านนี้สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายลงแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ นางผู้มีอายุขัยอันยาวนานได้ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้มานับไม่ถ้วนด้วยเมตตา
ผีร้ายแห่งปีหนูหิวจะถูกกำจัดหากท่านเดินทางไปพบหาและขอตัวยาจากนางผู้มีกำเนิดจากพรรณไม้
อนึ่ง ปลายเดือนสามต่อเดือนสี่มีเภทภัยบางประการที่ท่านต้องร่วมมือกันขจัดเพื่อให้โลกมนุษย์ปลอดภัย...
จะเป็นอย่างไรถ้าเธอเอาสิ่งที่เธอกำลังอ่านนี้ส่งให้หน่วยงานราชการในพื้นที่และขอความร่วมมือจากพวกเขาให้ช่วยระดมกันค้นหาหมู่บ้านริมธารเพื่อตามหาตัวญิผ่าผู้สามารถบอกตัวยารักษาโรคที่กำลังระบาด และให้พวกเขานำมันออกมารักษาผู้คน
แค่คิดฤดีก็นั่งกุมขมับแล้ว ไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานไหนหรือแม้แต่คนทั่วไปที่ได้ยินเรื่องพวกนี้จะเชื่อเธอ มันเป็นแค่นิยายเพ้อฝัน เธออาจถูกพวกเขาตั้งข้อสงสัยว่าจิตใจไม่ปรกติ ขนาดนักวิจัยทางการแพทย์ของประเทศก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทุกทวีปร่วมมือกันยังทำไม่สำเร็จ แล้วเธอกลับเอาข้อความไร้สาระอย่างนี้ไปทำให้พวกเขาเสียเวลาอันมีค่า ยามนี้ทุกคนต้องดูแลตนเองและสังคม ไม่ใช่มาล้อกันเล่นอย่างนี้
ฤดีนั่งจ้องตัวหนังสือในจดหมายของโนอาห์
ไม่มีทางอื่นแล้ว เธอต้องทำตามที่เขาบอก มันเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่เธอสามารถทำได้
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2020
พิธีศพของโนอาห์ผ่านไปแล้วสองคืน ชดมาร่วมงานคืนนี้เป็นคืนที่สามซึ่งเป็นคืนสุดท้าย เขาไม่ได้เข้าไปในห้องโถงซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนทั้งหญิงชาย แม้ว่าชาวอาข่าจากหมู่บ้านจะไม่ใช่กลุ่มที่เป็นพาหะของโรคระบาด อีกทั้งไวรัส เฮมาลอยด์ ที่กำลังเป็นภัยอยู่นี้สามารถติดต่อกันได้โดยการสัมผัสร่างกายกันเท่านั้น แต่ชดก็ติดนิสัยระแวดระวังตัวไว้
นอกเหนือจากความผูกพันกับโนอาห์แล้ว เหตุผลที่ชดมางานศพทั้งสามคืนเป็นเพราะเขารู้สึกว่าชีวิตที่บ้านสันกำแพงช่างว่างเปล่าเมื่ออยู่ห่างจากครอบครัว ซึ่งซูซานภรรยาของเขาและเคธลินลูกสาวคนเดียวหลังจากนัดแนะกับเขาล่วงหน้าว่าจะมาอยู่ด้วยกันต้นเดือนเมษายน แต่พอถึงเวลานั้นทั้งสองกลับเดินทางมาไม่ได้ สืบเนื่องจากผลของโรคระบาดที่ทำให้รัฐบาลอังกฤษสั่งปิดประเทศห้ามการเดินทาง ดังนั้นบ้านหมี่ยะ-โนอาห์ในขณะนี้จึงเป็นแหล่งพักใจของชดเพราะมีเพื่อนเก่าที่เขาจะได้พบและพูดคุยคลายเหงา สุจาเป็นหนึ่งในนั้น
เย็นวันนี้ชดและสุจานั่งศีรษะชนกันเหมือนกำลังปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญที่ลานหน้าบ้านซึ่งมองเห็นคนผ่านไปผ่านมาได้ตลอดเวลา หมี่ยะและฤดีกำลังทำหน้าที่รับแขกและโอภาปราศรัยกับผู้มาแสดงความเสียใจ
หนึ่งทุ่มผ่านไปหลังจากผู้มาร่วมงานค่อยๆ ทยอยกลับเกือบหมดแล้วเหลือแต่ชาวอาข่าจากหมู่บ้านที่เป็นญาติพี่น้องของหมี่ยะนั่งอยู่ในห้องโถงอันเป็นสถานที่ตั้งศพของโนอาห์ ผู้เป็นพิมะร่ายคำสวดต่อเนื่องไปเป็นคืนที่สาม
เมื่อถึงเวลาสองทุ่ม ชดและสุจายังนั่งคุยกันด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง ทันใดนั้นรถโดยสารสี่ล้อแดงคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาส่งผู้โดยสารถึงข้างในบ้าน ทุกคนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบพากันจ้องมองหนุ่มสาวชาวต่างประเทศสองคนที่ก้าวออกมาจากท้ายรถพร้อมกับยกกระเป๋าเป้เดินทางใบใหญ่ลงมาด้วย เมื่อโชเฟอร์ได้รับค่าโดยสารเป็นธนบัตรใบละห้าร้อยแล้วเขาก็รีบถอยรถออกไปโดยไม่ทอนสตางค์
หญิงสาวผู้ลงจากรถโดยสารมายืนเก้กังเหลียวมองไปรอบๆ เธอสวมเสื้อยืดแขนยาวพอดีตัว กางเกงยืดเนื้อหนาสีเข้มห่อหุ้มสะโพกและท่อนขาที่เหมือนนักกีฬาของเธอไว้ เธอมีผิวขาว ใบหน้าตกกระ ผมสีส้มอมแดงยาวแค่ต้นคอ ความสูงของเธอเท่ากับผู้ชายไทยโดยเฉลี่ย ส่วนชายหนุ่มที่มาด้วยกันนั้นมีรูปร่างบึกบึน ตัวสูงกว่าหญิงสาวราวหนึ่งฝ่ามือ เขามีผิวสีน้ำตาล หน้าผากกว้าง โครงหน้าสี่เหลี่ยม จมูกไม่โด่งมากนัก โหนกแก้มสูง กรามเป็นสัน ริมฝีปากบางและยาว นัยน์ตาคมกล้า คิ้วสีดำเข้มเช่นเดียวกับสีผมที่ถักเปียสองข้างยาวถึงกลางหลัง นอกจากนั้นเขายังสวมห่วงเงินที่ติ่งหูทั้งสองข้าง
“อินญามาแล้ว สุจาช่วยรับหลานด้วยจ้ะ”
เสียงหมี่ยะดังมาจากระเบียงชั้นบน สุจาตะโกนรับคำและผละจากชดเดินทอดน่องไปที่หนุ่มสาวทั้งสอง จากนั้นเขาก็เอ่ยปากร้องทักผู้มาใหม่เป็นภาษาอังกฤษ
“เฮลโล เวลคัม เวลคัม เธอคืออินญาใช่ไหม ฉันชื่อสุจา ฉันเป็นเพื่อนกับโนอาห์และหมี่ยะ ฉันนึกว่าหนูจะมาคนเดียว ทำไมไม่บอกว่าพาเพื่อนมาด้วยจ๊ะ จะได้เตรียมจัดห้องไว้ต้อนรับ หรือว่านอนห้องเดียวกัน” สุจาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานหยอกเย้าและหันมามามองเชน “เวลคัมจ้ะ รูปหล่อ ยินดีต้อนรับ ช่วยบอกหน่อยซิว่าเธอเป็นใคร”
“สวัสดีครับ คุณอาสุจา ยินดีที่ได้รู้จัก ผมชื่อเชนครับ ผมเป็นเพื่อนอินญา เรารู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยมต้นครับ” เชนตอบด้วยสำเนียงอเมริกันพร้อมขยับมือทักทาย เขายิ้มกว้างอวดฟันขาว
“อาโฮสุจา สวัสดีค่ะ ดีใจที่เจอตัวจริงเสียที คุณลุงโนอาห์เล่าเรื่องอาโฮให้อินญาฟังเยอะแยะเลยค่ะ เชนเป็นเพื่อนรักของอินญา เขาเพิ่งตัดสินใจมากับอินญาก่อนเดินทางไม่ถึงสิบชั่วโมง อินญาไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะพาเพื่อนมาด้วย ต้องขอโทษจริงๆค่ะ”
หญิงสาวตอบพร้อมกับเดินเข้าไปกอดสุจาอย่างสนิทใจ
“ไม่ต้องกลัวติดโรคจากอินญานะคะ อินญาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วเพื่อเอาใบรับรองแพทย์มาซื้อตั๋วเครื่องบิน เชนก็ตรวจร่างกายแล้วเช่นกัน เราสองคนผ่านระบบคัดกรองจากสนามบินทุกแห่งโดยไม่มีปัญหาค่ะ”
“แหมพูดยาวเลยหลานฉัน อาโฮไม่ได้โกรธอินญาเลยจ้ะ แค่ดีใจและตื่นเต้นที่ได้เจอหน้าหลานรักของคุณโนอาห์” สุจาหอมแก้มอินญาทั้งสองข้างแล้วทำจมูกฟุดฟิด “นี่เดินทางกันมาสามวันไม่ได้อาบน้ำเลยใช่ไหม”
อินญาและเชนมองหน้ากันแล้วหัวเราะเขิน เชนอธิบาย
“เราสองคนรอต่อเครื่องบินนานมากครับ เราต้องเข้าคิวตรวจวัดอุณหภูมิทั้งสี่ด่าน ตั้งแต่ที่สนามบินมิสซูรี ที่เจเอฟเคนิวยอร์ก ที่สุวรรณภูมิกรุงเทพฯ และที่สนามบินเชียงใหม่ เราไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้ามาสามวันแล้วครับ ต้องขอโทษคุณอาด้วยที่ส่งกลิ่นรบกวน”
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก รูปหล่อ ฉันแค่เย้าเล่น นั่นป้าหมี่ยะกับคุณอาฤดีมาแล้ว ที่เดินตามติดมาคือลุงชดจ้ะ” สุจาชี้ไปข้างหลังอินญาและเชน
หมี่ยะเดินเข้ามา เธอมีสีหน้าดีใจที่ได้พบหน้าหลานสาวของสามีผู้ล่วงลับผู้มาพร้อมกับชายหนุ่มผมยาว เธอส่งเสียงทักทายด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงเดียวกับของโนอาห์และอินญา
“อินญา สวัสดีจ้ะ นี่เชนใช่ไหม ทำไมไม่บอกว่าจะมาด้วย ดีใจที่ได้เจอกันอีก”
“สวัสดีค่ะป้าหมี่ยะ”
อินญาเดินเข้าไปหาหมี่ยะที่กางแขนรับอย่างรักใคร่
“สวัสดีครับคุณป้าหมี่ยะ ขอบคุณที่จำผมได้” เชนก้มตัวโอบหมี่ยะไว้และหอมแก้มเธอหนึ่งครั้ง
“โอ้ เชน ฉันต้องจำเธอได้สิ โนอาห์กับฉันไปเที่ยวบ้านของเธอมาแล้วนี่นา อินญาอุตส่าห์ขับรถข้ามภูเขาข้ามแม่น้ำไปหลายชั่วโมงเพื่อจะพาเราไปรู้จักครอบครัวเธอ พ่อกับแม่สบายดีอยู่ไหมจ๊ะ” หมี่ยะถามเชน
“สบายดีครับ ช่วงนี้ท่านเก็บตัวอยู่กับบ้าน รัฐบาลไม่ให้คนแก่ออกไปไหน ปกติก็ไม่ค่อยได้เที่ยวอยู่แล้ว นอกจากขับรถไปสอนวัฒนธรรมของชนเผ่าให้เยาวชนในค่ายเป็นบ้างครั้ง”
ดวงตาเชนเป็นประกายยามเขาเอ่ยปากพูด
“ผมขออนุญาตพ่อกับแม่เดินทางมากับอินญา เพราะผมเพิ่งคิดได้ว่าน่าจะมาฝึกงานเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิสักระยะหนึ่ง ผมหวังว่าคุณป้าคงไม่ว่าอะไรนะครับ” เขาวิงวอนด้วยสายตา
“ป้าไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ดีใจเสียอีกที่จะมาช่วยกันทำงาน วิญญาณคุณโนอาห์คงรับทราบจึงช่วยพาเชนมาถึงที่นี่ เพราะตอนนี้ทางมูลนิธิต้องการคนสนับสนุน อินญาก็น่าตีจริงๆ น่าจะบอกป้าก่อนว่าเชนมาด้วย ป้าจะได้จัดห้องดีๆไว้ให้พัก”
หมี่ยะพูดและมองทั้งสองด้วยแววตาเอ็นดู
“จริงๆคือเชนกับอินญาอยากจะเซอร์ไพรส์คุณป้า อินญาต้องขอโทษด้วยนะคะเพราะไม่ทันนึกว่าคุณป้าต้องลำบากเรื่องจัดหาที่พักเพิ่ม”
อินญาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นัยน์ตาสีเขียวมรกตส่งประกายวิบวับด้วยความรู้สึกผิดทำให้หมี่ยะต้องเอื้อมมือไปลูบแก้มหญิงสาว
“เรื่องเล็กน่าอินญา บ้านเรามีที่พักเยอะแยะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พอทำพิธีฝังคุณโนอาห์เสร็จช่วงบ่ายพวกญาติพี่น้องของป้าก็กลับหมู่บ้านกันหมด เกสต์เฮาส์จะมีห้องว่างหลายห้องเลยละ”
หมี่ยะกอดอินญาอีกครั้งและหันไปเห็นฤดีกับชดที่ยืนอยู่เงียบๆ หลังสุจา
“อินญาจ๊ะ เชนด้วย คนนี้คือคุณอาฤดี และคนนี้คือลุงชด ทั้งสองเป็นคนไทย และเป็นเพื่อนสนิทของคุณโนอาห์”
อินญาและเชนทักทายฤดีกับชดด้วยการพนมมือไหว้ตามที่เรียนรู้จากหนังสือเกี่ยวกับประเพณีไทย
“สวัสดีค่ะ คุณอาฤดี คุณลุงชด” อินญายิ้มกว้าง
“สวัสดีครับ” เชนทักทาย นัยน์ตาเขาเป็นประกายสอดรับกับมุมปากที่ขยับขึ้น
“สวัสดีจ้ะ อินญา เชน” ฤดีทักทายตอบ เธอพิจารณาหนุ่มสาวแปลกหน้า
“ยินดีที่รู้จักครับคุณทั้งสอง ขอต้อนรับสู่เชียงใหม่ดินแดนล้านนา” ชดตอบเป็นภาษาอังกฤษติดสำเนียงลอนดอน เขามองเชนอย่างสนใจ ในวัยหนุ่มชดเคยเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติไปทัศนาจรทั่วภาคเหนือทั้งชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ชาวอเมริกัน ชาวยุโรป ชาวตะวันออกกลาง แม้กระทั่งชาวแอฟริกัน แต่เขาไม่เคยเห็นคนที่มีเค้าโครงหน้าและรูปร่างหน้าตาเหมือนเชน
“คุณอาฤดีมีเรื่องใหญ่จะคุยกับอินญาพรุ่งนี้นะจ๊ะ แต่ตอนนี้หิ้วกระเป๋ามา ป้าจะพาไปที่ห้องพัก คืนนี้เชนนอนที่หอพักนักเรียนไปก่อนนะ ส่วนอินญาไปพักห้องคุณโนอาห์บนเรือนใหญ่ ป้าจัดห้องรอไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รีบอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเจอกันที่ครัว จากนั้นค่อยไปเคารพศพคุณโนอาห์”
หมี่ยะกล่าวกับหนุ่มสาวทั้งสองและเดินนำหน้า สุจาแว่บออกไปเมื่อสักครู่แล้วเพื่อเตรียมอาหารค่ำให้สองหนุ่มสาวผู้มาใหม่ เวลาขณะนี้สองทุ่มกว่า แขกผู้มาร่วมงานหลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นอิ่มกันแล้วก็ทยอยลากลับไป ส่วนพิมะและผู้ช่วยยังนั่งร่ายคำสวดอย่างต่อเนื่องไปเป็นคืนที่สาม