ตอน อินญา อะผ่า และเชน (1)

4402 คำ
บทที่ 2 อะผ่า อินญา และเชน  รุ่งเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2020 วันที่สองของงานศพโนอาห์ ฤดีตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างตามความเคยชิน ขณะยังอยู่ในที่นอนซึ่งเป็นฟูกบางๆ ปูด้วยผ้าทอมือสีน้ำเงินไม่มีลวดลาย ฤดีควานหาแว่นตาก่อนเอื้อมมือเปิดโคมไฟดวงเล็กริมผนัง สุจาช่างรอบคอบ เธอนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจ เมื่อคืนนี้เขาจัดหาสิ่งของจำเป็นทุกอย่างมาใส่กระท่อมนี้ขณะที่เธอใช้เวลาสองชั่วโมงนั่งอ่านจดหมายของโนอาห์ในห้องสมุด เมื่อนึกถึงห้องสมุด ฤดีรีบคว้าเอกสารที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาอ่าน มันคือรายงานของอะผ่าที่เขียนไว้เมื่อสิบปีก่อนด้วยภาษาอังกฤษพื้นฐาน ฤดีนอนอ่านรายงานนั้นไปทีละหน้า เธอไม่พบว่ามีอะไรน่าสงสัย มันเป็นการแปลบทสวดของพิมะผู้หนึ่งที่ร่ายในงานศพของผู้อาวุโสซึ่งเป็นพิมะเช่นกันที่หมู่บ้านผาแดงเมื่อ ค.ศ.2010 ฤดีอ่านทุกตัวอักษรไปจนถึงหน้าสุดท้ายที่โนอาห์คัดลอกใส่จดหมายของเขา ซึ่งเธอได้อ่านข้อความหกย่อหน้านั้นไปแล้ว โทรศัพท์มือถือของฤดีชาร์จแบตไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เธอเก็บเอกสาร ถอดสายโทรศัพท์ก่อนหยิบขึ้นมาเปิดอ่านข้อความต่างๆ จากเพื่อนสนิทหลายคน...ชดเขียนมาสวัสดีตอนเช้าและบอกว่าจะมาร่วมงานศพช่วงหัวค่ำ... เอียด พยาบาลประจำโรงพยาบาลอำเภอแม่สรวยผู้เป็นเพื่อนเก่าของเธอและทุกคนในกลุ่มเขียนมาทักทาย เธอเล่าว่าผู้ป่วยจากโรค เฮมาลอยด์ ที่อำเภอแม่สรวยเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง เธอแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะบุคลากรที่โรงพยาบาลมีไม่เพียงพอ เธอทำได้แค่ผลัดกันงีบกับเพื่อนร่วมงานที่เข้าเวรด้วยกันซึ่งคนหนึ่งติดโรคไปแล้วและต้องกลายเป็นผู้ป่วยเสียเอง ฤดีเลื่อนไปอ่านข้อความของเจ็งผู้เป็นนักธุรกิจที่กรุงเทพฯ เธอเขียนมาทักทายฤดีอย่างอ่อนหวานและบอกเล่าว่าช่วงนี้เธอทำงานหนักเพราะต้องเร่งการผลิตที่โรงงานเพื่อให้มีสินค้าอุปโภคบริโภคเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เธอกำหนดราคาขั้นต่ำไว้เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสได้ซื้อ อีกทั้งคอยดูแลการทำงานของคนในบริษัท “หนูกำชับพนักงานทุกคนว่าใครยักยอกสินค้าเอาไปขายต่อ หนูจะไล่ออก” และ “ประชาชนเดือดร้อนกันมากมายจากสถานการณ์โรคระบาด ห้างร้านปิดตัว คนตกงานกันทั้งประเทศ หนูจะเอาแต่หากำไรแต่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร คราวนี้เป็นโอกาสที่จะให้เพื่อตอบแทนสังคม” ฤดียิ้มและรู้สึกภูมิใจที่เธอมีเพื่อนดีหลายคน จากนั้นเธอเลื่อนหน้าจอไปดูข่าวรอบโลก มีสถิติการกระจายตัวของไวรัส เฮมาลอยด์ ที่น่าตกใจ ผู้คนในประเทศต่างๆมีอัตราตายเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้แทบจะเป็นทวีคูณ ฤดีผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วเธอจะปล่อยให้เหตุการณ์เลวร้ายผ่านไปโดยที่เธอเอาแต่งอมืองอเท้าอยู่เช่นนี้หรือ ในเมื่อโนอาห์ทั้งที่เจ็บป่วยใกล้ถึงวาระสุดท้ายยังมีน้ำใจนึกถึงเพื่อนมนุษย์อื่น เขาอดทนนั่งพิมพ์จดหมายพร้อมอธิบายชี้แจงและขยายความเพื่อให้เธอเข้าใจ เขาไม่ได้ให้เธอทำเพื่อตัวเขาหรือเพียงเพื่อชาวอาข่าเท่านั้น เขาต้องการให้เธอเดินทางไปยังหมู่บ้านริมธารซึ่งตั้งอยู่หลังน้ำตกแห่งภูผาดำ เพื่อไปพบญิผ่าผู้หนึ่งซึ่งจะบอกตัวยารักษาโรคที่กำลังเป็นภัยคุกคามชีวิตผู้คนทั่วไป เรื่องนี้เหมือนจะเป็นเรื่องไร้สาระ ในเมื่อมีผู้คนเจ็บป่วยหลายแสนคนทั่วโลก แม้แต่ห้องทดลองวิจัยของประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างจีน ญี่ปุ่น สหรัฐ เยอรมนี รัสเซีย และอังกฤษ ยังไม่สามารถคิดค้นตัวยาขึ้นมารักษาโรค เฮมาลอยด์ ได้ ดังนั้นยาสมุนไพรของญิผ่าจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร หรือหากมีความเป็นไปได้ มันจะมีเพียงพอสำหรับคนในประเทศไหม ไม่ต้องพูดถึงทั่วโลก แต่ฤดีตัดความสงสัยไปแล้วในเรื่องที่ว่าคำทำนายนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะก่อนนอนเมื่อคืนนี้เธอตั้งใจไว้ว่าหากเธอได้พบอะผ่าและเมื่ออินญาเดินทางมาถึง เธอจะเล่าให้พวกเขาฟังถึงสิ่งที่โนอาห์ฝากฝังไว้ให้เป็นปฏิบัติการเพื่อมนุษยชาติ โดยเธอจะสอบถามความเห็นของทั้งสองว่าคิดอย่างไร เธอมั่นใจว่าอะผ่าต้องยินดีที่จะไปผจญภัยเพื่อความสนุกสนานและอินญาคงพอใจที่จะไปเพิ่มพูนประสบการณ์เพื่อเติมเต็มความรู้ด้านวิชาการมานุษยวิทยา แต่ฤดีต้องการมากว่านั้น เธอต้องการให้ทั้งอินญาและอะผ่าเชื่อในภารกิจที่ทั้งสามต้องกระทำร่วมกัน เธอยิ้มอยู่ในใจเมื่อนึกถึงคำว่า “กอบกู้โลก” เธอเคยอ่านหนังสือนิทานที่มีวีรบุรุษผู้กล้าหาญกระทำการช่วยเหลือโลกมนุษย์ให้พ้นจากเงื้อมมือสัตว์ประหลาดจากดาวดวงอื่น ฤดีหวังว่าเธอคงไม่ต้องใช้คำนี้ในการพูดโน้มน้าวบุคคลทั้งสอง เธอต้องการทีมที่มีความมุ่งมั่นและมีแนวคิดเดียวกัน กล่าวคือพวกเขาต้องตระหนักถึงความสำคัญของภารกิจว่ามันสามารถช่วยเหลือมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง ในส่วนลึกของฤดี เธอไม่อาจแน่ใจได้ว่าเมื่อตามหาญิผ่าผู้นี้จนพบแล้ว ตัวยาที่นางมอบให้นั้นจะสามารถรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยโรคระบาดในขณะนี้ได้หรือไม่ เธอเองติดตามข่าวทุกวันและรู้ว่าขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขของประเทศต่างๆกำลังเร่งหาทางผลิตยารักษาโรคที่เกิดจากไวรัส เฮมาลอยด์ อยู่ ความยากอยู่ที่ไวรัสชนิดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อวันหนึ่งห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์สามารถผลิตยารักษาโรคนี้ได้ แต่หากมันกลายพันธุ์ออกไป ยาที่ผลิตออกมาก็จะใช้ไม่ได้ผล ฤดีคิดไว้ว่าเธอมีทางเลือกอยู่สองทางในเวลานี้ ทางที่หนึ่ง เธอจะไม่เอามาเป็นภาระให้เปลืองหัวคิดในข้อที่ว่าอินญาและอะผ่ามีอุดมการณ์เช่นเดียวกับเธอหรือไม่ในการค้นหาหมู่บ้านลึกลับ หากพวกเขาตกลงใจร่วมเดินทางไปด้วยก็ถือว่าเธอมีผู้ช่วยครบตามที่โนอาห์กำหนดไว้ ทางที่สอง หากทั้งคู่ไม่ใช่ทีมที่เธอจะทำงานด้วยอย่างสนิทใจ เธอต้องหาทีมใหม่ หรือเสริมทีมให้แข็งแกร่งด้วยผู้คนที่จะเชื่อในสิ่งเดียวกัน มีความมุ่งมั่น และเต็มใจที่จะเดินทางไปโดยมีเป้าหมายสำคัญคือ เพื่อนำตัวยาออกมา แล้วใครจะเป็นทีมใหม่หรือเข้ามาเสริมทีมกับเธอ ฤดีปิดโทรศัพท์มือถือและลุกขึ้น กลิ่นยาสมุนไพรแห้งในกระท่อมของอาผี่ญิผ่าอวลเคล้ากับกลิ่นดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบบริเวณสวน แสงแดดอ่อนลอดชายคากระท่อมเข้ามาให้แสงสว่างนวลตา หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ฤดีเปิดประตูกระท่อมด้านหน้าออกไป เธอชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งเงียบอยู่คนเดียวที่ม้านั่งหินในลานสวนนอกแนวรั้วไม้ไผ่ เขาหันมาเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดและยกมือไหว้เธออย่างนอบน้อม “อุดุถ่องมะ อาผี่” เขาเรียกฤดีว่าคุณยาย! “สวัสดีค่ะ” ฤดีรับไหว้พร้อมกับพิจารณาผู้ที่กำลังลุกขึ้นยืน เขามีร่างกายล่ำสันแข็งแรง ส่วนสูงเท่ากับผู้ชายไทยทั่วไปโดยประมาณ โครงหน้าชัดเจนเหมือนชาวอาข่ารุ่นเก่าที่เธอเคยเห็นตามหมู่บ้านชายแดน เขาจ้องมองฤดีด้วยแววตาแจ่มใสบอกลักษณะซื่อตรง เชิ้ตลายตารางและเสื้อกั๊กสีดำมีลายปักตามแบบประเพณีที่เขาสวมทับอยู่ดูเหมาะสมกับรูปร่างและใบหน้าโบราณนั้น กางเกงยีนส์สีซีดและรองเท้าผ้าใบมอมแมมบ่งบอกถึงความทรหดอดทนของมันในการรับใช้ผู้สวมใส่ “ผมอะผ่าครับ” ชายหนุ่มผู้นั้นแนะนำตัว “อาผี่ใช่ครูฤดีหรือเปล่าครับ” “ค่ะ ง้าเชอเมียวฤดี ” ฤดีแนะนำตัวเองขณะเดินไปที่โต๊ะหินอ่อน “อ้อ ครับ คุณโนอาห์เขียนข้อความสั่งไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วให้ผมมารอพบครูฤดีที่งานศพ” ชายหนุ่มพูดเสียงดังฟังชัด “อ้อ อย่างนั้นหรือ” ฤดีพึมพำพลางหย่อนตัวนั่งบนม้าหินด้านตรงข้ามชายหนุ่ม มีเสียงสวดแว่วมาจากเรือนหลังใหญ่ พิธีศพยังต้องดำเนินต่อไปตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีกสองวันเต็ม “ผมมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน แต่ไม่เห็นครูครับ” อะผ่าพูดต่อ “ครูนั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่ในห้องสมุดน่ะค่ะ” ฤดีตอบพลางมองอะผ่าอย่างสำรวจ “คุณโนอาห์บอกว่าครูมีเรื่องสำคัญจะคุยกับผม” อะผ่าพูด ฤดีสังเกตเห็นความตรงไปตรงมาในคำพูดและท่าทีของอะผ่า อาตุหลานชายของหมี่ยะลัดเลาะมุมสวนเข้ามาตามทางเดินปูหินแผ่นหนา ในมือเขาถือถาดใส่ถ้วยกาแฟมีฝาปิดมาด้วยพร้อมกับถ้วยน้ำชา “อาโฮสุจาบอกให้เอามาให้ครูครับ” อาตุบอกพร้อมกับวางถาดนั้นลงบนโต๊ะหินอ่อน “ขอบใจมากอาตุ” ฤดีทรุดตัวลงนั่ง เธอส่งถ้วยน้ำชาให้อะผ่า ซึ่งเขาปฏิเสธ “ผมดื่มมาแล้วครับ” อะผ่าตอบพลางมองดูอาตุซึ่งเดินหันหลังกลับไปทำงานต่อที่เรือนหลังใหญ่ เขาเคยเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิหมี่ยะ-โนอาห์ และรู้ว่านักเรียนที่อาศัยอยู่หอพักภายในบ้านหลังนี้ต้องช่วยทำงานทุกอย่างเท่าที่จะสามารถแบ่งเวลาทำได้ แม้อาตุเป็นหลานของหมี่ยะก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาเองขณะเมื่อพักอยู่ที่นี่ตั้งแต่เรียนมัธยมจนจบวิทยาลัยช่างกลก็ช่วยรดน้ำต้นไม้ ทำสวนครัวให้อาผี่ญิผ่า ได้เรียนรู้วิชาต่างๆจากหญิงชราผู้ใจดี การได้ย่างเท้ากลับเข้ามาที่กระท่อมนี้เขารู้สึกเหมือนได้กลับมาเยี่ยมบ้านญาติผู้ใหญ่ ฤดียกถ้วยกาแฟขึ้นจิบก่อนถามอะผ่าต่อ “ตอนนี้อะผ่าทำงานที่ไหนคะ” “ผมทำอยู่ที่โรงแรมเวียงแก้วครับ เป็นช่างซ่อมบำรุงสถานที่ แต่ช่วงนี้คงต้องตกงาน เพราะโรงแรมไม่มีแขกมาพักเลย เจ้าของเพิ่งประกาศปิดไปเมื่อสองวันก่อน” อะผ่าตอบ น้ำเสียงของเขาชัดเจนแม้จะแฝงแววกังวล “มีเรื่องอะไรหรือ ทำไมถึงไม่มีแขกมาพัก” ฤดีแสร้งถาม เธอต้องการรู้จักเขาให้มากขึ้น อะผ่ามองหน้าเธอนิดหนึ่งเหมือนสงสัยว่าฤดีไปอยู่ไหนมา ทำไมจึงไม่รู้เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลกขณะนี้ เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ตอนนี้มีโรคระบาดร้ายแรงครับ คุณครู สายการบินระหว่างประเทศพากันงดเที่ยวบิน แขกที่จองโรงแรมไว้ยกเลิกเกือบทุกห้อง ยิ่งรัฐบาลประกาศปิดร้านค้า สถานบันเทิง แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ยิ่งทำให้ไม่มีคนเข้าพัก เจ้าของโรงแรมเขาก็กลุ้มใจมากนะครับ เขาไม่อยากปิดกิจการเพราะเหมือนทุบหม้อข้าวตัวเอง แต่เขาจำเป็นและบอกว่าหากวันหน้าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นเขาจะเรียกพวกผมกลับเข้าทำงาน” “ครูก็เพิ่งอ่านข้อมูลมาว่าทั้งประเทศโรงแรมกว่าสามหมื่นแห่งต้องปิดตัวลง คนทำงานในโรงแรมกว่าล้านคนต้องตกงานทั้งประเทศ ส่วนที่เชียงใหม่ปิดไปร้อยกว่าแห่งแล้ว ครูเข้าใจสถานการณ์ของเธอ” ฤดีตอบ อะผ่ามองเธอด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ครับ ผมรับได้ หากเราไม่ปิดประเทศก็ไม่มีทางยับยั้งโรคระบาด เพราะคนที่เดินทางเข้ามาอาจมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นพาหะนำเชื้อและแพร่ไปติดคนอื่นได้ครับ” อะผ่าพูดอย่างหนักแน่น “อ้อ แล้วอะผ่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ” ฤดีถาม และตั้งใจฟังคำตอบ “ผมว่ามันน่ากลัวมากครับ ใครที่ติดโรคจากไวรัสตัวนี้แล้วต้องตายทุกคน ไม่มียารักษา ไม่มียาป้องกัน ผมไม่อยากให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเลย” อะผ่าพูด เขามองไปรอบๆสวนสมุนไพรของอาผี่ญิผ่าแล้วพูดต่อ “ผมเคยอยู่ที่หอพักในบ้านนี้ ตอนอาผี่ยังอยู่ ผมเคยมานั่งคุยกับแกบ่อยๆ แกเป็นคนที่รู้วิธีรักษาโรคหลายอย่าง ถ้าอาผี่ยังไม่ตาย แกต้องไปหายามาช่วยรักษาคนเจ็บคนป่วยได้แน่ครับ” “อ้อ อย่างนั้นหรือ เธอเป็นคนช่วยอาผี่ญิผ่าปลูกสมุนไพรพวกนี้ใช่ไหม” “ครับ เมื่อผมมาจากหมู่บ้านใหม่ๆ ผมก็ได้อาผี่นี่แหละครับที่หุงข้าวให้ผมกิน ผมอายุสิบสามตอนนั้นไม่เคยออกจากหมู่บ้านไปไหน ตอนเด็กผมเดินวันละสิบสี่กิโลไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจนจบชั้นประถม พอผมมาอาศัยอยู่ที่หอพักในบ้านนี้ ผมเห็นอาผี่ที่กระท่อมนี่ผมก็แปลกใจมาก ไม่นึกว่าจะมีคนแต่งตัวแบบชาวอาข่าที่ในเมือง ผมดีใจ หายคิดถึงบ้าน ผมมาขอข้าวอาผี่กินทุกวันเพราะผมเคยกินแต่อาหารอาข่า อาหารแบบอื่นผมกินไม่ค่อยได้” อะผ่าเล่าพลางมองไปรอบๆ เขาพูดต่ออย่างกระตือรือร้น “ผมตอบแทนอาผี่ด้วยการช่วยแกขุดดิน ปลูกต้นไม้ ต้นสมุนไพรแหละครับส่วนใหญ่ แต่ก็มีหลายอย่างที่แกเอามาจากป่า ไม่มีใครรู้ว่ามันชื่ออะไร มีอยู่บางปีที่อาโฮสุจาไม่ว่าง เขาวานให้ผมพาอาผี่นั่งรถประจำทางกลับหมู่เพื่อไปเยี่ยมญาติและเก็บสมุนไพร อาผี่ต้องกลับดอยทุกฤดูร้อนแหละครับ ช่วงดังกล่าวไม่มีฝน ถนนหนทางไปมาสะดวก อะผี่มักเอาสมุนไพรกลับมาเป็นกระสอบ มีทั้งรากทั้งหัว บางอย่างเป็นเปลือกไม้ บางอย่างเป็นต้นสด แกมีความรู้สารพัด มีวิชาแปลกๆ มากมาย” “ใช่แล้วละ อะผ่า ครูเชื่อว่าคนที่เป็นญิผ่ารู้วิชาแปลกประหลาดหลายอย่าง อืม แล้วเธอเชื่อหรือว่ายาสมุนไพรจะช่วยรักษาโรคระบาดร้ายแรงได้” เธอถามต่อ เธอเริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆจากการพูดคุยกับชายหนุ่มผู้นี้ “ผมไม่รู้หรอกครับ แต่ผมว่าหากยังไม่มียาสมัยใหม่ที่ได้ผล ทำไมไม่ลองยาสมุนไพร ผมรู้สึกเสียดายที่อาผี่ตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นแกอาจจะขุดเอาอะไรสักต้นแถวๆ นี้มาปรุงเป็นยาแล้วให้คนป่วยลองกิน เพราะอย่างไรเสียในเมื่อรักษาไม่หายแล้ว ลองกินยาแกดู อาจจะได้ผลก็ได้ครับ” อะผ่าพูดยิ้มๆ “ครูเองก็เห็นด้วยว่าเราควรลองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ฤดียิ้มให้อะผ่าแล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวครูจะเอาบางอย่างมาให้เธอดู อย่าเพิ่งไปไหนนะจ๊ะ” ฤดีหันตัวเดินเข้าไปในกระท่อม เธอหยิบแฟ้มเอกสารแล้วกลับออกมา อะผ่ามองสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ เขาเห็นหน้าปกรายงานฉบับที่เขาเป็นผู้เขียนส่งโนอาห์เมื่อสิบปีที่แล้ว ภาพวาดลายเส้นหยาบๆ เป็นรูปผู้ชายไว้ผมยาวเกล้ามวยกลางศีรษะกำลังนั่งอยู่ข้างโลงศพรูปเสี้ยวจันทร์ ฤดีวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะ “ครูฤดีครับ นี่เป็นรายงานที่ผมทำส่งคุณโนอาห์เมื่อนานมาแล้วนี่ครับ” “ใช่แล้ว อะผ่า ผลงานของนักเรียนทุนทุกคนคุณโนอาห์เก็บรวบรวมไว้ในห้องสมุด ตั้งแต่เมื่อครูทำงานอยู่ทางมูลนิธิกำหนดให้นักเรียนแต่ละคนต้องทำรายงานด้านสืบสานวัฒนธรรมปีละชิ้น เธอรับทุนการศึกษาจากองค์กรนี้ตั้งแต่มัธยมจนเรียนจบวิทยาลัยช่างกล เธอก็คงมีผลงานประมาณเกือบสิบชิ้นใช่ไหม” ฤดีถาม “ครับ ผมได้รับทุนตั้งแต่เรียนมัธยมหนึ่ง ตอนนั้นผมยังเขียนภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ผมชอบวาดรูป ปีแรกผมเขียนเรื่องการเล่นของเด็กอาข่าและมีภาพประกอบ ปีต่อมาผมเขียนเรื่องเครื่องมือการเกษตร จนมาถึงปีที่สามภาษาอังกฤษผมพอรู้เรื่องบ้างแล้ว ผมเลยเขียนเรื่องบทสวดที่พิมะผู้ไว้ผมมวยร่ายในงานศพที่หมู่บ้านผาแดงมาบทหนึ่ง ฉบับที่วางอยู่นี้ละครับ ปีต่อๆ มาผมเขียนเรื่องการปลูกข้าว เรื่องการทำประปาหมู่บ้าน เรื่องสมุนไพร และเรื่องอาหารครับ” อะผ่าบอกอย่างภูมิใจ เขาดูมีความสุขที่ได้เห็นผลงานเก่าของตนเองวางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า “อะผ่า เธอรู้ไหมว่ารายงานฉบับนี้มีความสำคัญที่จะช่วยให้เราได้พบตัวยารักษาโรคระบาด มันอาจได้ผลหรือไม่ ไม่มีใครรู้” ฤดีพูด “จริงหรือครับ” อะผ่ามีสีหน้าประหลาดใจ “เธอเล่าให้ครูฟังได้ไหมว่าเธอได้บทสวดนี้มาอย่างไร” ฤดีเลื่อนรายงานฉบับนั้นไปตรงหน้าอะผ่า เขาจ้องมองมันและทำท่านึก “ผมจำได้ว่าปีนั้นผมเรียนมอสาม พอปิดเทอมแล้วผมลากลับบ้านไปอยู่กับอาโดะหล่อง พี่ชายผม ผมต้องช่วยเขาพลิกดินเตรียมปลูกข้าว ผมออกจากเชียงใหม่ตอนเช้า นั่งรถประจำทางสามทอด แล้วเดินเท้าต่อไปจนถึงหมู่บ้านในเวลาเย็น วันนั้นมีคนถูกงูพิษกัด เขาเป็นพิมะอายุมากแล้ว ชื่ออาบ๊อถู่ หลานเขารีบวิ่งไปตามญิผ่าประจำหมู่บ้านให้มารักษา แต่ญิผ่ากำลังเก็บผักอยู่ในไร่ เมื่อรู้เรื่องนางก็ทิ้งกระจาดผักและรีบวิ่งมา แต่อาบ๊อถู่ขาดใจตายตอนญิผ่ามาถึงแค่กลางทาง “หมู่บ้านของผมมีพิมะที่ชำนาญการสวดส่งวิญญาณแค่คนเดียวและมีผู้ช่วยสองคน คนหนึ่งเป็นลูกชายคนโต ตอนเด็กตกใต้ถุนบ้านหัวกระแทกพื้น สมองได้รับความกระทบกระเทือน จำบทสวดได้แค่ครึ่งๆกลางๆ ส่วนอีกคนเป็นลูกคนเล็ก พ่อของเพื่อนผมเอง เขาฝึกสวดมาแล้วหลายปีแต่ไม่ค่อยเก่งเท่าไร ครอบครัวคนตายเลยให้ญาติผู้ชายไปรับพิมะอาวุโสจากหมู่บ้านอื่นมาช่วย พวกเขาออกเดินทางไปตอนเย็นและต้องค้างคืนกลางทาง “แม่เฒ่าผู้เป็นเมียอาบ๊อถู่หาผ้าแดงมาคลุมศพไว้รอให้ถึงวันรุ่งขึ้นค่อยจัดการไปตามขั้นตอน แต่จู่ๆตอนหัวค่ำมีผู้ชายคนหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ เขาไว้ผมยาวมัดเป็นมวยเดินตัวเปื้อนฝุ่นเข้ามาที่บ้าน เมื่อแม่เฒ่าเห็นคนผู้นี้ก็ดีใจจนน้ำตาไหล เขาคือพิมะผู้เคยมาช่วยสวดศพให้หมู่บ้านนี้ตอนเกิดโรคระบาดเมื่อสิบสามปีที่แล้ว คราวนั้นผมเองซึ่งยังเป็นทารกก็ป่วยเจียนตายแต่โชคดีที่ฟื้นตัวขึ้นมาได้ราวปาฏิหาริย์ “เขาบอกแม่เฒ่าว่าบังเอิญเดินทางผ่านมาพอดีและได้ยินคนพูดกันว่าอาบ๊อถู่ถูกงูกัดตาย เขาจึงมาช่วยสวดนำทางวิญญาณให้ผู้เฒ่าไปสู่ปรโลกด้วยดี เพราะเมื่อมีศพคนที่ตายผิดธรรมชาติอยู่ในบ้านแล้ว หากไม่รีบทำพิธี วิญญาณจะหลงทาง ไม่สามารถกลับสู่ดินแดนแห่งบรรพบุรุษได้และจะกลายเป็นปีศาจเร่ร่อนสร้างความรำคาญเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน “คนอาข่าเขาถือนะครับ ครูฤดี คนไหนถูกสัตว์ร้ายกัดตายเขาให้ทำพิธีและฝังตรงนั้นเลยเพื่อวิญญาณจะได้ไม่มาวนเวียนที่บ้าน แต่อาบ๊อถู่แกถูกงูกัดที่สวนหลังบ้าน ไม่ได้ตายทันที แกร้องเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีใครได้ยินเพราะลูกหลานออกไปไร่กันหมด เมียแกทำอาหารอยู่บนบ้าน เอะใจว่าแกหายไปนาน ตั้งหม้อแกงไว้แล้วแต่ผักยังไม่เอามา แม่เฒ่าออกไปตามและเห็นอาบ๊อถู่นอนตัวเขียวอ้าปากพะงาบอยู่โคนไม้ แกให้เด็กวิ่งไปตามญิผ่ามารักษา พอลูกชายรู้เรื่องก็วิ่งกลับมาและอุ้มร่างที่ยังหายใจขึ้นไปไว้บนบ้าน ผู้เฒ่าขึ้นมานอนสักเดี๋ยวก็หมดลมหายใจ “ญาติพี่น้องอาบ๊อถู่ต่างยินดีที่พิมะผู้นี้เดินทางผ่านมาโดยไม่คาดฝันและมาช่วยทำพิธีได้ทันก่อนพลบค่ำ พวกเขารีบเชิญพิมะผู้มาเยือนให้ขึ้นบ้านและทำอาหารมาเลี้ยง “หลังจากกินอาหารเสร็จเขาก็เตรียมทำพิธี ตอนนั้นผมไปนั่งอยู่ที่บ้านศพแล้ว หิ้วเทปไปอัดเสียงด้วย นับเป็นโอกาสดีของผมที่จะได้ฟังคำสวดเพื่อถอดความนำมาเขียนเป็นรายงานส่งคุณโนอาห์ “ผมนั่งมองพิมะแปลกหน้าและเดาเอาว่าเขาคงอายุสักประมาณห้าสิบ เขาไว้ผมยาวเกล้ามวยตึงไว้กลางกระหม่อม ส่วนสูงและหน้าตาก็เหมือน ๆ พวกเราชาวอาข่าทั่วไป ผิวสีน้ำตาลเข้ม ผมวาดรูปเขาแปะลงบนปกหน้ารายงานนี้ด้วย สวยดีนะครับ” อะผ่ามองหน้าปกรายงานพลางเล่าเรื่องของชายผู้นี้ต่อไป “พิมะนั่งสวดครู่หนึ่งก็ลุกไปนั่งยองๆข้างศพ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ทำโลงใส่เพราะต้องรอให้สว่างก่อนแล้วพวกผู้ชายจึงจะไปตัดต้นไม้ในป่าวันรุ่งขึ้น เขาเปิดผ้าที่คลุมศพออกตรงหน้าผาก ใช้มือปิดเปลือกตาอาบ๊อถู่ จากนั้นก็ร่ายคำสวดยืดยาว น้ำเสียงของเขาดังกังวาน พวกเพื่อนบ้านได้ยินกันหมดโดยไม่ต้องเข้าไปข้างใน “ผมเริ่มอัดเทปและฟังอยู่จนดึกจนกระทั่งเทปหมดม้วนผมก็เดินกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นตอนใกล้เที่ยงพอผมช่วยพี่ชายเผาหญ้าแล้วผมไปที่บ้านศพอาบ๊อถู่อีกครั้ง เพื่อนบ้านและลูกชายของเขาเข้าป่าไปตั้งแต่เช้าเพื่อโค่นต้นไม้มาเลื่อยถากเป็นโลง พวกผู้หญิงอยู่กันแต่หลังบ้านกำลังทำอาหารเพื่อกินเลี้ยงตอนบ่าย มีการฆ่าหมู ฆ่าไก่ เสียงสับเนื้อ เสียงตำน้ำพริก เสียงพูดคุยดังออกมาไม่ขาดระยะ เด็กๆวิ่งไปตักน้ำจากลำห้วยมานับสิบเที่ยว ญาติของอาบ๊อถู่ที่ไปรับพิมะจากอีกหมู่บ้านหนึ่งก็กลับมาแล้วตั้งแต่ตอนสายและพาพิมะชราชื่อบูซึมาด้วย เขาเป็นพิมะที่เก่งมาก ไปสวดงานศพคนตายมาแล้วนับไม่ถ้วน เขาจดจำบทสวดคำสอนของชาวอาข่าได้ทุกคำไม่มีผิดพลาด ผมเห็นเขานั่งขัดตะหมาดอยู่ที่ชานบ้านและเงี่ยหูฟังพิมะผมมวยที่กำลังร่ายคำสวดอยู่ข้างศพ เขาสูบยาเส้นจากกล้องไม้ไผ่แล้วพยักหน้าหงึกๆ อย่างพอใจ “ไม่นานจากนั้นโลงศพที่ขุดจากลำต้นไม้ใหญ่รูปร่างโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยวผูกมัดติดกับไม้ไผ่ลำยาวมีคนหามหัวหามท้ายก็เข้ามาในลานบ้าน เสียงร้องไห้ของพวกผู้หญิงเริ่มดังระงม ครู่หนึ่งลูกชายของอาบ๊อถู่ผู้ตายก็เข้ามาเชิญพิมะบูซึให้เข้าไปทำพิธียกศพใส่โลง “ผมอยู่นอกบ้านไม่ได้ตามเข้าไปเพราะญาติพี่น้องผู้ตายเข้าไปนั่งข้างในจนเต็มไปหมด ตกบ่ายพวกผู้หญิงจัดวางอาหารใส่โตกไม้ไผ่ยกไปให้ผู้มาร่วมงานนั่งกินกันเป็นวงๆ พวกผู้ชายนั่งที่ห้องข้างนอก ส่วนพวกผู้หญิงและเด็กนั่งที่ห้องข้างใน ผมนั่งกินกับเพื่อนที่เป็นหลานอาบ๊อถู่ที่ชานหลังบ้าน “ผมยืดคอมองเห็นพิมะผมมวยนั่งวงเดียวกับพิมะเฒ่าที่มาใหม่พร้อมกับผู้อาวุโสอื่นๆ ทั้งสองถ้อยทีถ้อยอาศัยพูดคุยสอบถามกันไปพลางกินอาหารกันไปพลาง จากนั้นพิมะผมมวยก็ออกเดินทางต่อไปและพิมะที่มาใหม่คือพิมะบูซึก็นั่งสวดต่อไปอีกสองคืน “ผมเสียดายจริงๆครับครู ที่ไม่มีโอกาสบันทึกคำสวดของพิมะแปลกหน้าผู้เดินทางกลับไปแล้ว เพื่อนผมเล่าให้ฟังตอนหลังว่าช่วงที่ร่วมวงกินข้าวด้วยกันพิมะบูซึขอให้พิมะผมมวยช่วยไล่ชื่อบรรพบุรุษของเขาให้ฟังหน่อย จะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ต้นตระกูลมาจากไหน “คุณครูคงรู้นะครับว่าปกติคนอาข่าถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกันหมดแม้ไม่เคยเห็นหน้า เพราะพวกเรามีบรรพบุรุษคนเดียวกัน พวกผู้ชายอาข่าทุกคนต้องลำดับชื่อบรรพชนในสายตระกูลของตนได้ และโดยเฉพาะผู้ที่เป็นพิมะต้องบอกได้ว่าสายตระกูลไหนมีความเป็นมาอย่างไร “พิมะแปลกหน้าเริ่มไล่เรียงชื่อบรรพชนของตนตั้งแต่ซุมมิโอ โอเทเล เทเลซุ้ม ซุ้มหม่อยะ ลงมาเรื่อยๆ ปกติแล้วชาวอาข่าทั่วไปมีต้นตระกูลประมาณหกสิบชั่วอายุคน และเมื่อถึงชั่วอายุที่สี่สิบหรือห้าสิบก็แยกสายออกไปเหมือนกับลำน้ำที่แยกเป็นสาขา ซึ่งก็คือแต่ละตระกูลในปัจจุบัน “แต่ที่น่าแปลกใจคือบรรพบุรุษของพิมะผู้นั้นแยกสายออกไปตั้งแต่ลำดับต้นๆ ซึ่งยาวนานมากจากคนรุ่นปัจจุบัน หากคิดง่ายๆว่าอายุของคนเราคือช่วงละเจ็ดสิบปี มันหมายความว่าต้นตระกูลของพิมะแปลกหน้าแยกสายออกไปสามพันกว่าปีแล้ว คนอาข่าทั่วไปไม่เคยมีคนจากตระกูลไหนที่ห่างออกไปมากขนาดนี้” อะผ่าเว้นระยะครู่หนึ่ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม