สุจาเติมผักสดลงในจานอินญาโดยไม่พูดอะไร
“แล้วไม่ง่วงนอนกันบ้างหรือ เดินทางข้ามทวีปกันมาสองสามวัน แถมเมื่อคืนก็อยู่ฟังสวดศพจนดึก” ชดถามเชน เขาเริ่มตักอาหารใส่ปากเป็นคนแรก
“เรานอนบนเครื่องบินและที่สนามบินมาเยอะแล้วครับ อีกอย่างคือเวลานอนของบ้านผมเป็นตอนกลางวันของที่นี่ เวลานี้แหละครับที่ผมเริ่มจะง่วง เดี๋ยวพออิ่มแล้วผมคงต้องขอตัว” เชนบอกแล้วใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ปาก
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินแล้วไปพักผ่อนเถอะจ้ะ เชน ส่วนอินญาต้องอยู่คุยกันก่อนเพราะคุณอาฤดีมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอนะจ๊ะ” สุจาบอกหนุ่มสาวทั้งสองพลางชำเลืองมองชด
อินญาชะงักมือที่กำลังตักอาหารเข้าปาก “เป็นเรื่องส่วนตัวหรือคะ” เธอถาม
ฤดีมองเชน อะผ่า และอินญาที่มีอายุใกล้เคียงกัน ดูเหมือนทั้งสามจะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว เธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรอกจ้ะ แต่เอาละ เรามาคุยกันตอนนี้เลยดีกว่า ใช้เวลาไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมงก็พอนะ เพราะเชนและอินญาต้องพักผ่อนให้เต็มที่จนถึงพรุ่งนี้”
ฤดีตัดสินใจ ชดชะงักมือนิดหนึ่ง เขาหันไปยักคิ้วให้สุจาและยิ้มกับเส้นหมี่ในจานตรงหน้า
“ค่ะ เรากินกันไป คุยกันไป ได้บรรยากาศดีนะคะ ถ้าอย่างนั้นเชนก็อยู่ฟังก่อน อย่างเพิ่งรีบไป เดี๋ยวจะพลาดเรื่องสำคัญ”
สุจาพูดโดยพยายามไม่แสดงอาการกระตือรือร้นอย่างออกหน้า เขาค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างหมี่ยะและยกจานอาหารถือไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือถือตะเกียบคีบส่งอาหารเส้นเข้าปากโดยไม่ให้เปื้อนลิปสติกสีชมพูที่แต่งแต้มอย่างประณีต
ฤดีเล่าเรื่องจดหมายของโนอาห์อย่างรวบรัดให้เชนและอินญาฟัง หนุ่มสาวทั้งสองต่างเบิกตาโตอย่างแปลกใจขณะลำเลียงอาหารเข้าปากต่อโดยไม่เสียจังหวะ
อินญามองอะผ่าสลับกับมองฤดี เธอรีบเคี้ยวและกลืนอย่างเร็ว จากนั้นเธอเหลียวมองเชนผู้ตักอาหารคำสุดท้ายใส่ปากแล้วหลับตาพยักหน้าหงึกๆ กับตัวเองอย่างเข้าใจชัดเจนว่าฤดีกำลังพูดถึงอะไร
“ตกลงว่าคุณอาฤดีต้องรีบเดินทางเพื่อไปเอาตัวยามารักษาคนป่วยด้วยโรค เฮมาลอยด์ ใช่ไหมครับ” เชนถามหลังจากยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“เดี๋ยวนะ เชน เธอจะไม่ถามฉันหน่อยหรือว่าเรื่องที่ฉันเล่ามานั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร และอีกอย่าง พวกเราที่นี่อยากรู้จักเธอมากขึ้น เธอจะช่วยบอกหน่อยได้ไหมจ๊ะว่าเธอเป็นใคร”
ฤดีถามกลับ ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่เชนว่าเขาจะตอบอย่างไร
เชนยิ้มเล็กน้อย ดวงตาสีดำของเขาสงบ เขาวางแก้วน้ำ ขยับท่านั่งและยืดตัวขึ้นพร้อมกับตอบว่า
“คุณอาฤดีครับ ผมขอตอบจากใจจริงว่าเรื่องทั้งหมดที่คุณอาเล่ามานั้นผมไม่มีข้อสงสัยอันใดทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าจดหมายที่คุณลุงโนอาห์เขียนไว้มีเหตุผลอยู่ในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องได้คำรับรองจากที่ไหน สิ่งสำคัญที่ผมคิดได้ขณะนี้คือเราต้องร่วมมือกัน เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่กำลังทนทุกข์กับอาการเจ็บป่วยที่ยังไม่มีตัวยาที่ไหนรักษาได้ คุณลุงโนอาห์เป็นผู้มีจิตใจกรุณามาก ที่ถึงแม้เขาป่วยหนักแต่ยังส่งความห่วงใยมาให้เพื่อนมนุษย์ เรื่องนี้สิครับที่นับว่าสำคัญกว่าเรื่องอื่น”
เชนหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“ผมเปิดดูอินเทอร์เนตเมื่อเช้า อ่านข่าวพบว่ามีผู้ติดเชื้อโรค เฮมาลอยด์ หลายล้านคนแล้วทั่วโลก และมีคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเกือบแสนคน คุณอาฤดีครับ ผมคิดว่าสิ่งที่เราต้องรีบทำในขณะนี้ก็คือการค้นหาตัวยาที่จะนำมารักษาผู้กำลังนอนรอความตายอยู่อย่างสิ้นหวัง ในเมื่อเรามีโอกาสที่จะลองพยายามในสิ่งที่คุณลุงโนอาห์บอกทางมา เราก็ควรทำให้สุดความสามารถครับ”
เชนเว้นระยะนิดหนึ่ง เขามองฤดีที่กำลังเคี้ยวอาหารช้าๆ และฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างตั้งใจ
“สำหรับคำถามที่คุณอาฤดีอยากรู้ว่าผมเป็นใคร ผมจะขอเล่าให้คุณอาฟังอย่างย่อๆ แล้วคุณอาจะเข้าใจผมดีขึ้น”
เชนเริ่มเล่าเรื่องของเขา
“ผมอายุ 24 ปี เป็นชาวอเมริกันพื้นเมือง หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกเราว่า ‘อินเดียนผิวแดง’ ผมเป็นลูกหลานชนเผ่านกฟ้าซึ่งเป็นผู้อาศัยดั้งเดิมของทวีปอเมริกาเหนือในบริเวณชายขอบของรัฐมิสซูรี ชาวนกฟ้าอพยพเข้ามาสู่ทวีปนี้เมื่อแปดพันปีที่แล้วตั้งแต่ปลายยุคน้ำแข็งใหม่
“เราเข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนอันว่างเปล่า มันมีเนื้อที่กว้างไกลจนสุดสายตานกอินทรีย์ ปู่ของปู่ของพวกเราบอกว่าหากจะนับพื้นที่ว่าไกลขนาดไหน ก็ขอให้ควบม้าจากจุดหนึ่งมุ่งหน้าไปไม่หยุดตลอดเดือน นั่นแหละอาณาเขตของชาวนกฟ้า แต่เราไม่เคยถือสิทธิ์ว่าเราเป็นเจ้าของผืนโลก เราแบ่งที่ทำกินและที่อยู่อาศัยให้ผู้อพยพมาใหม่รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้เริ่มต้นชีวิต นอกจากนั้นเรายังสอนให้พวกเขาปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เราบอกพวกเขาให้เข้าใจว่าที่เราครอบครองดินแดนไว้นั้นก็เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันและให้สัตว์ป่าได้มีที่อยู่อันเหมาะสม
“สามพันปีจากนั้นเกิดสงครามระหว่างชนเผ่า ชาวนกฟ้าผู้รักสันติถูกฆ่าล้างผลาญจนเกือบหมดสิ้น ห้าพันปีถัดมาประชากรของชนพื้นเมืองหลายเผ่าเพิ่มขึ้นเป็นหลายแสนจนมาถึงยุคสมัยที่ผู้อพยพจากยุโรปทยอยเข้ามาหาแสวงหาเสรีภาพในดินแดนทวีปนี้ พวกเขารุกรานและบังคับให้เรานับถือศาสนาทั้งๆ ที่พวกเขาหนีลงเรือข้ามทวีปมาก็ด้วยเรื่องความเชื่อที่แตกต่าง คนที่อพยพมาใหม่จับพวกเราและชนเผ่าอื่นไปเป็นทาส กระทำทารุณอย่างที่มนุษย์ไม่ควรกระทำต่อกัน อีกทั้งยึดครองที่ดินไปทุกตารางนิ้วพร้อมกับออกกฎหมายกำจัดสิทธิ์
“เมื่อสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาพวกเราชาวนกฟ้าและชนเผ่าอื่นถูกฆ่าตายเกือบหมดทวีปจากน้ำมือชาวผิวขาวและจากโรคระบาด เหลือเพียงจำนวนนับพันเท่านั้น
“ต้นศตวรรษที่แล้วพวกเราทั้งหมดถูกโยกย้ายไปอยู่ในนิคมที่เขาจัดสรรให้ชนดั้งเดิมอยู่อาศัย พวกเขาใช้นโยบายผสมกลมกลืนพวกเราเข้าเป็นชาวอเมริกันที่มีเสรีภาพแต่ถูกจำกัดสิทธิ์และกลายเป็นคนยากไร้”
เชนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ
“ตระกูลของผมเป็นโวไวดา ซึ่งหมายถึงผู้เยียวยาโดยใช้สมุนไพร เป็นผู้รู้เวทมนตร์ และเป็นผู้ติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษ โวไวดาของชาวนกฟ้าสืบทอดความรู้ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยก่อนที่เราจะอพยพไปอยู่ทวีปอันได้ชื่อภายหลังว่าอเมริกา
“ผมเติบโตในครอบครัวที่ยังคงรักษาขนบประเพณีไว้อย่างเหนียวแน่น แม้จะเป็นวิถีชีวิตที่ยากลำบากและต้องต่อสู้กับกระแสโลกสมัยใหม่” เชนผายมือไปทางหมี่ยะพร้อมกับบอกว่า “คุณป้าหมี่ยะและคุณลุงโนอาห์เคยไปเยี่ยมเยียนและรับประทานอาหารที่บ้านผม ท่านเห็นทุกอย่างที่ผมบอกไป”
“ใช่ค่ะพี่ฤดี”
หมี่ยะพยักหน้าและพูดต่อ
“อินญาขับรถพาพี่กับคุณโนอาห์ไปทัศนาจรนิคมชาวพื้นเมืองซึ่งดำรงวิถีชนเผ่าไว้อย่างยากลำบาก เพราะพวกเขากลายเป็นพลเมืองชั้นสองในดินแดนที่ตนบุกเบิกและอาศัยอยู่อย่างยาวนาน พวกเยาวชนรุ่นใหม่แทบไม่รู้จักรากเหง้าของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวิถีชาวอเมริกันทั่วไปได้”
หมี่ยะหยุดพูดไปนิดหนึ่ง นานๆเธอจึงจะพูดอะไรยาวๆ ซึ่งทำให้ฤดีและชดหยุดมือจากอาหารตรงหน้าครู่หนึ่งและตั้งใจฟังเธอพูด
“แต่สำหรับครอบครัวของเชนที่เราไปเห็นและที่พ่อแม่ของเขาปฏิบัติ พวกเขายังรักษาวัฒนธรรมประเพณีไว้อย่างเหนียวแน่นและถ่ายทอดสู่คนในครอบครัวซึ่งก็คือเชนและน้องสาวอีกสองคน แม้ว่าเด็กทั้งสามจะเช่าอพาร์ตเมนต์อาศัยอยู่ในเมืองเพื่อเรียนหนังสือและกลับบ้านสัปดาห์ละครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่เคยลืมว่าตนเป็นใคร อินญาเดินไปโรงเรียนพร้อมกับสามพี่น้องนี่ทุกวันนะคะจนสามารถพูดภาษาของเชนได้”
หมี่ยะหันไปยิ้มและลูบแก้มอินญา เชนกล่าวขอบคุณหมี่ยะจากนั้นก็พูดต่อไปว่า
“ครอบครัวของผมนั้นมีหน้าที่คล้ายพิมะรวมกับญิผ่าอย่างที่อะผ่าเล่าให้ผมฟังเมื่อคืนนี้ถึงผู้คนต่างๆ ในหมู่บ้านของเขา”
เชนหันไปมองอะผ่าผู้พยักหน้าให้เขา เช่นพยักหน้าตอบและพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พ่อของผมติดต่อกับวิญญาณของบรรพชนอยู่เสมอ นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้เยียวยาซึ่งสืบสายความรู้มาจากบรรพบุรุษหลายสิบชั่วคนตั้งแต่สมัยเมื่อเรายังนุ่งห่มเปลือกไม้และดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ในดินแดนอันมีแต่น้ำแข็งของทวีปเก่า แม่ของผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาของชาวเผ่านกฟ้า พวกเราพยายามใช้ภาษาของชาวนกฟ้าสื่อสารกันเท่าที่ทำได้แม้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะในโลกสมัยใหม่สิ่งของเครื่องใช้และสิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยีไม่มีในภาษาเดิม แต่พวกเรามีคำพูดมากมายในเรื่องความเป็นไปของธรรมชาติ เรื่องของจิตวิญญาณและความรู้สึก เรื่องความรัก ความเอื้อเฟื้อ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม่ผมถ่ายทอดบทกวีไว้ให้พวกเราท่องจำ เพื่อจะได้ไม่ลืมถ้อยคำของบรรพบุรุษ”
เชนยิ้มอย่างภูมิใจ เขามองตรงไปทางฤดี
“ผมคิดว่าได้ตอบคำถามของคุณอาไปครบแล้วนะครับ”
ฤดีพยักหน้าน้อยๆ ขณะที่ชดเอามือแนบอกและก้มศีรษะให้เชน เขารู้สึกทึ่งในบุคลิกลักษณะอันเข้มแข็ง เปิดเผย และตรงไปตรงมาของชายหนุ่มร่างบึกบึนผู้มีนัยน์ตาสีดำไว้ผมยาวถักเปียถึงหลัง อินญายิ้มให้เชนและเผื่อไปถึงอะผ่าผู้จับจ้องมองนัยน์ตาสีเขียวล้ำลึกของอินญาอยู่ก่อนแล้ว
“หนูรู้จักกับเชนตั้งแต่ย้ายไปอยู่มิสซูรีค่ะคุณอาฤดี เราเข้าโรงเรียนท้องถิ่นของรัฐซึ่งมีเด็กนักเรียนจากนิคมชาวอเมริกันพื้นเมืองมาร่วมเรียนด้วย อินญาโชคดีมากที่ได้รู้จักกับเชนพร้อมเพื่อนคนอื่นๆ อินญารู้สึกว่าวิถีดั้งเดิมของเพื่อนอินญาหลายคนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสมควรรักษาไว้ แม้หลายอย่างไม่ทันสมัยและปฏิบัติไม่ได้ในโลกปัจจุบัน แต่มันมีคุณค่าต่อจิตใจที่ทำให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นใคร มีหน้าที่อะไรต่อโลกใบนี้...คุณแม่ของอินญาก็มาจากตระกูลชาวไอริชรุ่นเก่าที่ยังสืบทอดธรรมเนียมบางอย่างที่รู้กันเฉพาะในครอบครัว วันหลังอินญาจะเล่าให้คุณอาและพวกเราฟังนะคะ แต่ตอนนี้อินญาอยากรู้คำตอบที่เชนถามตอนแรกว่าคุณอาต้องเดินทางไปเอาตัวยาใช่ไหมคะ
“ใช่จ้ะอินญา” เป็นเสียงตอบจากสุจาผู้นั่งกินอาหารอย่างเงียบๆ แต่เงี่ยหูฟังทุกอย่างโดยไม่ปล่อยผ่าน “คุณลุงโนอาห์มอบภารกิจสำคัญให้คุณอาฤดี เขาเขียนในจดหมายสั่งไว้ว่าให้อะผ่าและอินญาร่วมเดินทางไปด้วย โดยให้เอารถของคุณลุงโนอาห์ไป”
ชดส่งเสียงพูดต่อจากสุจาทันทีหลังแก้วน้ำเย็นที่เขายกขึ้นดื่ม “แต่คุณลุงโนอาห์คงไม่ว่าอะไรหากอาโฮสุจาและลุงชดจะขับรถตามไปช่วยอีกแรง และคุณลุงโนอาห์น่าจะยินดีมากขึ้นหากเพื่อนรักของอินญาจะเดินทางไปด้วยในครั้งนี้ พรุ่งนี้รถสองคันจะออกเดินทางกันแต่เช้า เราหกชีวิตจะไปปฏิบัติภารกิจเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยิ่งสำเร็จไวยิ่งดี เราต้องแข่งกับเวลา ลองเปิดโทรศัพท์อ่านข่าวดูแล้วจะรู้ว่าจำนวนคนตายจากโรค เฮมาลอยด์ มันทวีจำนวนสูงขึ้นทุกวัน”
“คืออย่างนี้...” ฤดีทำท่าจะค้าน แต่ช้าไปกว่าหมี่ยะซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว เธอส่งเสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อเพื่อให้อินญาและเชนเข้าใจด้วย
“ไม่ต้องห่วงหมี่ยะค่ะพี่ฤดี ขอให้ทุกคนเดินทางไปด้วยกัน หมี่ยะจะเอาใจช่วยอยู่ที่บ้านนี้ รอให้ทุกคนประสบผลสำเร็จกลับมา เมื่อคืนนี้สุจาอธิบายเรื่องแผนการคร่าวๆ ให้หมี่ยะฟังแล้ว ซึ่งหมี่ยะเห็นด้วย และหมี่ยะจะไม่ปล่อยให้พี่ฤดีเดินทางไปกับอะผ่าและอินญาแค่สามคน เราไม่รู้ว่ามีอันตรายรออยู่ข้างหน้าหรือเปล่า ถ้าคุณชดและสุจาร่วมทางไปด้วย หมี่ยะจะเบาใจและพักผ่อนได้ ไม่อย่างนั้นหมี่ยะคงนอนไม่หลับและอาจถึงกับไม่สบายด้วยความเป็นห่วงพี่และหลานอินญา โปรดเชื่อหมี่ยะนะคะพี่ฤดี”
“ผมเองเมื่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ไม่อยากอยู่เฉย หากมีอะไรที่ผมพอทำได้คุณอาไม่ต้องเกรงใจนะครับ แต่กรุณาให้ผมร่วมทางไปด้วย อย่างน้อยผมพอมีประโยชน์ในเรื่องแบกหาม คุณอาอายุมากแล้วไม่ควรใช้ร่างกายสมบุกสมบันมากเกินไป ผมขอโทษที่ต้องพูดอย่างนี้ ปกติคนตะวันตกจะไม่พูดถึงอายุใครหรือจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของใครหากไม่ใช่ญาติสนิท แต่ผมรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
น้ำเสียงและสีหน้าของเชนทำให้ฤดีสามารถยอมรับได้ในการที่เขาพูดตรงไปตรงมาเรื่องวัยอันเริ่มชราของเธอ เธอมองไปที่ หมี่ยะ อินญา สุจา ชด เชน และอะผ่า
“ฉันขอบใจจริงๆ ที่ทุกคนเต็มใจเดินทางไปด้วยกันในครั้งนี้...”
ฤดีเงียบไปครู่หนึ่งและพยักหน้าเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“...ตกลงค่ะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า แผนการช่วงนี้มีแค่ขอให้เชนและอินญาพักผ่อนให้เต็มที่เพราะเดินทางกันมายาวนานถึงสามวัน และเมื่อคืนก็คุยกับอะผ่าจนดึกแทบไม่ได้นอนใช่ไหม ตอนนี้น่าจะมีอาการเจ็ตแล็กกันแล้ว เราต้องการคนที่พร้อมทั้งสุขภาพกายและใจ”
เธอหันไปมองสุจาด้วยดวงตาอ่อนโยน
“สุจาที่รัก พี่ขอบคุณสุจามากที่จัดการทุกอย่างทั้งงานศพคุณโนอาห์ ดูแลให้กำลังใจหมี่ยะและให้ความสะดวกพี่อย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้ พรุ่งนี้เราไปด้วยกัน แต่หน้าที่ของสุจาไม่ใช่การดูแลพี่ ขอให้สุจาคิดเพียงว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นภารกิจยิ่งใหญ่ ถ้าเราทำสำเร็จ เราจะสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังลำบากให้เขารอดชีวิต”
ชดที่นั่งฟังตาแป๋วขยับตัวเมื่อฤดีพูดกับเขา
“คุณชดคะ ฉันต้องขอบคุณคุณชดที่เสนอตัวมาช่วยพร้อมกับนำรถที่เพิ่งซื้อใหม่มาทำงานด้วยกันในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้อนาคตครั้งนี้ คุณซูซานคงไม่ว่าอะไรนะคะหากฉันจะขอยืมทั้งคุณทั้งรถไปสักสี่ห้าวัน ฉันขอยกตำแหน่งหัวหน้าคณะให้คุณ”
ฤดีเว้นระยะและมองทุกคน
“พรุ่งนี้เช้าเรามาพบกันที่นี่และออกเดินทางกัน เลิกประชุมค่ะ”
เธอจบคำพูดด้วยการยื่นมือออกไป จากนั้นมือของทุกคนก็ยื่นเข้ามาประสานกับมือของเธออย่างหนักแน่น