ตอน หลงทิศ ผิดทาง (1)

4444 คำ
บทที่ 3 หลงทิศ ผิดทาง วันพุธที่ 1 เมษายน 2020 เวลาเช้า ชดเลี้ยวรถเอเนกประสงค์สีเงินคันใหญ่เข้าประตูบ้านหมี่ยะ-โนอาห์ริมถนนนันทารามและจอดอย่างนิ่มนวลใต้ต้นมะกอกใหญ่ เขาเห็นหมี่ยะยืนพูดคุยกับสุจา อินญา และเชนอยู่ใกล้รถโฟร์วีลสีขาวที่เปิดประตูด้านท้ายค้างไว้ บุคคลทั้งสี่ร้องทักทายชด “กู้ดมอร์นิ่ง คุณชด” “กู้ดมอร์นิ่งทุกคน” ชดทักทายตอบก่อนก้าวลงจากรถ เขาเหลือบเห็นอะผ่ากำลังหิ้วกระเป๋าของฤดีเดินนำหน้าเธอออกมาจากสวนหลังบ้าน “อะผ่าเอากระเป๋าคุณฤดีมาใส่รถคันนี้เลย” ชดพูดพลางเดินไปเปิดประตูหลังแล้วหันไปบอกฤดี “คุณมานั่งรถผมดีกว่า มีสุจาอีกคนก็พอดีสามต่อสาม คันนั้นให้พวกหนุ่มสาวเขาไปกัน ตกลงนะครับ” อะผ่าไม่รอคำตอบจากฤดี เขาจัดแจงยกกระเป๋าขึ้นไปใส่ท้ายรถของชด “สวัสดีค่ะคุณชด” ฤดีทักและพยักหน้ายอมรับสิ่งที่ชดบอก “ดีเหมือนกันค่ะ พวกเด็กๆจะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น” “หนูคิดแล้วว่าพี่ฤดีต้องไปรถคันนี้ หนูเตรียมเสบียงขนมอร่อยไว้กินกันหลายอย่าง รถคันนั้นก็มีนะคะหนูเอาไปวางให้พวกเขาแล้ว” สุจาแม้จะแต่งกายทะมัดทะแมง แต่ไม่ลืมผูกผ้าพันคอสีหวานและสวมหมวกปีกกว้างสีชมพูอ่อนสีเดียวกับเสื้อผ้า “เหมือนเราจะไปปิ๊กนิกกันเลยนะสุจา” ชดตบบ่าเขาดังป้าบและพูดยิ้มๆ “อูย พี่ชดทำอย่างนี้กับหนูไม่ได้นะคะ หนูเป็นผู้หญิงมาหลายสิบปีแล้ว” สุจาพูดพลางเดินสะบัดสะบิ้งไปหาหมี่ยะ เขาโอบตัวเธอไว้แน่น “พี่หมี่ยะดูแลตัวเองดีๆนะคะ พักผ่อนมากๆ คุณโนอาห์จะได้ดีใจว่าพี่ไม่เศร้าโศกถึงเขา พวกเราจะไปทำหน้าที่ตามที่เขาบอก” “สุจาไม่ต้องเป็นห่วงพี่ ดีเสียอีกบ้านเงียบๆ พี่จะได้จัดข้าวของให้เข้าที่ เดินทางปลอดภัยนะ ดูแลพี่ฤดีด้วย” หมี่ยะพูด เธอขยับสายตามองอินญาและเชนที่กำลังเดินเข้ามาลาเธอ “อินญาไปละนะคะ ป้าหมี่ยะพักผ่อนมากๆ คุณอาฤดีบอกว่าเราจะไปกันไม่เกินห้าวัน แล้วเจอกันค่ะ” อินญาสวมกอดหมี่ยะและผละออกไป เชนเดินเข้ามา เขาจุ๊บแก้มหมี่ยะและพูดลาเธอ “เทคแคร์นะครับ” ฤดีและชดเดินเข้ามาหาหมี่ยะ ชดโอบไหล่เธอไว้และพูดว่า “ไม่ต้องห่วงพวกเรานะครับ ผมรับรองได้ว่าจะไม่มีใครเป็นอะไร เพราะเราไปทำสิ่งที่ดี ด้วยความตั้งใจดี อย่างที่คนไทยชอบพูดว่าคนดีผีคุ้ม” ชดจับมือหมี่ยะไว้ข้างหนึ่ง ฤดีเดินเข้ามาจับมือหมี่ยะไว้อีกข้าง “เดี๋ยวพวกเราจะไปกันแล้ว ดูแลตัวเองนะคะ” อะผ่ายืนอยู่ที่ข้างประตูรถ เขาพูดข้ามทุกคนมา “อาโฮ ง้าโอเล้มาเด!” หมี่ยะตะโกนตอบเขาว่า “อะลอๆเล้เด!” อะผ่าแปลให้อินญาและเชนฟังว่าเขาพูดลาหมี่ยะว่าจะไปแล้ว และหมี่ยะก็ตอบว่าให้ค่อยๆไป ซึ่งเป็นธรรมเนียมการลาของชาวอาข่าที่จะพูดอย่างนี้ จากนั้นฤดีและสุจาก็เดินไปที่รถฮัมเมร่าสีเงิน ชดเปิดประตูรถให้สุจานั่งเบาะหน้าคู่กับเขาและเปิดประตูหลังให้ฤดีขึ้นไป ส่วนรถสีขาวของโนอาห์ อะผ่าขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยและสตาร์ทรถอุ่นเครื่องรออยู่แล้ว เชนเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเบาะหลัง อินญานั่งข้างอะผ่าที่เบาะหน้า ทั้งหมดโบกมือให้หมี่ยะที่ยืนรอส่งอยู่ใต้ต้นมะกอก มีนักเรียนอาข่ายืนอยู่ที่อาคารแรกสี่ห้าคน พวกเขาโบกมือให้คนที่อยู่บนรถทั้งสองคัน อะผ่าและชดขับรถตามกันไปสู่ถนนใหญ่ ฤดีเหลียวมองบ้านหมี่ยะ-โนอาห์ เธอถอนหายใจ ชดชำเลืองมองฤดีทางกระจกมองหลัง สุจาเองก็นิ่งอั้นไปเมื่อนึกถึงว่าหมี่ยะเพิ่งสูญเสียโนอาห์ไปเพียงสี่วัน หลังจากเสร็จพิธีศพและนำร่างโนอาห์ไปฝังแล้วเธอต้องอยู่คนเดียวกับภาระมากมายที่ต้องแบกรับต่อ ทั้งการดูแลนักเรียนและการหาทุนมาเพิ่ม ไม่นับรวมโครงการส่งเสริมวัฒนธรรมอาข่าที่หยุดชะงักมาได้พักหนึ่งแล้ว แต่เอาเถอะ ให้เสร็จภารกิจสำคัญครั้งนี้แล้ว เขาจะช่วยหมี่ยะตามสมควร อะผ่าเบี่ยงรถชิดซ้ายเพื่อให้ชดขับออกหน้า เขากับชดตกลงกันไว้แล้วว่าจะแวะจอดพักและหากาแฟดื่มที่น้ำพุร้อนแม่ขะจาน ต่างคนต่างขับไปตามจังหวะของท้องถนน แต่อะผ่าให้เกียรติชดเป็นผู้ขับนำส่วนเขาจะตามหลังไป แม้ว่าวัยหนุ่มคะนองของเขาสามารถเร่งความเร็วได้มากกว่านี้ แต่ฤดีย้ำกับเขาไว้แล้วว่าให้ความปลอดภัยมาเป็นที่หนึ่ง เพราะภารกิจในครั้งนี้จะเสียเวลากับอุบัติเหตุใดๆไม่ได้ เชนกับกับอินญานั่งมองสองข้างทางด้วยความสนใจตั้งแต่รถเลี้ยวออกจากกำแพงบ้าน ผ่านย่านชุมชนที่เงียบเหงาไร้คนเดิน เนื่องจากประชาชนต้องกักตัวอยู่กับบ้านตามคำขอร้องของรัฐบาลเพื่อลดการแพร่กระจายหรือรับเชื้อ แม้ไวรัส เฮมาลอยด์ จะระบาดติดกันได้ด้วยการสัมผัสเท่านั้น แต่มันเป็นมาตรการที่ผู้คนต้องป้องกันตนไว้ก่อน ภาพร้านรวงสองข้างทางของวันกลางสัปดาห์ดูเหมือนวันอาทิตย์ที่ธุรกิจหยุดพัก ทำให้หนุ่มสาวทั้งสองรู้ตัวว่าตนโชคดีที่ได้เดินทางมาจนถึงดินแดนล้านนาแห่งนี้ก่อนที่สายการบินจะยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมด ชดขับรถฮัมเมร่าสีเงินแล่นฉิวเข้าสู่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์สายอ้อมเมืองแล้วเลี้ยวขวาเข้าสันทรายสู่ดอยสะเก็ด รถราที่มีเพียงไม่กี่คันบนท้องถนนทำให้เขาลดเวลาลงได้อย่างมากในการออกนอกตัวเมือง รอบเวียงเชียงใหม่ก่อนหน้าโรคระบาดการจราจรเป็นอัมพาตในถนนหลายเส้น แต่เช้าวันนี้เขาใช้เวลาเพียงยี่สิบห้านาทีจากถนนนันทารามถึงดอยสะเก็ด ชดมองดูกระจกหลังเห็นรถอะผ่าตามมาห่างๆ ถนนหลวงแผ่นดินหมายเลข 118 จากเชียงใหม่นำรถทั้งสองคันขึ้นสู่ดอยนางแก้วที่กำลังได้รับการซ่อมแซมอย่างทรหด สามปีมาแล้วถนนบนดอยเส้นนี้มีปัญหาจากการก่อสร้างที่ไม่จบสิ้นและยังต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสามปีตามที่ผู้ใช้ทางรับทราบ อินญามองทัศนียภาพเบื้องหน้าที่ไร้ความสวยงามจากความแห้งแล้งและหมอกควันพิษ ฝุ่นหนาติดอยู่ตามใบและกิ่งก้านของต้นไม้ในป่าทั้งซ้ายขวาและตามหลังคาบ้านที่ตั้งอยู่ริมถนน “เดือนหน้าถ้ามีฝนตก เราจะเห็นวิวสวยกว่านี้” อะผ่าบอกอย่างเข้าใจความรู้สึกของอินญาผู้เคยเห็นภาพเชียงใหม่และเชียงรายจากโปสเตอร์ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยสีสันอันงดงาม “อินญาอยากเห็นจังว่าเมื่อไม่มีหมอกควันสองข้างทางจะเขียวขจีขนาดไหน” หญิงสาวพูดเหมือนรำพึง “ตอนอยู่ในเชียงใหม่อินญาเหมือนหายใจไม่ค่อยสะดวก คงเป็นเพราะในตัวเมืองมีมลพิษเยอะ” “ใช่ละ อินญา เชียงใหม่ช่วงปีหลังๆ ไม่ค่อยน่าอยู่ มีรถรามากมาย ห้างสรรพสินค้าก็ผุดขึ้นมาทุกถนน แต่ช่วงที่มีโรคระบาดนี่ค่อยยังชั่วหน่อย การจราจรเบาบาง ไปไหนมาไหนง่าย ตามปกติกว่าจะออกจากตัวเมืองมาถึงดอยสะเก็ดนี่บางทีใช้เวลาเกือบชั่วโมงเลยนะ” อะผ่าพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องปาก เขาอยู่หอพักที่บ้านหมี่ยะ-โนอาห์ตั้งแต่ลงจากดอยมาเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิ ซึ่งโนอาห์ฝึกให้นักเรียนทุกคนพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้ประโยชน์ในการสื่อสาร “อะผ่าอยู่เชียงใหม่หลายปีแล้วสินะ” เชนถาม “ผมลงจากดอยมาตอนอายุสิบสาม ตอนนี้ผมอายุยี่สิบห้าแล้ว” อะผ่าตอบ เขามองทางข้างหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนาจากการก่อสร้างถนน รถแบ็กโฮและรถบันทุกดินจอดทำงานบนถนนที่กั้นไว้ “อะผ่าชอบอยู่ในเมืองหรือชอบอยู่บนดอย” อินญาถาม เธออยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ “ผมชอบทั้งสองที่ อยู่ในเมืองผมได้เรียนหนังสือ ได้พบสิ่งใหม่ๆ ได้อยู่กับอาโฮหมี่ยะและคุณโนอาห์ เมื่อก่อนมีอาผี่ญิผ่าอีกคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเชียงใหม่ ทุกคนใจดีกับผมมาก แต่ผมก็ชอบอยู่บนดอยด้วยนะอินญา หมู่บ้านผมที่เราจะไปค้างคืนนี้อยู่ห่างจากชุมชนมาก มีป่าล้อมรอบ ตอนผมยังเล็กไม่เคยออกไปไหนเลย ได้แต่เดินไปโรงเรียนตอนเช้าและเดินกลับตอนบ่าย โรงเรียนก็อยู่ไกล” อะผ่าตอบพลางชำเลืองดูหญิงสาวที่นั่งข้างซ้าย ส่วนเชนที่อยู่เบาะหลังตอนนี้กอดอกหลับตาอยู่ในโลกของเขาโดยไม่รบกวนการสนทนาของบุคคลทั้งสอง “ไกลขนาดไหนล่ะ อะผ่า ตอนเด็กๆ อินญาต้องเดินไปโรงเรียนเหมือนกัน แต่อินญามีเชนเดินเป็นเพื่อน เราเดินกันวันละสองไมล์ทุกเช้าและบ่าย เว้นสุดสัปดาห์” เธอบอกพร้อมกับหันไปทางเชน “ของผมระยะทางเจ็ดกิโลเมตร” อะผ่าตอบ “ไป-กลับก็สิบสี่กิโลทุกวัน” “โอ้โห ตั้งเก้าไมล์ ไกลมากเลยนะ” อินญาอุทาน “เดินกันไปหลายๆ คนไม่รู้สึกว่าไกลหรอกอินญา ตอนเด็กผมมีเพื่อนในหมู่บ้านเยอะแยะ เราตื่นแต่เช้า แล้วก็ออกเดินไปพร้อมกัน เดินกันไปคุยกันไปเล่นกันไปเดี๋ยวก็ถึง ไม่เคยมีสักวันที่รู้สึกเบื่อ” อะผ่ายิ้มเมื่อนึกถึงวัยเด็กอันสนุกสนานในหมู่บ้านของตน แววตาของเขาเป็นประกายเมื่อเขาเล่าให้อินญาฟังถึงวิถีชีวิตที่เขาเติบโตมา “หมู่บ้านผมตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามที่พวกคนในเมืองต้องไปเช่ารีสอร์ทคืนละหลายพันบาทเพื่อได้เห็นทิวทัศน์แบบนั้น เราปลูกข้าวไร่เม็ดป้อมๆ ที่อุดมด้วยสารอาหาร ปลูกพืชผักที่ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง มีผลหมากรากไม้เป็นของกินเล่น เราเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ และมีป่าไม้ที่เปรียบเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตของเรา มีของกินของใช้ทุกอย่างอยู่ในนั้นที่ช่วยให้เราดำรงชีพอยู่ได้ โดยเฉพาะอาหารสดๆ ทั้งหน่อไม้หวาน เห็ดที่คนในเมืองไม่เคยได้กิน มียารักษาโรคที่เป็นสมุนไพร “ผมเคยถามตัวเองว่าหากผมใช้ชีวิตอยู่บนดอยตลอดไปจนแก่เฒ่าจะได้ไหม ใจหนึ่งผมคิดว่าได้นะ แต่พอผมเข้าโรงเรียนจนจบชั้นประถม วิถีชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พี่ชายบอกผมว่าไม่ต้องทำไร่แล้ว ผมต้องเรียนหนังสือต่อชั้นมัธยม เขาพาผมไปหาพ่อหลวงของหมู่บ้านและขอร้องให้ช่วยพาผมไปฝากเข้าโรงเรียนในเมือง พ่อหลวงดีใจตอบกลับมาว่าคุณโนอาห์สั่งไว้ตั้งแต่สองปีก่อนโน้น ว่าถ้าผมเรียนจบก็ให้พาผมไปสมัครเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิ แล้วเดือนต่อมาผมก็ไปอยู่เชียงใหม่ ได้กลับขึ้นดอยปีละสองสามครั้ง ส่วนพวกเพื่อนๆของผมเกือบทุกคนพอจบชั้นประถมแล้วไม่ได้เรียนต่อ บางคนไปทำงานรับจ้างในเมือง มีหลายคนที่ยังทำไร่ ส่วนใหญ่มีเมียมีลูกกันแล้ว เดี๋ยวพออินญากับเชนไปถึงก็จะได้เจอพี่ชาย พี่สะใภ้ พี่สาว หลานๆ และเพื่อนผม” ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยๆ จนหนึ่งชั่วโมงต่อมาถนนที่คดเคี้ยวขึ้นลงบนดอยนางแก้วระยะทางกว่าห้าสิบกิโลสิ้นสุดลงที่ตำบลแม่ขะจาน อะผ่ามองเห็นรถฮัมเมร่าสีเงินจอดหน้าร้านกาแฟใหญ่ไม่ห่างจากบ่อน้ำพุร้อน เขาพารถเข้าไปจอดต่อท้าย สุจาโบกมือให้เขาจากในร้าน “อาโฮสุจา คุณอาฤดี และคุณลุงชดนั่งอยู่ที่นั่นไง เราไปเข้าห้องน้ำและหากาแฟกินกันเถอะ” อินญาบอกอะผ่าและเชนผู้กำลังเปิดประตูรถ หนุ่มสาวทั้งสามเดินเข้าไปในร้านที่มีผู้คนบางตา “ปกติร้านนี้คนแน่นตลอด ผมเคยมาแวะแทบไม่มีที่นั่ง” อะผ่าบอก “เป็นไงเด็กๆ สนุกกันไหม” ชดทักถาม ท่าทางเขามีความสุขกับการเดินทาง “สนุกมากค่ะ อะผ่าขับรถเก่ง” หญิงสาวตอบด้วยดวงตาสดใส ผมสีส้มอมแดงสะบัดขณะที่เธอขยับใบหน้าไปทางอะผ่าแล้วหันไปยิ้มให้สุจากับฤดี เชนทรุดตัวลงนั่งข้างอะผ่า ท่าทางผ่อนคลาย เขาสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเข้ม มองเห็นมัดกล้ามชัดเจน “จะดื่มอะไรกันบ้างจ๊า บอกมาเลย” สุจาถามผู้มาใหม่ อินญา เชน และอะผ่าบอกพนักงานว่าตนต้องการดื่มอะไร “อย่ากินขนมเยอะนะครับ เดี๋ยวจากนี้เราจะไปกินอาหารเที่ยงที่ไทเกอร์คอมเพล็กซ์ที่อำเภอแม่สรวย”ชดกล่าวและพยักเพยิดบอกฤดีให้พูดต่อในรายละเอียดของการเดินทางที่พวกเขาปรึกษากันมาในรถ ฤดีกระแอมเบาๆ ก่อนพูดรวดเดียวหมดถ้อยกระทงความ “หลังออกจากไทเกอร์คอมเพล็กซ์เข้าถนนเล็กระยะทางยี่สิบแปดกิโลเมตรสู่ตำบลเชิงดอย เราจะแวะซื้ออาหารสดที่ตลาดประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อซื้อของเสร็จสรรพเราจะขับรถขึ้นสู่เทือกเขาผาชัน พอถึงกิโลเมตรที่ยี่สิบเจ็ด ตรงนั้นเป็นหุบเขาสูง มันคือรอยต่อของดอยผาชันกับดอยผาแดง เราต้องมองหาทางแยกเล็กๆ ด้านขวามือที่จะนำเราไปสู่หมู่บ้านของอะผ่า สมัยก่อนเป็นทางเดินเท้าที่ชาวบ้านใช้ติดต่อกับโลกภายนอก มีระยะทางประมาณสิบห้ากิโลเมตรจากทางแยก แต่เราคงใช้เวลามากหน่อย เพราะช่วงแรกเป็นป่ารกเรื้อเต็มไปด้วยเถาวัลย์และพงหญ้า ถนนเส้นนี้แทบไม่มีรถเข้าไป ถ้าเส้นทางไม่มีอุปสรรคพวกเราคงถึงบ้านผาแดงประมาณห้าโมงเย็น เราจะทำอาหารที่บ้านอะหล่องพี่ชายอะผ่า หน้าบ้านของเขาเป็นลานสาธารณะที่พวกคนไทยมักเรียกกันว่าลานสาวกอด เราจะจอดรถไว้ที่นั่นและคงต้องกางเต๊นท์นอนบนลานนั้นด้วยหากผู้อาวุโสอนุญาต” ฤดีหันไปมองอะผ่า เขาพูดเสริมด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ครับ บ้านผมหลังเล็กนิดเดียว พวกเราหกคนคงนอนไม่ได้หมด ผมขอแนะนำให้กางเต็นท์นอนที่ลานใหญ่หน้าบ้านพี่ชายผม ชาวอาข่าทุกหมู่บ้านต้องมีลานอเนกประสงค์แบบนี้เพื่อใช้จัดกิจกรรมส่วนรวมและใช้เป็นลานเต้นรำของหนุ่มๆ สาวๆ ในช่วงเทศกาลโล้ชิงช้า แต่ผมจะไปขออนุญาตผู้อาวุโสว่าคณะของเราจำเป็นต้องมีที่พักค้างสักสองสามคืน พ่อหลวงและชาวบ้านคงไม่ว่าอะไรครับ อ้อ มีอีกเรื่อง คือที่บ้านผมลำบากหน่อยนะครับ เราต้องเดินไปอาบน้ำที่ลำห้วยแล้วต้องหิ้วน้ำกลับมาใช้ในบ้าน ห้องส้วมมีห้องเดียวเพิ่งสร้างไม่กี่ปีนี้เอง สมัยก่อนพอตื่นเช้ามา คนในบ้านต้องถือเสียมเดินเข้าป่าหลังบ้าน เอาไว้ไล่หมูที่ตามไปติดๆ และเอาไว้ขุดดินกลบฝังของเสียของเรา” อินญาหัวเราะออกมาเมื่อนึกภาพที่อะผ่าบอก เธอพูดกับเขา “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงอินญาค่ะ เอ่อ ว่าแต่ว่าที่บ้านอะผ่ามีหมูเยอะไหม” “ก็มีหลายตัวอยู่นะครับ พี่ชายผมเลี้ยงเอาไว้ฆ่ากินตอนทำพิธี แต่อินญาไม่ต้องกลัวหมูจะเดินตามตอนเช้านะ เพราะที่บ้านผมมีห้องส้วม แต่หากอินญากลัวหมูก็ถือไม้ไว้เวลาจะไปไหน หมูมันชอบเดินตามคนสวย ๆ ครับ คุณลุงชดปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง” ทุกคนหัวเราะเมื่ออะผ่าพูดจบ บรรยากาศเช่นนี้ฤดีนึกเสียดายว่าหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ เธอคงจะมีความสุขมากที่อยู่ท่ามกลางมิตรเก่าทั้งชด สุจา พร้อมด้วยมิตรใหม่อย่างอินญา เชน และอะผ่า แต่เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจอย่างที่ควรจะเป็น เธอนึกถึงภาระหนักหน่วงที่รออยู่ข้างหน้า การค้นหาหมู่บ้านที่ไม่ปรากฏในแผนที่ และการตามหาตัวบุคคลที่เธอไม่เคยรู้จักหน้าค่าตา ที่ยากกว่านั้นคือการนำตัวยาออกมาเพื่อรักษาโรคที่กำลังระบาดไปทั่วโลก เป็นปฏิบัติการที่ไม่น่าไปไม่ได้ แต่บุคคลทั้งห้าที่อยู่เบื้องหน้าเธอกลับไม่มีคำถามและพร้อมล่มหัวจมท้ายกับเธอ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ฤดีก็มีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อให้สำเร็จตามแผน “หมู่บ้านของคุณมีประชากรสักเท่าไร” ชดถามอะผ่าเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เชนและอินญารู้เรื่องด้วย “มีห้าสิบกว่าครัวเรือนครับ มีไม่กี่ตระกูล ส่วนมากเป็นญาติพี่น้องกัน” อะผ่าตอบ “อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็แต่งงานกันไม่ได้น่ะสิ มีแต่ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น” ชดถามต่อ เขาพอรู้ธรรมเนียมของชาวเขาเผ่าต่างๆ มาบ้างตามประสามัคคุเทศก์เก่า “อ๋อ ไม่ยากครับ พวกผู้ชายพอเริ่มหนุ่มก็จะไปเที่ยวหาสาวต่างหมู่บ้านเวลามีงานโล้ชิงช้า ไปเต้นรำกันและทำความรู้จักกัน ไม่นานก็พาผู้ใหญ่ไปทำพิธีสู่ขอและรับตัวเจ้าสาวมาอยู่ด้วยก่อนปลูกข้าวปีถัดไปจะได้ช่วยกันทำไร่ บางคนได้ผู้หญิงที่มีลูกติดมาก็ทำให้คนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมยังเล็กเรามีกันแค่สิบครอบครัวนะครับ ตอนที่คุณโนอาห์ อาโฮหมี่ยะ และคุณครูฤดีไปที่หมู่บ้านผมครั้งแรกสิบกว่าปีมาแล้วพวกเราเริ่มมีคนมากขึ้นเป็นยี่สิบครอบครัวและขยายออกไปเรื่อยๆ” อะผ่าอธิบาย ฤดีฟังอะผ่าพูดจนจบแล้วเธอก็ถามเขาด้วยท่าทีระมัดระวัง “อะผ่า พี่ชายเธอเคยเล่าให้คุณโนอาห์ฟังว่าเกิดมีโรคระบาดในหมู่บ้านเมื่อตอนที่เธอยังเป็นทารกอายุห้าเดือน คนตายกันค่อนหมู่บ้านรวมทั้งพ่อและแม่เธอ ส่วนเธอเองเกือบไม่รอด เหตุการณ์ครั้งนั้นพวกญาติพี่น้องบอกเธอว่าอย่างไร” อะผ่าทำท่านึกก่อนตอบ “เมื่อผมยังเล็ก ผมเคยถามพี่ชายว่าพ่อแม่ของเราไปไหน พี่อะหล่องบอกว่าป่วยตายทั้งคู่ ก่อนตายพวกเขามีไข้สูง เลือดออกตามผิวหนัง จากนั้นก็เป็นฝีเป็นหนองพุพองไปทั้งตัว มีคนตายไปครึ่งค่อนหมู่บ้าน ต้องทำพิธีฝังศพกันทุกวันนานนับเดือน “ญาติผู้ใหญ่หลายคนเล่าว่าผมป่วยหนักเกือบไม่มีลมหายใจแล้ว ตอนนั้นที่บ้านผมมีงานสวดศพพ่อแม่ผมที่เพิ่งตายไปในเวลาไล่เรี่ยกัน ญาติคนหนึ่งบอกพี่อะหล่องให้อุ้มร่างผมวางบนกระจาดที่ปูด้วยใบตองและทิ้งไว้กลางนอกชานรอให้ผมตาย จะได้เอาไปฝังพร้อมศพเด็กคนอื่น “วันรุ่งขึ้น ผมยังมีชีวิตอยู่ ฝีตามตัวเริ่มแห้ง พี่สาวและพี่ชายดีใจมาก ไม่กี่วันต่อมาผมก็หายไข้ แล้วจากนั้นมาผมไม่เคยเจ็บป่วยอะไรอีกเลย มีบ้างที่เป็นแผลเพราะความซนหรือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการทำงาน เรื่องของผมเท่าที่รู้จากญาติพี่น้องก็มีเท่านี้ครับ” อะผ่าจบคำพูดของเขาด้วยการพยักหน้ากับตนเองเล็กน้อย “ขอบใจอะผ่ามากที่เล่าให้พวกเราฟัง คืนนี้เราคงได้คุยกันต่อ” ฤดีพูดกับเขาด้วยท่าทีครุ่นคิด “อินญาเสียใจกับอะผ่านะ” หญิงสาวนัยน์ตาโศกสลดเมื่อฟังหนุ่มอาข่าเล่าถึงเรื่องราวของตนที่สูญเสียพ่อแม่ไปในวัยเด็ก เชนแตะบ่าอะผ่าเป็นการแสดงความรู้สึกจากใจ ทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นชดก็ลุกขึ้น “เอาละเราไปกันเถอะ เดี๋ยวเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าไทเกอร์คอมเพล็กซ์ เราจะกินมื้อเที่ยงที่นั่น อะผ่าออกรถไปเลยไม่ต้องรอกัน อ้อ อย่าลืมแวะปั๊มเติมน้ำมันให้เต็มถังด้วยล่ะ” ชดพูดก่อนเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินค่ากาแฟให้ทุกคน “ครับ” อะผ่าลุกขึ้น เชนและอินญาเดินตามเขาไป ส่วนฤดีและสุจายืนรอชดอยู่ สักครู่พวกเขาก็ไปขึ้นรถพร้อมกัน ระยะทางตรงและวกวนบนทางลาดยางรวมห้าสิบกิโลเมตรกินเวลาประมาณสี่สิบนาทีจากตำบลแม่ขะจาน อำเภอเวียงป่าเป้า ถึงอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ชดและอะผ่าเมื่อแวะปั๊มเติมน้ำมันรถแล้วต่างนำรถเข้าไปจอดที่หน้าห้างสรรพสินค้าไทเกอร์คอมเพล็กซ์ จากนั้นพวกเขาทั้งหกคนก็เข้าไปรับประทานอาหารกลางวัน “เรารีบกินอาหารกันให้เสร็จแล้วออกเดินทางกันดีไหมคะ เดี๋ยวจะมืดค่ำ” ฤดีพูดกับชด “ที่หมู่บ้านผาแดงยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ฉันจะขอซื้อไฟฉายและแบตเตอรี่สำรองสักหน่อยค่ะ ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยจากบ้านแม่สลอง เพราะไม่คิดว่าจะต้องเดินทางเข้าหมู่บ้านบนดอยสูง ร้านค้าในห้างนี้ต้องมีขายแน่เพราะเป็นแหล่งสินค้าอุปโภคบริโภคของชาวภูเขาและชาวพื้นราบ” สุจาตอบทันควันว่า “พี่ฤดีขา เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง พี่ชดของเราเขารอบคอบ เขาจัดเตรียมของพวกนี้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว ไฟฉายแรงสูงหกกระบอก ถ่านไฟสำรองสองกล่องใหญ่ แถมตะเกียงดวงใหญ่แบบใช้น้ำมันก๊าด ชาวบ้านคงจะแตกตื่นกันคืนนี้แน่ค่ะด้วยนึกว่ามีหนังขายยามาฉายหากเราจุดตะเกียงกันสว่างจ้า แต่ไม่เป็นไรเราใช้เทียนไขจุดกันก็ได้เพราะพี่ชดซื้อหามาหลายห่อเหมือนกัน” สุจาผู้วัยเด็กเติบโตขึ้นมาที่หมู่บ้านอันยากจนบนยอดดอยผาชันเข้าใจสภาพการณ์ของหมู่บ้านผาแดงได้ดีแม้ว่าเขาจะไม่เคยไป เพราะมันไม่ต่างกันเท่าไรระหว่างอดีตและปัจจุบันสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก “แหม สุจา ผมอุตส่าห์ไปซื้อตะเกียงเจ้าพายุมาใช้เพราะอยากให้เรามองเห็นชัดๆยามค่ำคืน อย่าลืมว่าเราไม่ใช่เด็กๆแล้ว อายุเราสามคนรวมกันก็ร้อยแปดสิบ หูตาฝ้าฟาง เกิดสะดุดรากไม้หกล้มไปจมูกหักหน้าตาเสียโฉมแล้วจะหาว่าผมไม่เอาใจใส่” ชดพูดภาษาไทยกับสุจาพลางขยับเก้าอี้ลุกขึ้น “พี่ชดขา สุจาไม่ได้ว่าอะไรพี่เลยนะคะ ดีเสียอีกที่พี่ชดรอบคอบเตรียมของใช้ที่จำเป็นไว้ทุกอย่าง เมื่อเราไปถึงหมู่บ้านแล้วสุจาจะทำอาหารอร่อยๆให้พี่ชดทานเต็มที่นะคะ” สุจาสะบัดผมและเกาะแขนชดกับฤดีคนละข้างเดินออกมาจากโต๊ะ “เอ้า พวกเด็กๆ เล็ตสโก เราไปกันได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวไปเจอกันที่ตลาดเชิงดอย” เธอหันไปบอกอินญา เชน และอะผ่า ห้านาทีจากนั้นรถโฟร์วีลสีขาวและรถฮัมเมร่าสีเงินก็เลี้ยวออกจากห้างสรรพสินค้าไทเกอร์คอมเพล็กซ์เมื่อเวลาบ่ายสอง รถทั้งคู่เข้าสู่ถนนสายในที่มุ่งหน้าสู่ตำบลเชิงดอยซึ่งเป็นชุมชนคนเมืองอันเป็นปลายทางของพื้นที่ราบก่อนขึ้นสู่ดอยสูงของผาชัน เมื่อชดจอดรถหน้าตลาดแล้วเขาก็หันมาพูดกับฤดีว่า “เสบียงของแห้งที่สุจาเตรียมมาในกล่องหลังรถ เราจะเก็บสำรองไว้ใช้ยามจำเป็นจริงๆ ตอนนี้เราซื้ออาหารสดไปทำกินกันก่อนสักสองวันนะครับ” จากนั้นเพื่อนเก่าทั้งสามก็ลงจากรถซึ่งพอดีกับที่เชน อินญาและอะผ่ามาถึงพอดี เมื่อนานมาแล้วตลาดแห่งนี้เป็นเพียงเพิงพักให้ชาวตำบลนำผลิตผลพื้นบ้านจากสวน ไร่ นาของตนมาขายประมาณบ่ายสามถึงเย็นค่ำ ทั้งผักสดและผลไม้บ้านรวมทั้งแกงถุงและขนมหวาน แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก มันกลายเป็นตลาดใหญ่ที่เปิดขายของตลอดวันตั้งแต่เช้ามืด มีห้องแถวผุดขึ้นโดยรอบ สินค้าที่นำมาจำหน่ายนอกจากของพื้นเมืองแล้วยังมีของกินของใช้จากโรงงานและจากห้างสรรพสินค้าประเภทขายส่ง อีกทั้งเครื่องดื่มประเภทต่างๆ “ใครชอบกินผักหรืออาหารแบบไหนก็จัดการซื้อไปตามสะดวกเลยครับ แต่ถามความสมัครใจของแม่ครัวก่อนนะว่าเขาจะมีเวลาทำให้หรือเปล่า เพราะเขาต้องทำอาหารเลี้ยงผมเป็นกรณีพิเศษ” ชดบอกและหันไปทำหน้าทะเล้นให้สุจา “ไม่มีปัญหาค่ะ สุจายินดีบริการทุกคนอยู่แล้ว ไปกันเถอะพ่อรูปหล่อ” สุจาพูดพลางจูงแขนเชนนำลิ่วไปทางร้านค้า ทิ้งให้อะผ่ากับอินญาเดินคู่กันไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม