ยี่สิบนาทีผ่านไป ฤดีสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงอินญาเรียกเธอให้ลุกขึ้นมาร่วมวงอาหารที่ขณะนี้ทุกคนพร้อมแล้ว แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุสว่างจ้าอยู่บนหลังคารถสีขาวที่เปื้อนเปรอะไปด้วยโคลนและเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนรอบคัน เบื้องหน้าคือเพื่อนร่วมทีมที่นั่งล้อมวงรอบเสื่อผืนใหญ่ บนนั้นมีอาหารส่งกลิ่นหอมฉุยยั่วน้ำลาย สุจากำลังตักข้าวใส่ชามกระดาษส่งให้ทุกคน
“โอย ฉันขอโทษนะ น่าอายจริงๆเลย” ฤดีพูดอย่างกระดากพลางลุกขึ้นนั่ง
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่สบายหรือเปล่า” ชดถาม
“ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ” ฤดีตอบพลางมองทุกคนที่มีท่าทีหิวโหย “ลงมือทานไปก่อนเลยค่ะ ไม่ต้องรอฉัน”
“ผมไม่รออยู่แล้ว” ชดจ้วงอาหารในชามของตนเข้าปากและทำหน้าพอใจ
“พี่ฤดีมานั่งตรงนี้ค่ะ” สุจาขยับแบ่งที่ให้ฤดีนั่งข้างเขา นาฟิกาข้อมือเธอบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง
“เมื่อกี้คุณชดเดินไปดูที่ฝั่งขวา ได้ยินเสียงน้ำตกไหมคะ” ฤดีถามพลางรับจานข้าวจากสุจา
“ได้ยินครับ เสียงน้ำตกแว่วมาจากที่ไกลๆ ต้องตั้งใจฟังมากจึงจะได้ยิน” ชดตักอาหารเข้าปากอีกคำและยกนิ้วให้สุจา “อร่อยมากเพื่อนรัก ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีคุณ”
“แหม พูดเข้า พี่ชดนี่ละก็” สุจาแกล้งทำท่าเขิน เขาส่งเนื้อปิ้งชิ้นใหญ่ให้เชน “พ่อรูปหล่อกินให้เยอะๆนะจ๊ะ”
เชนรับจานที่สุจายื่นให้ด้วยท่าทีกะตือรือล้น “ขอบคุณครับมาดาม เดี๋ยวอิ่มแล้วผมจะช่วยเก็บกวาดและกางเต๊นท์ให้พวกเราทุกคน คุณอาสุจากับอินญาวางมือได้หลังจากนี้”
“เราสองคนช่วยกันดีกว่า เมื่อกี้อินญาช่วยนิดเดียวเองค่ะ แค่ล้างผักผลไม้ใส่จาน และเป็นลูกมืออาโฮสุจา เชนเสียอีกที่ออกแรงเช็ดพื้นจนแห้งสนิทนั่งสบาย”
อินญามองเชนและสุจาจากนั้นก็หันไปมองอะผ่าที่ก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เขาคงหิวอยู่นานแล้วแต่อดทนไว้
“โชคดีจริงๆ ที่สุจาและคุณชดเตรียมอุปกรณ์เดินป่าและหาของจำเป็นไว้พร้อม ทั้งเตาแก๊สพกพา น้ำดื่มน้ำใช้ ภาชนะกระดาษ เครื่องปรุงรส แถมเรายังแวะตลาดสดซื้อหาเสบียงมามากมาย เสียดายก็แต่ไม่ถึงมืออะหล่องและพี่น้องชาวหมู่บ้านผาแดง” ฤดีพูด เธอเงยหน้ามองสุจาและชดด้วยสายตาชื่นชมและขอบคุณ
“ว่าแต่เราจะกางเต๊นท์บนลานหินนี่ได้หรือพ่อรูปหล่อ” สุจาถามเชน
“ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวใช้อุปกรณ์ในรถเจาะหินและไขสกรู เรามีเต๊นท์มาครบทุกคนไหมครับ ผมกับอินญาพกใส่เป้มาคนละหลังแล้ว” เชนถาม
“ของผมกับอาโฮสุจาและครูฤดีใช้เต๊นท์ของคุณโนอาห์ที่มีไว้ประจำรถได้ครับ มีสามหลังพอดี” อะผ่าบอกหลังจากลำเลียงอาหารใส่ท้องจนสบายตัว
“ผมมีติดรถมาสองหลังสำรองไว้ ใครนอนดิ้นจนเต๊นท์พังมาเอาไปใช้ได้” ชดบอก เขาหยิบผลไม้ใส่ปากกินกับข้าวอย่างอร่อย
“พี่ชดรอบคอบทุกอย่าง” สุจายกนิ้วให้
“ประสบการณ์เก่ามีประโยชน์เสมอ” ชดรับคำชมอย่างเต็มใจ
เมื่อทุกคนอิ่มกันแล้ว ฤดีรับอาสาเก็บกวาดเศษอาหาร
“ฉันขอทำตัวมีประโยชน์หน่อยนะ ตลอดวันที่ผ่านมาฉันรู้สึกเอาเปรียบคนอื่น เชนช่วยไปจัดการกางเต๊นท์ละกัน เดี๋ยวฉันเคลียร์ตรงนี้เอง”
“ได้ครับ” เชนตอบพลางลุกขึ้นยืน
“ว่าแต่ตะเกียงนี้เราจะจุดไว้ทั้งคืนไหมคะ” สุจาถามขณะที่เก็บขยะใส่ลงในถุงพลาสติกรวมกัน
“เดี๋ยวพอทุกคนเอาของจำเป็นลงจากรถแล้ว เราเปลี่ยนมาใช้ไฟโคมแบตเตอรี่ เพราะเราต้องประหยัดแก๊สตะเกียงเจ้าพายุไว้ใช้คืนต่อๆไป”
ชดหยุดเดี๋ยวหนึ่งแล้วพูดต่อ “เราต้องมีเวรยามคอยดูแลกันด้วยเผื่อมีสัตว์ร้ายหรือมีเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นมา”
“เดี๋ยวฉันเฝ้าผลัดแรกละกันค่ะ เพราะเมื่อกี้ฉันได้งีบไปพักใหญ่ๆแล้วคงนอนไม่หลับอีกนาน” ฤดีบอก
“โอเค ถ้าอย่างนั้นใครอีกที่อยากอยู่ผลัดแรก สักสี่ชั่วโมง” ชดถาม อินญายกมือขึ้นเหมือนนักเรียนขออนุญาตคุณครู
“อินญาขออยู่เป็นเพื่อนคุณอาฤดีด้วยค่ะ อินญานั่งหลับมาในรถเมื่อตอนบ่าย จริงๆ คือยังเจ็ตแล็กอยู่ค่ะ เวลานี้ที่บ้านอินญาเป็นตอนเช้า” หญิงสาวให้เหตุผล
“ผมด้วยครับ ผมไม่รู้สึกง่วงเพราะไม่ได้ออกกำลังทั้งวัน ได้แต่นั่งรถให้อะผ่าขับ ออกเดินแค่นิดหน่อยตอนไปตลาดและเมื่อกี้นี้ที่ไปสำรวจลานด้านซ้าย” เชนทำท่ายกมือเหมือนอินญา
“โอเค ถ้าอย่างนั้นผลัดแรกมียามสามคน” ชดบอก เขามองไปรอบๆ “เอ แถวนี้มันไม่มียุง และฝนคงไม่ตกอีกแล้ว อากาศก็ไม่หนาวมากเท่าไร ผมว่าเราห่มถุงนอนดูดาวล้อมโคมไฟกันดีไหม บรรยากาศแบบนี้ชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่ครั้ง”
ชดพูดด้วยน้ำเสียงชวนสนุก แต่เหตุผลที่ซ่อนอยู่คือเพื่อความปลอดภัย เพราะการนอนในที่โล่งแจ้งควรมองเห็นได้รอบทิศเผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจะได้ไม่ต้องมีใครจนมุมอยู่ในเต๊นท์
“หูยย ดีค่ะ ถ้างั้นเราเอาผ้าใบมาปู เอาถุงนอนออกมาห่ม อย่าลืมหมวกอุ่น ถุงมือหนาๆ และผ้าพันคอ” สุจาเห็นด้วย “แต่พี่ชดและอะผ่าต้องนอนให้หลับจริงๆ นะคะ พรุ่งนี้เราต้องขับรถกันอีกไกล”
เมื่อทุกคนตกลงเห็นชอบร่วมกัน เป็นอันว่าต่างคนต่างดึงถุงนอนของตนออกมาจากท้ายรถและปูล้อมวงบนลานใหญ่หลังจากช่วยกันเช็ดลานจนแห้งสนิท ชดเปิดโคมไฟดวงเล็กวางตรงกลาง
“ใครปวดท้องหนักเบา มีบอดี้การ์ดส่องไฟตามไปบริการให้ถึงที่นะครับ”
เชนที่เริ่มคุ้นเคยกับฤดีพูดหยอกเย้า ฤดีหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดว่า
“ดีเหมือนกันค่ะ เอ้า ใครจะไปชิ้งฉ่องก็ตามมานะจ๊ะ”
ฤดีเดินถือไฟฉายส่องไปทางป่าด้านหลัง ทั้งอินญาและสุจารีบลุกขึ้นราวกับนัดกันไว้
“หนูก็ปวดอยู่นานแล้ว ว่าจะชวนพี่ฤดีแว่บไปที่พุ่มไม้ตรงนั้น แต่มันก็จะเอิกเกริกเกินไป เพราะต้องส่องไฟกันหลายดวง” สุจารีบค้นในกระเป๋าหาทิชชู่เปียกมาถือไว้พร้อมถุงพลาสติกหนึ่งใบ
“เอาอย่างนี้ดีกว่า พวกสาวๆ ถือผ้าขะม้าของผมไปด้วย ไม่ต้องไปไกล แค่ริมป่าใกล้ๆให้พวกเรามองเห็นจะได้ไม่เป็นห่วง สองคนถือผ้าขาวม้ากางเป็นฉากบังตาไว้ คนที่ทำธุระก็ทำไป” ชดแนะนำ อินญาฟังแล้วก็หัวเราะคิกและตบมือด้วยความพอใจ
“คุณลุงชดฉลาดจังเลย มาด้วยกันไหมคะ อินญาจะกางผ้าให้ รับรองไม่แอบดู”
“ผ้าผืนแค่นั้นบังตัวผมไม่มิดหรอก ของผมทำธุระเสร็จแล้วพร้อมหนุ่มสองคนนี่ตอนที่เดินไปฟังเสียงน้ำตก หรือหากปวดท้องอีกทีผมก็จะหันหลังยืนฉี่เอาแถวๆนี้ละกัน” ชดบอกยิ้มๆ
“ว้าย ไม่ได้นะคะ กลิ่นฉุนจะโชยฟุ้งมา เดี๋ยวหนูเขียนป้ายไปแปะข้างรถว่าที่หมาเยี่ยว”
สุจาพูดแล้วแสร้งขมวดคิ้วทำหน้าดุก่อนรับผ้าขาวม้าของชดมาถือไว้พลางสาวเท้าเดินตามอินญาและฤดีที่ออกหน้าไป มีเชนเดินทิ้งระยะอยู่ห่างๆ และส่องไฟฉายกราดไปทางอื่น
ชดจัดการขยับรถของเขาไปอยู่ด้านขวาเพื่อให้ทุกคนได้นอนอย่างปลอดภัยในพื้นที่ตรงกลาง
ไม่นานคนทั้งสี่ก็เดินกลับมา สุจาเอาถุงใส่เศษทิชชู่ยัดลงในถุงขยะใหญ่ เขามีนิสัยรักความสะอาดและดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะไปไหนเขาไม่เคยทิ้งอะไรเรี่ยราดแม้เศษพลาสติกห่อลูกอมหรือหลอดกาแฟ
“เอาละนะ ตอนนี้ใครง่วงก็ล้มตัวลงนอนไป คนไหนยังไม่ง่วงก็ดูดวงจันทร์วันเก้าค่ำ ฟ้าสว่างอย่างนี้คงไม่มีฝนหรอกนะ”
ชดพูดพลางอ้าปากหาว เขาล้มตัวลงนอนแล้วหลับตา อะผ่าซึ่งนั่งข้างเขาช่วยขยับหมอนลมใบเล็กให้รองศีรษะอย่างพอดี ชดกล่าวขอบใจเบาๆ แล้วถอนหายใจยาว สักพักก็กรนออกมา
จากนั้นทุกคนปิดปากเงียบ ไม่มีใครพูดคุยอะไรอีก เพราะอยากให้ชดพักผ่อนอย่างเต็มที่ ดวงดาวตรงปลายฟ้ากะพริบพราวราวกับกำลังพูดคุยซุบซิบกันถึงบุคคลทั้งหกที่เอนหลังอยู่บนลานหิน รถสองคันในสภาพสมบุกสมบันจอดนิ่ง พวกมันอยู่ในความหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า
อากาศเริ่มหนาวจัด สุจาเดินไปเปิดหลังรถ เขาหยิบเตาแก๊สแบบกระป๋องออกมาตั้งอย่างเบามือแล้วจัดการต้มน้ำในหม้อใบเล็กก่อนหยิบซองเครื่องดื่มพร้อมแก้วกระดาษส่งให้ผู้ที่ตื่นอยู่ เชนและอินญามองสุจาอย่างซาบซึ้งเพราะพวกเขาหิวกาแฟเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่กล้ารบกวน เมื่อสุจารินน้ำร้อนใส่แก้วให้ ทั้งสองเอามือทาบอกเป็นการขอบคุณ ไม่นานอะผ่าก็ล้มตัวลงนอนข้างชดและหลับตามไปด้วยความอ่อนเพลีย สุจาดื่มโกโก้หมดถ้วยแล้วซุกตัวเข้าไปในถุงนอน จากนั้นเขาก็ผล็อยหลับอย่างง่ายดาย
ฤดีรอจนเพื่อนร่วมทีมทั้งสามหลับสนิท แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินห่างออกไปเพื่อยืดแข้งยืดขา เชนและอินญาเดินตามหลังมาห่างๆ โดยไม่มีใครส่งเสียงพูดอะไร ป่ารอบข้างมีเสียงซัดส่ายของกิ่งก้านใบไม้ยามถูกสายลมพัดฟังราวเสียงถอนหายใจ นกกลางคืนกู่เรียกกันเป็นระยะ เสียงน้ำตกได้ยินชัดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ฤดีเอามือซุกกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตตัวหนา
“คุณอาฤดีกังวลใจใช่ไหมคะ”
อินญาเดินมาใกล้และกระซิบถาม หญิงสาวเพ่งมองใบหน้าฤดีที่อยู่ในความมืด
“นิดหน่อยจ้ะ อินญา” ฤดีตอบสั้นๆ “ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุที่พาพวกเรามาลำบาก”
“โอ อย่าคิดอย่างนั้นครับคุณอาฤดี การเดินทางด้วยกันครั้งนี้เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ผมภูมิใจนะครับที่มีโอกาสร่วมทางมากับคุณอา ผมภาวนาให้พวกเราปลอดภัยและสามารถนำตัวยาออกไปช่วยรักษาคนที่กำลังเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน” เชนพูดเสียงเบา ฤดีมองหน้าเชนในความมืดและถามอย่างสนใจว่า
“เธอภาวนาต่ออะไรหรือจ๊ะ เชน ฉันขอโทษที่ถาม แต่ฉันอยากรู้ว่าเธอนับถือสิ่งใด”
“ผมภาวนาต่อบรรพบุรุษชาวนกฟ้าของผมครับ คุณอาฤดี ชาวนกฟ้ามีบรรพบุรุษคนแรกเมื่อหลายหมื่นปีมาแล้วตั้งแต่สมัยที่เรายังนุ่งห่มเปลือกไม้ อาศัยอยู่ในถ้ำ ถือกระบองออกล่าสัตว์ เขาเป็นผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เขาคุ้มครองแผ่นดิน แม่น้ำ ภูเขา ต้นไม้ รวมไปถึงแผ่นฟ้า ชาวนกฟ้ามักภาวนาขอให้เขาช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุจำเป็น เราไม่มีเทพเจ้า ไม่มีศาสดา เรามีแต่บรรพชนผู้ที่เราสืบสายเลือดมาจากพวกเขา”
เชนพูดอย่างภาคภูมิใจ ฤดีจำได้ว่าเธอเคยอ่านประวัติเกี่ยวกับเจ้าของถิ่นดั้งเดิมผู้อยู่อาศัยในภูมิภาคต่างๆของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนังสือเหล่านั้นเขียนไว้ว่าพวกเขาบางส่วนอพยพมาจากตอนเหนือของไซบีเรียเมื่อช่วงปลายยุคน้ำแข็งใหม่
“อินญาอยากให้เราได้พบหมู่บ้านริมธาร ได้เจอญิผ่าที่เราตามหา อินญามีความรู้สึกลึกๆ ว่าเราจะทำงานนี้สำเร็จ” หญิงสาวพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผมก็มีความรู้สึกเช่นนั้นนะครับ อุปสรรคทั้งหลายที่เราพบมาวันนี้ผ่านไปได้อย่างดี ไม่มีอุบัติเหตุใดๆ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แม้เราจะเจอทั้งพายุฝน ทั้งหลงทาง รวมทั้งต้องมานอนค้างอยู่บนลานริมผา รอบข้างมีแต่ป่าเขา ดังนั้นเราก็จะต้องผ่านคืนนี้ไปได้ รวมทั้งวันต่อไปด้วย จนกระทั่งภารกิจสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี” เชนกระซิบบอก
“ขอบใจมากนะเชนและอินญา”
ฤดีหันไปมองชด สุจา และอะผ่าที่กำลังนอนหลับนิท จากนั้นเธอก็บอกสองหนุ่มสาวว่า
“เอาละจ้ะ เราเลิกคุยกันก่อนดีกว่า เพราะฉันอยากให้โชเฟอร์ยอดทรหดและแม่ครัวมือหนึ่งของเราได้พักผ่อนเต็มที่ เดี๋ยวฉันจะกลับไปนั่งเฝ้ายาม” ฤดีตบบ่าเชนและอินญา สองหนุ่มสาวทำมือบอกกับเธอว่าพวกเขาจะเดินตรวจตราไปรอบๆ ลานหิน
ไม่นานเชนและอินญาเดินกลับมานั่งบนผืนผ้าใบ เมื่อเวลาล่วงผ่านไปถึงเที่ยงคืน ฤดีก็ม่อยหลับ เหลือแต่คนทั้งคู่ที่ยืนเดินนั่งระวังภัยต่อจนเกือบตีสาม จากนั้นชดกับอะผ่าก็ตื่นขึ้นมาผลัดเวร สองหนุ่มสาวพากันมุดตัวเข้าถุงนอนแล้วดึงหมวกอุ่นขึ้นคลุมศีรษะและปิดหน้า แม้อากาศหนาวจัดแต่ไม่มีน้ำค้างบนแผ่นหินเพราะมีลมพัดโชยมาอ่อนๆ ตลอดคืน