บทที่ 4 เส้นทางวิบาก
เช้าวันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2020
เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว ชดสะบัดแขนขาขยับเหยียดร่างเพื่อคลายเมื่อยจากการขดตัวนอนในท่าเดียวอยู่เป็นนาน จากนั้นเขาลุกเดินเป็นวงกว้างวนรอบรถขะมุกขะมอมทั้งสองคันและย่องไปปลดทุกข์ที่ชายป่า ไม่นานก็กลับมาที่ท้ายรถและจุดเตาแก๊สสนาม เขาต้มน้ำร้อนชงกาแฟแบ่งกันดื่มกับอะผ่าผู้ตื่นก่อนหน้าเขาไม่นาน
ชดดูนาฬิกาข้อมือ เวลาตีสามกว่าๆ เขาหลับไปได้เกือบหกชั่วโมงซึ่งนับว่านานกว่าคนอื่น อันที่จริงอินญาและเชนน่าจะปลุกเขาก่อนตีสองด้วยซ้ำ แต่หนุ่มสาวทั้งคู่คงต้องการให้เขากับอะผ่าพักผ่อนให้เต็มที่จึงอยู่ยามกันจนเลยค่อนคืน ส่วนฤดีกับสุจาซึ่งต่างสูงวัยแล้ว สมควรได้นอนพักผ่อนให้พอเพียงเพื่อคงสุขภาพไว้สำหรับปฏิบัติภารกิจหลังจากเช้าวันนี้
ชดแหงนมองดูดาวที่พร่างพราวเต็มฟ้าอันเยือกเย็น ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดได้ว่าการหาทิศทางนั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือสังเกตดูดาวศุกร์ ซึ่งช่วงหัวค่ำดาวดวงนี้สถิตบนฟ้าด้านทิศตะวันตกแล้วโคจรสู่ทิศตะวันออกยามใกล้รุ่ง มันอยู่ในวิชาลูกเสือที่เขาเรียนมาเมื่อวัยเด็กจนเกือบลืมเลือนไปแล้วหากไม่หลงป่า ชดกราดสายตามองหาครู่หนึ่ง อยู่นั่นไง ดาวศุกร์แสงเย็น มันลอยดวงอยู่บนท้องฟ้าด้านขวามือที่เขาได้ยินเสียงน้ำตกแว่วมา
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็หลงทางเพราะหลงทิศ ด้วยเข้าใจผิดว่าเหนือเป็นใต้ซ้ายเป็นขวา เมื่อดูจากตำแหน่งของดาวศุกร์แล้ว สุดลานหินเบื้องหน้าของพวกเขาคือทิศตะวันออก และทิศตะวันตกคือเส้นทางที่พวกเขาผ่านทะลุป่ามาเมื่อคืนนี้ แต่มันเป็นไปได้อย่างไรที่ทั้งเขาและอะผ่าจะไม่รู้ตัวว่าขับรถไปด้านตรงข้ามกับเป้าหมาย อีกทั้งเข็มทิศพกพาของอินญากับเข็มทิศคอมพิวเตอร์ในรถเขาก็ชี้ไปทิศทางเดียวกัน
ชดสะบัดหัวอย่างมึนงง เขามองสำรวจท้องฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่าดวงดาวที่เขาเห็นนั้นคือดาวศุกร์ เมื่ออยู่บนดอยสูงอย่างนี้ดาวทุกดวงดูเด่นมีที่ทางของตนเองอย่างแน่ชัดทั้งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์
นานมาแล้วที่ชดไม่ได้เห็นหมู่ดาวพร่างพราวเต็มผืนฟ้าไร้เมฆและไม่ถูกรบกวนด้วยแสงจากโคมไฟที่ตั้งอยู่กลางผืนผ้าใบส่องสว่างในรัศมีไม่กี่เมตร ดวงจันทร์ครึ่งดวงกำลังเคลื่อนคล้อยไปยังริมผาสุดปลายลานหิน เขาคิดถึงครอบครัวที่อยู่ชานกรุงลอนดอน เวลาขณะนี้ที่อังกฤษเพิ่งสามทุ่มครึ่ง ซูซานคงกำลังนั่งพักผ่อนดูโทรทัศน์รายการโปรด เธอชอบจิบชาคาโมไมล์แกล้มขนมอบรสต่างๆที่เธอทำไส่โหลวางเรียงเป็นแถว เคธลินลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่ย้ายไปอยู่ที่แฟลตในเมืองเพื่อไม่ต้องขับรถไปมาระหว่างอยู่มหาวิทยาลัย ชดและครอบครัวพูดคุยโทรศัพท์และส่งข้อความหากันวันละหลายครั้ง เวลานี้ซูซานคงเป็นห่วงเขาที่เงียบหายไป แต่เธอรู้อยู่แล้วว่าเขากับเพื่อนอยู่บนดอยสูงซึ่งพื้นที่บางแห่งอับสัญญาณ
เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาก่อนได้พบกับซูซานคู่ชีวิต เขาเคยเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวและเป็นหุ้นส่วนกับบริษัททัวร์เล็กๆ ตั้งอยู่บนถนนท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 ช่วงนั้นเขาเป็นหนุ่มหล่อเข้มมาดแมน หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากการเป็นไกด์ ซึ่งได้ทั้งทิปและค่าน้ำร้อนน้ำชาด้วยอุปนิสัยผูกมิตรกับคนง่าย เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ และรักงานบริการ ความเป็นหนุ่มโสดไร้พันธะทำให้เขาเที่ยวไปมีสัมพันธ์สำส่อนกับสตรีมากมายตั้งแต่หญิงทำงานสถานบันเทิงไปจนถึงลูกทัวร์ จนวันหนึ่งสาวน้อยชาวสันกำแพงผิวนวลขาวที่เขาสนิทสนมและไปมาหาสู่เป็นครั้งคราวเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา เธอบอกว่าเขาเป็นพ่อเด็ก ซึ่งเขาก็แบ่งรับแบ่งสู้และดูแลจนเธอคลอดลูกชาย จากนั้นเขายุติความสัมพันธ์กับหญิงคนนี้แต่ยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเด็กชายผู้มีใบหน้าและผิวพรรณเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขาคนหนึ่ง...
...เมื่อต้นปี 1989 เขามีโอกาสรู้จักกับฤดีเมื่อคราวที่พาลูกทัวร์สี่คนไปเที่ยวดอยผาชัน พวกเขาขึ้นรถกระบะโดยสารคันเดียวกับสุจา อาผี่ญิผ่า ฤดี และโนอาห์ โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุรถยางแตกลื่นไถลตกถนนไปจนถึงหน้าผา ผู้โดยสารทั้งหมดต้องพักแรมอยู่ในป่านั่งรอบกองไฟด้วยกันหนึ่งคืน พวกเขาผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ จนถึงย่ำรุ่งเกิดเหตุการณ์น่าสยดสยองขึ้น จากนั้นทุกคนต่างแยกย้ายกันไปตามบทบาทและหน้าที่ของชีวิต เขาพยายามติดต่อหาฤดี ผู้ทำให้เขารู้สึกอยากเป็นคนที่ดีขึ้น เขาอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง อยากลงหลักปักฐานกับคนที่ใช่ เขาบอกฤดีเกี่ยวกับหญิงสันกำแพงและลูกชาย ปรากฏว่าฤดีรับไม่ได้ เธอค่อยๆ ถอยห่างจากเขาไป...
...เขายังทำงานเป็นมัคคุเทศก์ต่อไปจนถึงปี 1999 วิกฤตต้มยำกุ้งทำให้เศรษฐกิจล่มทั้งประเทศ บริษัทนำเที่ยวของเขาและหุ้นส่วนเริ่มล้มลุกคลุกลาน จนถึงปี 2000 เขาได้ลูกทัวร์ชาวอังกฤษวัยปลายสามสิบคนหนึ่งชื่อซูซาน เขารับเป็นไกด์ส่วนตัวพาเธอเที่ยวตลอดสัปดาห์ จากนั้นเธอก็ออกปากชวนเขาไปทำงานกับเธอที่ชานกรุงลอนดอน เธอมีร้านอาหารเล็กๆ เป็นธุรกิจของพ่อแม่ปู่ย่าที่ตั้งมาเนิ่นนานหลายสิบปี เขาตกลงใจตามเธอไปอยู่เมืองนอก เขาฝึกหัดทำอาหารและพัฒนาฝีมือจนเป็นเชฟฝีมือดีประจำร้านแห่งนั้น ปีต่อมาซูซานและเขาตกลงใจแต่งงานกัน หลังจากนั้นทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่เขายังส่งเสียลูกชายคนแรกจนจบการศึกษามีงานทำและแต่งงานมีครอบครัว เขาไปแวะหาลูกชายทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมเมืองไทย...
...ไม่นานมานี้ เขาในวัยหกสิบกว่า รูปร่างเปลี่ยนจากหนุ่มล่ำสันหล่อเข้มกลายเป็นชายร่างท้วมใหญ่ศีรษะเกือบล้าน เขากลับมาเชียงใหม่อีกครั้งและจัดการซื้อที่ดินสิบไร่ที่อำเภอสันกำแพงเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย เขามีเงินเก็บเงินก้อนใหญ่จากการทำงาน ภายหลังเมื่อถึงวัยพักผ่อนซูซานก็ยกร้านอาหารให้น้องชายคนเล็กผู้เป็นหุ้นส่วนของเธอไปดำเนินการต่อกับครอบครัว หลังแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างลงตัวแล้วเขาเดินทางกลับมาอยู่เชียงใหม่ ซูซานยังอยู่อาศัยที่แฟลตเก่าเพื่อดูแลเคธลินลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่ที่ใกล้เรียนจบ...
...เมื่อต้นปีนี้ 2020 นี้เองที่เขากับเพื่อนเก่านัดพบกัน จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันทางสื่อสังคมออนไลน์เป็นประจำจนกระทั่งได้ข่าวโนอาห์ถึงแก่กรรมเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สุจาบอกเขาให้รับรู้ถึงภารกิจของฤดีที่โนอาห์สั่งเสียไว้ในจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วเขาและเพื่อนๆก็ได้มานั่งรับลมหนาวในเวลาใกล้ตีสี่บนลานหินแห่งนี้ไงล่ะ ...
ชีวิตช่างวิเศษเสียนี่กระไร ความท้าทายมีอยู่ทุกแห่งที่ค้นหา
ชดนั่งมองเหม่อดูหมู่ดาวและจิบกาแฟไปพลางขณะคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่แล่นอยู่ในหัวสมองเหมือนขบวนรถไฟ จนเมื่อเขาลดสายตาลงไปที่ขอบฟ้าเขาถึงกับสะดุ้งเฮือก ภาพตรงหน้าจู่ๆ ปรากฏขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว
ชดหันไปมองอะผ่าผู้กำลังจ้องภาพนั้นอยู่ก่อนแล้ว อะผ่านั่งนิ่ง มือกระชับกระบอกไฟฉายไว้แน่น เขาชำเลืองมาทางชดและกะพริบตาเป็นเชิงบอก ทั้งสองหันกลับไปยังหน้าผา แสงจากดวงจันทร์ส่องให้เห็นร่างมนุษย์ผู้หนึ่งนั่งหันหลังให้ทั้งคู่ดูราวกับเงาหินทาบทับปลายฟ้าที่เริ่มมีแสงจางๆ
สักพักมือของเงานั้นยกขึ้นไปที่ใบหน้า อึดใจหนึ่งกลิ่นใบยาเส้นก็ลอยโชยมา กลิ่นนี้ทำให้อะผ่าคิดถึงหมู่บ้านของเขาจับใจ
“เขาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” ชดกระซิบถามอะผ่า
“ผมเห็นสักพักหนึ่งแล้ว” อะผ่ากระซิบตอบ
“แล้วทำไมไม่สะกิดผม” ชดถาม
“ก็คุณชดกำลังแหงนดูดาวและคิดอะไรอยู่ แต่ผมรู้ว่าเดี๋ยวคุณชดก็เห็น” อะผ่าตอบ
“เอาไงดี” ชดถามต่อ “ผมไม่รู้ว่าที่เราเห็นนี่ผีหรือคน ทำไมจู่ๆ ก็โผล่มานั่งเงียบๆ คนเดียวแบบนี้”
“คงไม่ใช่ผีนะครับ เพราะผีคงไม่สูบยา” อะผ่าตอบ
“หรือจะเป็นผู้ร้าย” ชดกังขา
“ถ้าเป็นผู้ร้ายต้องมามากกว่าหนึ่งครับ”
“หรือว่ามันเอาคนมาซุ่มไว้ แล้วมันขึ้นมาดูลู่ทาง” ชดขมวดคิ้ว
“ถ้ามันมาสอดแนม มันคงไม่ปรากฏตัวและนั่งหันหลังให้เราหรอกครับ คุณชดว่าไหม” อะผ่าออกความเห็น
ชดเงียบไปครู่หนึ่ง เขาขยับแว่นเพื่อมองภาพที่ปลายหน้าผาให้ชัดเจนขึ้น
“คุณว่าเขาเป็นคนอาข่าหรือเปล่า” ชดถาม
“บนเทือกเขานี้มีแต่หมู่บ้านคนอาข่าแหละครับ” อะผ่าตอบ
“คุณจะเข้าไปคุยกับเขาไหมล่ะ” ชดใช้ศอกกระทุ้งอะผ่าเบาๆ “หากคุณคิดว่าเขาไม่เป็นอันตรายและเป็นคนอาข่า”
“เอ่อ เราไปด้วยกันดีไหมครับ หากมีอะไรจะได้ช่วยกัน” อะผ่าแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่คุณชดเป็นผู้อาวุโส ผมให้เกียรติคุณชดก่อนละกัน เชิญครับ” อะผ่าพูดและผายมือให้เขา
“ผมไม่ถือเรื่องอาวุโสหรอก เชิญคุณออกนำหน้า ผมจะอยู่หลังระวังภัยให้” ชดพูดหน้าตายและเหลียวไปมองด้านหลัง เขาเลิกพูดเล่น
“อะผ่า ผมเป็นห่วงพวกเราที่นอนหลับสนิทอยู่นี่ หากเราเดินไปทางโน้นสองคน แล้วทางนี้เกิดมีอันตรายอะไร เราจะกลับมาช่วยพวกเขาไม่ทัน” ชดตอบ
“งั้นก็ปลุกให้ลุกขึ้นมากันดีไหมครับ ตอนนี้เกือบตีห้าแล้ว” อะผ่าถาม
“จะดีหรือ พวกเขาเพิ่งได้พักผ่อนไม่ถึงสองชั่วโมง” ชดเป็นห่วงเชนและอินญาที่เพิ่งซุกตัวลงถุงนอนเมื่อตอนตีสามครึ่ง
“งั้นก็ปลุกแต่ครูฤดีและอาโฮสุจาให้ลุกขึ้นมานะครับ เผื่อมีภัยอะไรพวกเขาจะได้หนีทัน ส่วนเชนกับอินญาหากได้ยินเสียงเอะอะคงลุกขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้น” อะผ่าออกความคิด
“ดีเหมือนกัน” ชดตอบ จากนั้นอะผ่าก็ย่องเข้าไปเขย่าตัวสุจาและฤดี เขารอให้ทั้งสองลืมตาแล้วทำสัญญาณมือให้เงียบเสียงไว้
สุจาเมื่อรู้สึกตัวตื่นและเห็นอะผ่าเอานิ้วแตะริมฝีปาก เขาก็ยันตัวลุกขึ้นช้าๆ จากนั้นหันไปประคองฤดีที่สะดุ้งเพราะถูกปลุก ทั้งสองเบิกตามองหน้ากันแล้วหันมองปลายนิ้วอะผ่าที่ชี้ไปทางหน้าผา ภาพมนุษย์คนหนึ่งนั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่ไกลๆ ทำให้สุจาอ้าปากอุทาน
“ชู่วว์” ชดทำเสียงห้าม
ดวงจันทร์ขณะนี้เคลื่อนไปอยู่ปลายท้องฟ้าส่องแสงสีนวลอาบลานหิน ป่าสองด้านซ้ายขวาเริ่มมองเห็นชัดขึ้นเมื่อยามใกล้รุ่ง กลิ่นใบยาสูบลอยตามลมมาอีกครั้ง
ทันใดนั้น ภาพที่อยู่เบื้องหน้าเริ่มขยับ ร่างที่เห็นค่อยๆลุกยืน จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับคนทั้งสี่ที่คราวนี้ยืดตัวยืนขึ้นแล้วเช่นกัน
“เอาไงดีคะ!”
สุจาพูดเสียงสั่น มือที่ถือกระบอกไฟฉายขยับเตรียมไว้ อย่างน้อยมันก็ใช้เป็นอาวุธได้หากจำเป็น ส่วนชดก้าวออกไป เขากดสวิตช์เปิดไฟฉายสาดไปที่ร่างนั้น
อะผ่าตัดสินใจตะโกนถามออกไป
“น้ออาข่าโล่?”
“เงอะแม ง้าอาข่า” อีกฝ่ายตะโกนตอบมา เสียงของเขาเล็กแหลมแปลกหู
อะผ่าบอกชดโดยไม่ละสายตาจากผู้ที่อยู่ตรงหน้า “เขาเป็นคนอาข่าครับ”
“ลองถามเขาดูซิว่าเขาเป็นผีหรือเป็นคน” ชดบอกเสียงเข้ม
อะผ่ามองหน้าชดว่าพูดเล่นหรือพูดจริง แต่สีหน้าของชดไม่มีแววของการพูดเล่น อะผ่าจึงส่งเสียงถามออกไป อีกฝ่ายหัวเราะคิกๆ ก่อนตอบ
“หม่าเงอะ!”
อะผ่าหันมาบอกชดว่า
“เขาบอกว่าเขาไม่ใช่ผีครับ”
“ไม่ใช่ผีแล้วทำไมจู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงนั้น” ชดบอกอะผ่าให้ถาม ซึ่งร่างนั้นตะโกนตอบเสียงแหลมว่าเขาเพิ่งมานั่งพักตรงนั้นเมื่อครู่ใหญ่หลังเดินทางไกลมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“เดินทางยามดึกอย่างนี้หรือ นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะคะ ปกติชาวอาข่าจะไม่เข้าป่ากันตอนกลางคืน พวกเขาไม่ออกจากเขตหมู่บ้านด้วยซ้ำหากไม่มีแสงอาทิตย์” สุจากระซิบบอกชด
อินญาและเชนเมื่อได้ยินเสียงคนพูดโต้ตอบกันก็ลืมตาและยกตัวขึ้นดู เมื่อเห็นเหตุการณ์แล้วเชนดีดตัวลุกยืนและดึงแขนอินญาขึ้นมาด้วย โดยที่ต่างคนต่างคว้ากระบอกไฟฉายท่อนใหญ่มาถือไว้ในมือเตรียมพร้อมแทนอาวุธ
นาทีถัดไป ผู้มาใหม่ก็เดินเข้ามาใกล้จนทุกคนเห็นชัดเจน เขาเป็นชายร่างเล็กเตี้ยเหมือนคนแคระ ใบหน้ายากจะเดาอายุแต่ประมาณได้ว่าอยู่ในวัยกลางคน เขาสวมเสื้อผ้าทอสีดำและสวมกางเกงตัวหลวมโพรก รองเท้าแตะเชือกถักดูเหมาะสมกับการเดินป่า รอบคอสวมสร้อยลูกปัดทำจากเมล็ดพันธุ์พืช บนศีรษะโพกผ้าสีดำม้วนพันพับทบทิ้งชายยาวลงไปถึงต้นคอ โครงหน้าของเขาเป็นรูปสามเหลี่ยม หน้าผากกว้าง คางแหลม เขาสะพายย่ามใบใหญ่
ชดตรึงเขาไว้ด้วยแสงไฟจากกระบอกไฟฉาย
ทุกคนเพ่งมองชายแปลกหน้าที่ก้าวสั้นๆ ช้าๆ สายตาล่อกแล่ก สองมือไม่มีอาวุธ แต่ในย่ามอาจมีบางสิ่งที่เป็นอันตราย ชดยังคงสาดแสงไฟฉายส่องชายแคระผู้อยู่ห่างจากพวกเขาประมาณสิบเมตร แสงเรืองจากนัยน์ตาบนใบหน้าสามเหลี่ยมสะท้อนวาบออกมา
“ไฟฉายของเราท่าจะจ้าไป” ชดพึมพำ
จากนั้นเขากดปากกระบอกไฟฉายให้กราดแสงลงต่ำจากใบหน้าไปที่ลำตัว แสงเรืองสีเขียวอ่อนก็หายไปจากดวงตาชายผู้นั้น สิ่งที่เห็นทำให้ชดหวนนึกถึงเรื่องเล่าของพวกพรานป่าที่บอกต่อกันมาว่าบรรดาเสือโคร่งที่กินคนมานับไม่ถ้วนมักมีวิญญาณของผู้ตายโหงสิงสู่ มันก่ออิทธิฤทธิ์ให้เสือร้ายสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์และปรากฏตัวหลอกล่อคนเดินทางให้กลายเป็นเหยื่อ ชดไม่เคยพกปืนและไม่คิดจะพกเพราะเขานิยมการเจรจาแบบสันติวิธี เขานึกดีใจที่ตนเองไม่ใช่คนถืออาวุธ เพราะไม่เช่นนั้นแม้เขาจะไม่ใช่นักฆ่า แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทางเขาอาจตัดสินใจยิงออกไปทันทีที่เห็นแสงเขียวเรืองจากลูกตาของชายแคระผู้มีเสียงแหลมประหลาด
“ให้เขาอยู่ตรงนั้นก่อน อย่าเดินเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว” ชดบอกอะผ่า
หลังจากชายคนนั้นหยุดยืนนิ่งแล้ว ชดก็หันไปหาสุจากับอะผ่าแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เชนและอินญาที่เขยิบมายืนรวมกลุ่มเข้าใจด้วย
“คุณสองคนช่วยเป็นล่ามให้พวกเราหน่อย ถามซิว่าเขามีชื่อเรียกไหม นามสกุลอะไร ตรวจสอบความรู้เขาด้วย เพราะหากเขาไม่ใช่ชาวอาข่าอย่างที่บอก แปลว่าเราเจองานยากที่ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองพยักหน้าเข้าใจ
“น้อเชอเมียวอะเจี๋ย” สุจาเริ่มถามชื่อเขา
“ติ๊เบี่ย” ชายร่างเล็กตอบ เสียงแหลมสูงของเขาทำให้อินญาเกือบหัวเราะ
สุจาถามต่อว่าเขามาจากตระกูลอะไร
“เปอว์เยาว์กู่”
อะผ่าและสุจาขมวดคิ้ว เพราะทั้งสองไม่เคยได้ยินนามสกุลนี้มาก่อน สุจาถามถึงตระกูลญาติพี่น้องของชายแปลกหน้า สิ่งที่ติ๊เบี่ยะบอกมานั้นสุจาฟังแทบไม่เข้าใจ
“เขาพูดภาษาอาข่าสำเนียงแปลกมากค่ะ นามสกุลที่เขาบอกมาหนูไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยิน” สุจาหันมาบอกชดและฤดี พร้อมทั้งมองอินญาและเชนที่ยืนนิ่งคุมเชิงอยู่
อะผ่าส่งเสียงถามติ๊เบี่ยะว่าเขาลำดับชื่อบรรพชนของเขาให้ฟังได้ไหมเพื่อจะได้นับญาติกัน
ชายร่างเล็กผงกหัวแล้วตอบออกมาว่า
“ชื่อบรรพชนไม่ควรเอามาพูดพร่ำเพรื่อ นอกจากในพิธีสำคัญ แต่เมื่อท่านถามมาเพราะอยากรู้ว่าข้าเป็นญาติฝ่ายไหน ข้าจะท่องให้ฟัง”
ชายผู้นี้เริ่มลำดับชื่อบรรพชนคนแรกของชาวอาข่าจนมาถึงลำดับที่หกสิบสามซึ่งเป็นช่วงแยกสายไปเป็นตระกูลย่อย เสียงแหลมเล็กเปล่งออกมาเป็นจังหวะเหมือนนักเรียนท่องบทอาขยาน
เมื่อเขาท่องจบ อะผ่าและสุจาพยักหน้าหงึกๆ เป็นการยอมรับ
“เขาลำดับชื่อบรรพชนอาข่าได้ถูกต้องครับ แต่นามสกุลของเขาไม่มีอยู่ในรายชื่อที่เรียงต่อกันมาทั้งหกสิบสามรุ่น คงจะเอาสายตระกูลคนอื่นมาท่อง” อะผ่าบอก
“แต่อย่างน้อยเขาก็ท่องได้ แม้ไม่ใช่สายของเขา ซึ่งหากไม่ใช่ชาวอาข่าจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้” สุจาบอกอย่างใคร่ครวญ
“ความเป็นมาของพวกท่านเป็นอย่างไรช่วยบอกพวกเราสักหน่อยจะได้ไหม” ฤดีอดไม่ได้ที่จะสัมภาษณ์ติ๊เบี่ยตามประสานักวิจัยเก่า
“ผู้หญิงคนนี้ไม่มีคำถามง่ายๆ บ้างหรือ อย่างเช่น ข้าชอบกินอะไร ข้าง่วงนอนไหมเดินท่องป่ามาแล้วทั้งคืน คำถามแบบนี้แหละที่ข้าอยากตอบ”
ติ๊เบี่ยมองฤดีด้วยนัยน์ตาเขียวเรืองสะท้อนแสงไฟ เขาทำเสียงจิ๊กจั๊กและเอ่ยต่อ
“แต่เอาเถอะ เมื่อถามมา ข้าก็จะบอกไป เพื่อพวกท่านจะได้รู้ประวัติของพวกข้า
จากนั้นเสียงเล็กแหลมเหมือนปี่ก็เริ่มเล่า โดยอะผ่าและสุจาช่วยกันเป็นล่ามแปลให้ชด อินญา และเชนได้เข้าใจด้วย
“...เนิ่นนานมาแล้วทางภาคตะวันตกตอนบนของประเทศจีน มีชนเผ่าเร่ร่อนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล บางพวกอาศัยอยู่ในหุบเขา บางพวกอาศัยอยู่ในทุ่งราบ บางพวกอาศัยอยู่ในทะเลทราย บางพวกอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ แต่ไม่ว่าจะตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ไหน ทุกเผ่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือพวกเขาเป็นนักอพยพย้ายถิ่น
“ในเวลานั้นชาวอาข่าโบราณซึ่งมีประชากรนับหมื่นคน ตั้งหลักแหล่งอยู่ริมทะเลทรายที่มีสมญาว่าดินแดนแห่งความตาย พวกเขาเลี้ยงสัตว์ประเภทอูฐและม้าเพื่อใช้แรงงาน เลี้ยงแกะและแพะเพื่อรีดนมและกินเนื้อเป็นอาหาร นอกจากนั้นยังปลูกพืชพันธุ์ที่ทนต่อภูมิอากาศร้อนจัดหนาวจัด พวกเขาไม่ใช่นักรบและไม่ใช่นักค้าขาย ต่อมาญาติพี่น้องผิดพ้องหมองใจในเรื่องที่ไม่อาจทำความตกลงกันได้ สมาชิกเจ็ดตระกูลจึงลาจากและออกเดินทางข้ามทะเลทรายเพื่อไปตั้งหลักแหล่งยังทุ่งราบอีกฟากฝั่งหนึ่ง ผู้คนห้าร้อยกว่าทยอยตายลงระหว่างเดินทางจากความร้อนและกันดารจนเหลือกันอยู่ไม่ถึงสิบชีวิต แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดพวกเขาประสบภัยพิบัติถูกพายุทรายโหมกระหน่ำฝังร่างไว้ใต้ผืนทราย
“สองพันปีผ่านไปมีสตรีนางหนึ่งผ่านมา นางผู้นี้มีเวทมนตร์และยาวิเศษ นางชุบชีวิตพวกเขาให้ฟื้นกลับจากความตาย นอกจากนั้นนางยังมอบชีวิตใหม่ให้แก่สัตว์บางชนิดและเดินทางร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน”
เมื่อชายร่างเล็กเล่ามาถึงตอนนี้ ฤดีถึงกับสะดุ้ง ...
... ผู้เป็นญิผ่าแห่งหมู่บ้านนี้สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายลงแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ นางผู้มีอายุขัยอันยาวนานได้ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้มานับไม่ถ้วนด้วยเมตตา ...
เธอจ้องหน้าติ๊เบี่ยและสงบปากคำไว้ เสียงแหลมเล็กยังดังต่อเนื่องเรื่อยไปราวกับกำลังร่ายคำสวด
“แม่หมอและผู้ฟื้นขึ้นจากความตายพากันเดินทางออกจากทะเลทราย ตามทางที่ผ่านมาพวกเขาเห็นมหาสงครามใหญ่หลายหน ผู้คนขี่ม้าเข้าฟาดฟันเพื่อแย่งครองดินแดนแล้วยกตัวขึ้นเป็นจักรพรรดิ ชนกลุ่มน้อยหลายเผ่าต้องตกเป็นทาสจักรวรรดิเหล่านั้น บ้างถูกต้อนไปสร้างกำแพงใหญ่ชั่วลูกชั่วหลาน บ้างถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเฝ้าหน้าด่านจนตายไป ชีวิตช่างไร้ความหมายยิ่งนัก”
ติ๊เบี่ยหยุดหายใจชั่วครู่ เขาขยับผ้าโพกหัวให้เข้าที่และมองหน้าทุกคนด้วยดวงตาสีประหลาด เขาพูดสรุปว่า
“กว่าพวกเราจะอพยพมาถึงหมู่บ้านที่อาศัยอยู่กันทุกวันนี้ต้องผ่านเส้นทางและมีเรื่องราวมากมายที่หากเล่าจริงๆ ต้องใช้เวลาตลอดฤดูเก็บเกี่ยว แล้วพวกท่านจะทนฟังกันไหวหรือเปล่า...เอ่อ...ว่าแต่ว่าจะยืนคุยกันอย่างนี้อีกนานไหม ข้าชักเมื่อยปากและคอแห้งแล้ว นี่ขนาดเล่าอย่างรวบรัดตัดตอน หากจะฟังอย่างละเอียดต้องไปถามบรรดาผู้อาวุโสที่หมู่บ้านของข้า”
ติ๊เบี่ยจบคำบอกเล่าด้วยเสียงจึ๊กจั๊กอีกครั้ง อะผ่าและสุจาเร่งความเร็วของการแปลเพื่อให้ทันกับการพูดของติ๊เบี่ยที่เปล่งวาจาออกมารวดเร็วเหมือนท่องจำ ในที่สุดชดก็ถอนหายใจออกมาเมื่อคนตัวเล็กพูดจบ
“ฟังจนเหนื่อย สรุปคือคือหมอนี่เป็นนักเล่านิทานโกหก ว่างั้นเหอะ”
ทุกคนหัวเราะเมื่อชดพูดออกมา เพราะพวกเขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่ติ๊เบี่ยพูดออกมานั้นช่างเป็นทางการและเนื้อหาก็เหลือเชื่อราวกับนวนิยาย ส่วนฤดีนั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องสตรีผู้มีเวทมนตร์และยาวิเศษที่ชุบชีวิตผู้คนจากความตาย
ชดสะกิดอะผ่าและสุจาที่กำลังหันไปอธิบายเรื่องปลีกย่อยของชาวอาข่าให้เชนและอินญาเข้าใจสืบเนื่องจากสิ่งที่ติ๊เบี่ยเล่า
“คุณสองคนช่วยถามหมอนี่ด้วยคำถามง่ายๆทีว่าหมู่บ้านเขาอยู่ตรงไหน แล้วมีธุระอะไรกับพวกเราจึงเดินทางมาถึงเกือบย่ำรุ่ง หรือแค่บังเอิญเดินเล่นผ่านมา”
ชดยังไม่ละสายตาจากชายตรงหน้า ร่างเล็กจ้อยดูเด่นอยู่ในแสงจ้าของไฟฉายจากมือชดราวกับนักแสดงที่ถูกสปอตไลท์ส่อง อะผ่าและสุจาตั้งใจฟังชด จากนั้นพวกเขาก็แปลความถ่ายทอดสู่ติ๊เบี่ย
เมื่อติ๊เบี่ยตอบคำถามแรกจบ ทั้งคู่ก็มีสีหน้าตื่นเต้น อะผ่าบอกทุกคนด้วยเสียงอันดัง
“เขามาจากหมู่บ้านริมธาร มันอยู่หลังน้ำตกปลายเทือกเขานี้เองครับ
“ฮ้า” ฤดีอุทาน ...
... มีหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมธาร มันซ่อนตัวหลังน้ำตกแห่งภูผาดำปลายเทือกเขาสีแดง ...
“แปลว่าเสียงที่เราได้ยินอยู่ไกลๆเป็นเสียงน้ำตกจริงๆ และหมู่บ้านที่เราตามหาน่าจะเป็นหมู่บ้านนี้” ฤดีกล่าวอย่างตื่นเต้น
อะผ่าและสุจาพากันถามติ๊เบี่ยต่อไปอย่างกระตือรือล้น เมื่อได้ฟังคำตอบพวกเขาเบิกตากว้างแล้วหันมาบอกผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังว่า
“ติ๊เบี่ยตั้งใจมาตามหาเรา เขาบอกว่ากลุ่มผู้อาวุโสส่งเขามารับ พวกเขารู้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเราจะเดินทางไปที่หมู่บ้าน เมื่อคืนนี้เขาเห็นแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุบนลานหิน เขาจึงลัดเลาะเข้าป่ามาที่นี่”
“เรื่องมันชักแปลกไปใหญ่แล้วนะ อะไรจะมาประจวบบังเอิญได้ขนาดนี้ ไหน สุจาลองถามเจ้าเสียงปี่อีกทีซิว่าเมื่อคืนนี้ที่รถพวกเราหลงทาง เข็มทิศรวนไปหมดนี่ฝีมือพวกเขาใช่ไหม” ชดไชนิ้วเข้าไปเกาหนังศีรษะใต้หมวกอุ่น
สุจาส่งเสียงถามตอบกับติ๊เบี่ยครู่ใหญ่แล้วหันมาบอกชดว่า
“เขาไม่รู้ว่าอะไรคือเข็มทิศ หนูก็พยายามอธิบายให้เขาฟังว่าเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง...”
สุจาพูดไม่ทันหมดประโยค อินญาก็ส่งตลับเข็มทิศของเธอให้ติ๊เบี่ยดู ชายหน้าแหลมยื่นมือประหลาดออกมารับอย่างกระตือรือร้น เขาก้มลงใช้ลิ้นเลีย เมื่อสัมผัสบอกว่ามันไม่ใช่อาหารเขาก็เก็บมันลงย่ามที่สะพายไว้ทันที อินญาร้องเสียงหลงและรีบอธิบาย
“ไม่ใช่ค่ะ อินญาไม่ได้ให้ อินญาเอาให้ดูว่าเข็มทิศคืออะไร อินญาขอคืนด้วยค่ะ”
สุจารีบอธิบายให้ติ๊เบี่ยฟัง ชายหน้าแหลมยืนกอดอกทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ผมว่าจริงๆแล้วไอ้นี่มันเป็นหัวขโมย มันแค่จะมาลักข้าวของ มันปั้นเรื่องโกหกหลอกให้เราฟังเพลินๆ จะได้ตายใจ” ชดสรุปจากสิ่งที่เขาเห็น
เชนผู้ยืนสังเกตเหตุการณ์อยู่นานแล้วมองติ๊เบี่ยอย่างสนใจและยิ้มกับตัวเอง เมื่อเขาเห็นว่าชายโพกผ้าดำไม่ยอมคืนตลับเข็มทิศให้อินญา เขาจึงเดินไปที่กล่องเสบียงผักผลไม้สดซึ่งวางอยู่ท้ายรถและดึงแครอทออกมาสองหัว เชนเดินดุ่มไปข้างหน้าพลางแกว่งหัวแครอท
ติ๊เบี่ยมองหัวพืชสีส้มในมือเชนและมองหน้าเขา เชนชี้ไปที่ย่ามและแบมือ ติ๊เบี่ยกลอกตามองหัวแครอทที่แกว่งไปมาอีกครั้งก่อนล้วงมือหยิบเข็มทิศออกมาส่งให้เชนแล้วรับแครอทไปอย่างลิงโลด จากนั้นก็นั่งลงชันเข่าและเริ่มแทะแครอท เขาส่งเสียงเคี้ยวดังกรึบกรับราวกับกระรอกเคี้ยวเม็ดถั่ว
“นี่มันอะไรกัน”
ชดสะบัดหน้าอย่างมึนงงและหันไปมองฤดีที่ส่ายศีรษะและยกมือเท้าสะเอวอย่างหมดคำพูด เชนหัวเราะออกมากับภาพที่เห็น
อินญาเมื่อได้ตลับเข็มทิศคืนมาแล้ว เธอรีบเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อและรูดซิปพร้อมกับมองเชนอย่างแปลกใจ
“เธอรู้ได้อย่างไรว่าต้องเอาแครอทไปแลก” อินญากระซิบถามเขา
“เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลังนะอินญา ตอนนี้คอยจับสังเกตใบหน้ากับที่ก้นเขาให้ดี อาจมีหูหนาๆ กับหางกลมๆ โผล่ออกมา” เชนพูดยิ้มๆ
“ห้ะ จริงหรือ” อินญาอุทานอย่างตกใจ
“เขาไม่เป็นอันตรายหรอก เชื่อผม” เชนตบบ่าอินญาและบอกให้เธอเงียบเสียงไว้