ฤดีเดินตามชดกลับไปที่รถฮัมเมร่าและเปิดประตูขึ้นไปนั่งทำท่าคิด
ส่วนเชนและอินญาเดินตามอะผ่าไปขึ้นโฟร์วีลสีขาว จากนั้นรถทั้งสองก็ขยับตามกันออกจากถนนและมุดเข้าไปยังพุ่มไม้ที่ปิดบังปากทางแยกไว้ หยาดน้ำสาดกระเซ็นใส่รถที่กำลังตลุยฝ่าเข้าไป โชเฟอร์ทั้งสองแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากความรกเรื้อที่ชุ่มฉ่ำ อะผ่าเปิดไฟสูงเพื่อมองทางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เหมือนเข้าถ้ำเลย”
อินญาบอกเมื่อเห็นความมืดที่ปกคลุมโดยรอบเส้นทาง น้ำที่ค้างอยู่บนกิ่งก้านไม้สะบัดใส่รถจนเปียกโชกเหมือนลุยฝน ใบและกิ่งไม้เล็กร่วงหล่นใส่หลังคาและกระจกหน้าจนต้องใช้ที่ปัดน้ำฝนกวาดออกเป็นระยะ
ชดที่ขับรถฮัมเมร่าตามติดมาเปิดไฟต่ำ
“นี่เพิ่งห้าโมงกว่าเอง ทำไมมันมืดได้มากขนาดนี้คะนี่” สุจาบ่น
เขารู้สึกอึดอัดเมื่อมองไม่เห็นทางข้างหน้าและสองข้างถนน พุ่มไม้หนาทึบปกปิดทัศนียภาพทุกด้านไว้เหมือนฝันร้าย
“น่าจะใช้เวลาสักยี่สิบนาทีนะ พี่จำได้ว่าทางผ่านป่านี่มันแค่ห้ากิโล ใจเย็นๆนะคะสุจา เดี๋ยวพอทะลุออกถึงถนนริมผาเราจะได้ดูวิวทะเลหมอกอันสวยงามและมองเห็นหมู่บ้านของสุจาที่ยอดดอยผาชัน”
ฤดีปลอบใจสุจา เธอเองก็รู้สึกไม่สบายใจกับการที่ต้องนั่งรถมุดเข้าไปในดงไม้ซึ่งดูเหมือนจะหนาทึบมากขึ้นทุกที
ชดทำหน้าที่ขับรถและปิดปากเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร เพราะดูเหมือนเส้นทางน่าแปลกใจกว่าที่นึกล่วงหน้าไว้ว่าจะมีรอยทางให้เห็นไปจนออกจากผืนป่า แต่นี่ผ่านมาสิบห้านาทีแล้วพวกเขายังพารถแล่นฝ่าเข้าไปในความมืดสลัว หน้าปัดอันแพรวพราวไม่แสดงอะไรให้เห็นนอกจากความมืดและแสงกะพริบบ่งบอกถึงสิ่งต่างๆ ที่กีดขวางเบื้องหน้า
ครู่หนึ่งชดหยิบโทรศัพท์ออกมา ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณ เขาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อและกัดฟันขับตามอะผ่าต่อ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ชดเริ่มเอะใจ เลขหมายระยะทางบอกว่ามันผ่านมาแล้วเกินสิบกิโล
“คุณฤดี ทำไมเรายังไม่ออกไปที่ถนนริมผาละครับนี่” ชดเปิดปากถาม
“ฉันก็กำลังนึกสงสัยอยู่ค่ะ เพราะฉันจับเวลาไว้ ปรากฏว่าสามสิบห้านาทีแล้วเรายังไม่พ้นป่า”
“โฮ้ยตายจริง หรืออะผ่าจะหลงทาง” สุจาเริ่มมีทีท่ากระวนกระวาย “เราถอยกลับได้ไหมคะ หนูว่าเราขึ้นไปนอนเกสต์เฮาส์ที่หมู่บ้านของหนูสักคืนหนึ่งดีกว่า หนูออกค่าที่พักเอง”
“สุจาครับ ปัญหาขณะนี้ไม่ได้อยู่ตรงค่าที่พักว่าใครจะเป็นคนจ่าย คำถามสำคัญคือเราหลงทางหรือเปล่าและเราจะกลับไปยังถนนเส้นเดิมก่อนเข้าทางแยกมาได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจสถานการณ์” เมื่อพูดจบชดก็บีบแตรและทำไฟกะพริบเรียกอะผ่าให้จอดรถ
ความครึ้มจากพุ่มไม้ใบบังและจากความเปียกชื้นเฉอะแฉะรอบข้างทำให้สุจาและฤดีนั่งนิ่งอยู่กับที่ รวมทั้งชดที่เปิดแต่กระจกข้างและกวักมือเรียกอะผ่าให้เดินมาเพื่อจะสอบถาม
อะผ่าย่ำสวบสาบมาถึงข้างประตูรถฮัมเมร่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อชดเห็นดังนั้นเขารู้ได้ทันทีว่าต้องมีปัญหา
“เรามาถูกทางหรือเปล่า อะผ่า”
ชดควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ฟังดูเหมือนเขากำลังวิตก ทั้งที่ในใจเขากำลังคิดเป็นอย่างอื่น อะผ่าเม้มปากก่อนพูดเสียงอ่อย
“ตอนแรกผมแน่ใจว่าหลังจากเราเข้าทางแยกนี้ ไม่นานก็จะไปโผล่ที่ถนนริมหน้าผายาวไปถึงหมู่บ้าน แต่ไม่รู้ทำไมมันจึงไม่ออกจากป่าเสียทีครับ”
“คุณแน่ใจไหมว่าเราเข้าทางแยกถูกต้อง” ชดถามย้ำ อะผ่ามองเลยมาที่ฤดีซึ่งนั่งนิ่งอยู่ เธอส่ายศีรษะอย่างมึนงง
“คุณชดครับ ผมเป็นคนแถวนี้ เกิดที่บ้านผาแดง เดินทางเข้าออกมานับสิบครั้งตั้งแต่เป็นนักเรียนของคุณโนอาห์” อะผ่าหยุดพูดไปนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อ “แต่คราวนี้ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราจึงไม่ออกจากป่าไปเสียที”
“เอาอย่างนี้ ผมว่าเราถอยกันดีกว่า” ชดบอกทุกคน “เรากลับไปตั้งหลักที่ถนนขึ้นผาชัน ผมอยากให้พวกเราทุกคนปลอดภัย ผมขอตัดสินใจเองคราวนี้ คุณฤดีไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นครับ ไม่มีใครโทษคุณ การหลงป่าหรือหลงทิศเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แม้ในคนที่เป็นเจ้าของพื้นที่และชำนาญเส้นทาง” ชดมองหน้าอะผ่าที่คลายความเครียดลงนิดหน่อยแล้วพูดต่อ “เดี๋ยวผมจะกลับรถไปตามทางที่เราผ่านมา คราวนี้คุณตามผม”
“ตกลงครับ” อะผ่าตอบสั้นๆ จากนั้นเขาก็ย่ำพื้นเฉอะแฉะกลับไปที่รถ
ชดมองจอต่างๆ ที่หน้าปัด ระบบจีพีเอสดับไปแล้ว ระบบเซ็นเซอร์ยังใช้ได้ มันกะพริบและส่งเสียงบิ๊บๆเตือนขณะเขากดปุ่มถอยรถและเดินหน้าไปตามทางเดิม ชดมองกระจกหลังรอจนอะผ่าถอยรถกลับแล้วจึงเดินหน้า
“ฉันรู้สึกผิดจริงๆ ที่บอกให้พวกเราลุยเข้ามาในเส้นทางที่เป็นป่าเป็นดงอย่างนี้ ฉันโง่เองที่ไม่ยอมเสียเวลา”
ฤดีพูดเสียงเบาหลังจากห้านาทีผ่านไป ชดพยายามมองฤดีจากกระจกมองหลัง เขาไม่เห็นใบหน้าเธอ เห็นแต่แสงไฟต่ำจากรถของอะผ่าที่ไล่ตามหลังมาไม่ห่าง
“อย่าคิดอย่างนั้นครับ ฤดี ในการเดินทางร่วมกัน ทุกคนคือทีม เปรียบเหมือนกับนักฟุตบอล ไม่มีใครโทษผู้รักษาประตูที่เสียแต้ม เพราะเรามีทั้งกองหน้า กองกลาง และกองหลัง หากคุณฤดีรู้สึกผิด ผมเองก็ต้องรู้สึกผิดยิ่งกว่าเพราะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะ เพราะฉะนั้นขอให้เราประคับประคองจิตใจกันไปจนจบภารกิจ ผมขอทำความตกลงกับคุณและสุจาว่า หากเกิดความผิดพลาดขึ้น ไม่ว่าเรื่องอะไร เราจะไม่โทษกัน”
ชดประคองพวงมาลัยพลางชำเลืองดูนาฬิกา เกือบหกโมงเย็นแล้ว แต่ความมืดรอบตัวดูเหมือนจะเข้าสู่ยามค่ำอย่างเต็มตัว
“ตกลงค่ะ” สุจาพูดพลางหันหลังไปคว้ามือฤดีขึ้นมากุมไว้ เขาบอกเธอว่า
“อย่าคิดมากนะคะ พี่สาว หนูรู้ว่าพี่เสียใจที่ออกความเห็นให้มาทางนี้กัน พี่เป็นคนเข้มแข็งมาตลอด แต่เพราะพวกเราเพิ่งสูญเสียคุณโนอาห์ไป จิตใจจึงอ่อนไหว เราทุกคนเก็บงำความรู้สึกนี้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา อยากร้องไห้ก็ร้องไปเลยนะคะ น้ำตาจะช่วยให้ผ่อนคลาย”
สุจาปลอบใจฤดีแล้วก็หันตัวกลับไปมองด้านหน้ารถที่เปียกชุ่มจากหยาดน้ำที่ไหลกระเซ็นจากพุ่มไม้ยามที่รถแทรกตัวผ่าน เขาขมวดคิ้วที่วาดไว้เป็นวง
“อ๊ะ ทำไมยังมีน้ำหยดไหลจากกิ่งไม้ลงมาอีกมากมาย หรือฝนมันตกลงมาอีกคะนี่” สุจาโพล่งออกมาอย่างแปลกใจ
ชดผู้นั่งขับรถไปเงียบๆ เริ่มเห็นความผิดปกติตั้งแต่ครู่ใหญ่ที่ผ่านมาแล้ว แต่เขาไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมทางทั้งสองวิตกกังวลมากกว่าที่เป็นอยู่ เขาจึงไม่พูดอะไร
“พี่ก็สงสัยอยู่ค่ะ สุจา เหมือนกับเราไม่ได้ผ่านทางนี้เข้ามา” ฤดีบอก เธอเหลียวมองทางซ้ายทีทางขวาทีด้วยท่าทีสับสน
“ที่หน้าจอผมดับหมด ไม่รู้ยังไง ปกติมันจะบันทึกไว้ทุกความเคลื่อนไหวว่าเราผ่านตรงไหนมาบ้าง และหากต้องการกลับทางเดิม เราก็แค่สัมผัสหน้าจอ แต่ปรากฏว่าคอมพิวเตอร์ทั้งหลายในรถคันนี้มีอันเป็นไป” ชดส่ายศีรษะอย่างมึนงง
“พี่ชดซื้อรถอะไรมาคะนี่ หน้าปัดยังกะห้องนักบินแต่บอกอะไรไม่ได้สักอย่าง แพงก็แพง รถกระป๋องของหนูยังเก่งกว่า เอ้า นี่ค่ะขนม หนูดูออกว่าพี่หิวแล้ว”
สุจาผู้มีน้ำใจพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสนุกเพื่อแหย่เย้าชดให้คลายความเคร่งเครียด เขาหยิบคุ้กกี้หนานุ่มในตะกร้าข้างตัวส่งให้ชดสองชิ้น โชเฟอร์รับไปเคี้ยวกินเต็มปากเต็มคำอย่างว่องไว ร่างกายเขากำลังต้องการน้ำตาล สุจาเหลียวไปหาฤดีและยื่นถุงให้
“พี่ฤดีทานอะไรรองท้องไปก่อนนะคะ”
“ขอบใจจ้ะสุจา แต่พี่กินอะไรไม่ลง พี่เกิดความรู้สึกหลายอย่างประดังขึ้นมา พี่สงสารคุณชดที่พยายามพาเราไปหมู่บ้านผาแดง แต่แล้วก็ต้องย้อนกลับ แถมตอนนี้ดูทีท่าแล้วน่าจะไม่ใช่ทางเก่า” ฤดีบอก
“เอาเถอะ คุณผู้หญิงทั้งสอง ไม่ต้องห่วงครับ ขอเวลาเดี๋ยว สุจา เอาขนมส่งมาทั้งถุงเลย ร่างกายผมเริ่มหมดพลัง เดี๋ยวผมจะแสดงฝีมือพาพวกเรากลับไปเส้นทางเดิมให้ได้ ไม่ต้องพึ่งพาไอ้คอมพิวเตอร์เฮงซวยพวกนี้”
ชดพูดพลางหยิบคุ้กกี้เข้าปากกินจนหมดถุง ตามด้วยน้ำแดงขวดเล็ก ซึ่งทำให้เขาคลายความเครียดลงไปได้ เขาเหลือบมองกระจกส่องหลัง รถอะผ่ายังตามเขามาอย่างกระชั้นราวกับกลัวชดจะขับหนี ทั้งที่พวกเขาอยู่ในป่าที่มีแต่สุมทุมพุ่มไม้ใบบังมองไม่เห็นท้องฟ้าและดวงตะวันที่ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว
“อินญากับเชนเป็นอย่างไรบ้างไม่รู้นะคะ ป่านนี้คงรู้ตัวแล้วว่าคิดผิดที่ตกลงใจมากับพวกเรา” สุจาพยายามมีอารมณ์ขัน แต่น้ำเสียงเข้มเกินกว่าจะทำให้คนฟังสนุก
ชดยังขับรถฝ่าความมืดต่อไป โดยมีรถของอะผ่าตามมาติดๆ ไปได้อีกพักเดียวรถทั้งสองก็จอดเพื่อปรึกษากันอีกครั้ง
“อะผ่า ผมพาพวกเรากลับออกมาเส้นทางเดิมหรือเปล่า”
ชดตะโกนถามอะผ่าที่กำลังย่ำพื้นป่าเฉอะแฉะมาหาชด เขาถือกระบอกไฟฉายส่องไปรอบๆ ทั้งยุงและแมลงหวี่บินว่อนอยู่รอบใบหน้า เชนและอินญาลงรถเดินตามมาอย่างระวังโดยใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปที่พื้นด้วยความกลัวสัตว์เลื้อยคลาน
“ผมว่าไม่ใช่ครับ” อะผ่าบอกตรงๆ
“แล้วทำไมไม่กดแตรบอกผม” ชดถาม พลางเปิดประตูรถแล้วกระโดดลงไปยืนหมุนคอไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อย ฤดีก้าวลงมายืนข้างเขา ส่วนสุจากระเถิบตัวนั่งชิดหน้าต่างรถเพื่อร่วมประชุมฉุกเฉิน
“ผมขับรถตามคุณชด เห็นแต่ท้ายรถและมองไม่เห็นทางข้างหน้า เมื่อเวลาและระยะทางมันเกินกว่าที่ผ่านมาแล้วผมถึงรู้ตัว พอดีกับที่คุณชดจอดรถ ผมจึงแน่ใจว่าไม่ใช่เส้นทางเดิม
ชดถอนหายใจ เขามองทุกคนและกลับมามองอะผ่าอีกครั้ง
“อินญามีเข็มทิศติดตัวมาค่ะ!” หญิงสาวส่งเสียงอย่างดีใจ เธอควักเข็มทิศแบบพกพาขึ้นมาให้ทุกคนดูและพูดต่อ
“อินญาบอกได้ว่าตอนที่เรายืนอยู่บนหุบเขาตรงทางแยก เรามองเห็นยอดดอยผาชันอยู่ด้านซ้ายซึ่งก็คือทิศเหนือ และที่คุณลุงชดเล่าว่าหน้าผาที่เป็นเส้นทางไปหมู่บ้านของอะผ่าเป็นแสงสีแดงเข้มยามต้องแสงอาทิตย์ตกดิน ก็แปลว่ามันอยู่ทิศตะวันออก ตอนที่เราขับรถมุดเข้าป่าตรงทางแยกนั้นเรามุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกก็ถูกต้องแล้วนะคะ หลังจากนั้นคุณลุงชดก็ถอยรถกลับทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศเดิมของเรา มันก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด”
“นั่นสิ เข็มทิศในรถผมก็บอกเช่นนั้น”
ชดพอใจที่อินญามีหลักฐานสนับสนุน เพราะเขาเริ่มไม่แน่ใจในหน้าจอต่างๆของรถฮัมเมร่าว่ามันยังทำงานปกติอยู่หรือไม่
“แต่ทำไมเราใช้เวลานานกว่าที่เข้ามาล่ะครับ” เชนขมวดคิ้ว
“ระยะทางก็ไกลกว่าด้วย ตอนที่เราเข้ามาครั้งแรก อะผ่าบอกว่าจะผ่านป่าแค่ห้ากิโลเป็นอย่างมาก แต่ผมดูหน้าปัดแล้ว เราเข้าไปลึกเกินสิบกิโล” ชดพูด
“แล้วขากลับเราขับมาไกลกว่านั้น แต่ยังไม่ถึงทางแยกที่เราออกมาเลยครับ” อะผ่าบอก
“เอาละ ผมได้ข้อสรุปว่าเราหลงทาง ขอให้ทุกคนอย่าตื่นตระหนก อย่าโทษใคร เราตัดสินใจมาด้วยกันและช่วยกันออกความเห็น ส่วนคนที่ไม่ออกความเห็นก็หมายความว่าคุณยอมรับมติของกลุ่ม” ชดกล่าวและเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“คุณฤดีและอะผ่าอย่ามัวแต่นึกเสียใจที่เป็นคนรับรองให้เข้าทางแยกมา สุจา เชน และอินญาก็ขอให้เข้าใจสถานการณ์ด้วย” ชดพูดด้วยเสียงราบเรียบ
“ทุ่มกว่าแล้วครับตอนนี้” อะผ่าบอกขณะมือไม้ไล่ตบยุงตัวใหญ่ที่เข้ามาตอมใบหน้าและเนื้อตัวของเขา พื้นป่าชื้นแฉะส่งกลิ่นไม่ชวนดม กิ่งไม้เหนือหัวสะบัดหยดน้ำใส่พวกเขาอยู่เป็นระยะ
ทุกคนมองไปรอบๆ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ทั้งเล็กและใหญ่ เบื้องหลังเส้นทางที่พวกเขาผ่านมาถูกรถฮัมเมร่าบุกตลุยจนราบ
“โทรศัพท์ใครมีสัญญาณบ้าง เอาจีพีเอสมาดู” ชดภาวนาขอให้โทรศัพท์สักเครื่องสามารถใช้ได้ เชน อินญา ฤดี และสุจาต่างส่ายศีรษะ
“ของอะผ่าล่ะ มีสัญญาณไหม” ชดถามอย่างมีความหวัง
“คือ เครื่องของผมแบตหมดพอดีครับ” อะผ่าก้มหน้าดูจอโทรศัพท์แล้วถอนหายใจ
“อืม ชีวิตที่ต้องขึ้นอยู่เทคโนโลยีก็อย่างนี้ ไม่มีสัญญาณก็มืดบอด” ชดรำพึง เขาหันไปมองทุกคน
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องพึ่งพาเข็มทิศ บอกผมหน่อยได้ไหมว่าเราควรมุ่งหน้าไปทิศไหน” ชดถามอินญา
“ก่อนหน้านี้ จากทางแยกเลี้ยวขวาเรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกตามที่อะผ่าขับนำ และตอนที่คุณลุงชดถอยรถกลับ อินญาก็มองเข็มทิศอยู่นะคะ เรากลับทิศตะวันตกถูกแล้ว แต่ทำไมยังไม่ถึงทางแยกเดิม อินญาไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ หากตกลงใจจะตามเข็มทิศ อินญาคิดว่าเราควรขับตรงไป เพราะเราน่าจะทะลุถึงถนนเส้นเดิม แต่อาจไม่ใช่จุดเดิม” อินญาบอก
“คือหมายความว่าเราอาจไปโผล่ตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ทางแยกเก่า อย่างนั้นใช่ไหมจ๊ะ” สุจาพยายามทำความเข้าใจพลางยกมือตบยุงเปาะแปะ
“ใช่ค่ะ อินญาเชื่อว่ามันจะพาเรากลับถนนเส้นเดิม” อินญาพูดอย่างมั่นใจ
“อ้ะ ถ้าอย่างนั้นผมจะขับตรงไปเรื่อยๆ นะ หวังว่าเราคงโชคดีกลับถึงถนนเส้นเก่าที่จะพาเราไปยอดดอยผาชัน เราจะไปพักค้างกันที่หมู่บ้านของสุจาหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” ชดตกลงใจ
เขาหันมองฤดีที่ปิดปากเงียบด้วยความสงสาร “เราขึ้นรถกันเถอะคุณฤดี อย่าคิดมาก เราทุกคนต่างลงเรือลำเดียวกัน อย่าลืมว่าพวกเรามีภารกิจใหญ่ที่ต้องทำให้สำเร็จ นี่ยังไม่เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ”
ชดกลับขึ้นรถ เนื้อตัวเขาเปียกชื้นจากน้ำที่ค้างบนใบและกิ่งก้านของต้นไม้สะบัดใส่ คนอื่นก็อยู่ในสภาพเดียวกันคือทั้งหิว ทั้งหนาว ตัวเปียก ถูกยุงกัด และกังวลใจ ชดหันมามองสุจาที่กำลังควานหายาหม่องในกระเป๋าเพื่อทาตุ่มแดงที่ปรากฏขึ้นตามตัว
“ห้ามพูดเด็ดขาดนะสุจาว่ารู้อย่างนี้นอนอยู่ที่บ้านหมี่ยะดีกว่า” ชดพูด พลางแสร้งทำหน้าทะเล้น
“ไม่หรอกค่ะ เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันค่ะ เอ้า ทายาหม่องแก้คันค่ะ ดูสิเกาจนแขนเป็นผื่น” สุจาส่งยาหม่องให้ชด
รถสองคันบุกป่าต่อไป ไม้ต้นเล็กที่ขวางหน้าถูกรถฮัมเมร่าชนกวาดหักล้มตามทาง แสงไฟที่สาดไปข้างหน้าทำให้ทุกคนมองเห็นภาพต้นไม้สีเข้มดำ เถาวัลย์ห้อยระลงมาดูเหมือนงูที่มีเกล็ดเลื่อมกำลังเลื้อยปรูดปราด
ชดสะกิดสุจาเมื่อเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีโดยไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
“ช่วยผมดูข้างหน้าหน่อย เหมือนจะเห็นแสงสว่างรำไร”
“หนูกำลังมองอยู่ค่ะ” สุจาชะโงกตัวไปจนชิดกระจกหน้า
“ฉันคิดว่าเรากำลังจะพ้นป่าแล้วนะคะ”
ฤดีพูดด้วยน้ำเสียงโล่งใจ เธอหันหลังไปดูรถอะผ่าที่แล่นตามมาติดๆ เธออยากตะโกนบอกหนุ่มสาวทั้งสามว่าเจอทางออกแล้ว
“สุจา ดูให้ดีๆ ข้างหน้านั่นคืออะไร” ชดเปิดสปอตไลท์หน้ารถเพื่อส่องให้เห็นชัดๆ
“มะ แม่น้ำ?” สุจาอุทาน
ชดขยับแว่น “เป็นไปไม่ได้ สุจาอย่ามาหลอกผม”
“ไม่เชื่อก็มองดูเองสิคะ” สุจาสั่นศีรษะอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองเช่นกัน
นาทีต่อมา ชดก็พารถฮัมเมร่าที่สะบักสะบอมทะลุออกจากผืนป่า โดยมีรถของอะผ่าซึ่งอยู่ในสภาพเดียวกันขับตามมา
เบื้องหน้าของพวกเขาคือลานหินกว้างใหญ่ที่เปียกไปทั่วบริเวณจากหยาดฝน มันสะท้อนแสงไฟสาดจ้าที่มาจากรถทั้งสองคันดูคล้ายแม่น้ำ พื้นที่นั้นมีขนาดประมาณครึ่งสนามฟุตบอลที่ค่อยๆลาดเอียงลงไปด้านหน้า
ชดขับรถต่อไปอย่างช้าๆ และจอดที่กลางลานอันโล่งเตียนแห่งนั้น เขาดึงเบรกมือขึ้นเพื่อป้องกันรถไหล แม้ว่ามองด้วยตาเปล่าบริเวณที่เขาจอดรถนั้นอยู่บนพื้นเรียบ
“เอ่อ คือ ยังไงนี่” ชดนั่งอึ้งอยู่หลังพวงมาลัยรถ
“มันไม่ใช่แม่น้ำค่ะ มันเป็นเนินริมหน้าผาสักแห่ง” สุจาอธิบาย
“ปั้ดโธ่ ผมรู้แล้ว แต่เรามาโผล่ตรงนี้ได้อย่างไร” ชดขมวดคิ้ว เขาหันไปมองรถของอะผ่าที่เข้ามาจอดเทียบด้านขวา อินญาและเชนมองมาที่ชด
“เข็มทิศของอินญาชี้มาทิศตะวันตก แต่ทำไมเราทะลุออกมาตรงนี้ อินญาไม่เข้าใจ” หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ชดมองนาฬิกา มันบอกเวลาทุ่มครึ่ง
“เราลงจากรถกันเถอะ ผมว่าคืนนี้เราคงต้องนอนที่นี่” ชดเปิดประตูรถและก้าวลงไปเหยียบพื้นหินที่ยังมีรอยเปียกจากน้ำฝน
อะผ่า เชน และอินญาก้าวลงมายืนเหยียดร่าง พวกเขามองลานกว้างใหญ่ที่เอียงลาดลงตรงปลายและหันมองหน้ากันเอง อะผ่าเกือบหัวเราะออกมาเพราะคราวนี้นอกจากเชนแล้วดูเหมือนทุกคนตัดสินใจผิด ซึ่งมันช่วยแบ่งเบาความรู้สึกหนักอึ้งของกันและกันออกไปได้เยอะ
“คือว่า อินญาขอโทษทุกคนนะคะ” อินญาพูดเสียงอ่อย
“ขอโทษเรื่องอะไรครับ” ชดถาม
“ที่ออกความเห็นเรื่องทิศทางแล้วพวกเราก็หลงมาจนถึงนี่ อินญาเสียใจจริงๆค่ะ”
“เสียใจทำไมครับ พวกเราต้องขอบคุณอินญาด้วยซ้ำที่แนะทางพาเรามาจนถึงลานหินแห่งนี้ มันเป็นชัยภูมิที่ดีทีเดียว ผมค่อนข้างพอใจนะ ขณะขับรถผมคิดว่าเราคงต้องหาที่จอดกลางป่าและกางเต๊นท์นอนบนพื้นเปียกแฉะมีสัตว์เลื้อยคลานเข้ามารบกวน”
ชดชี้ไปบริเวณรอบๆ และพูดต่อว่า
“แต่บนลานนี้เราจะพักผ่อนกันได้อย่างปลอดภัย เพราะมันเป็นพื้นที่โล่ง มองเห็นได้รอบด้าน ผมเองรู้สึกเยี่ยมยอดที่ออกมาจากรกจากพงเสียที เดี๋ยวพวกเรามาปิ้งบาร์บีคิวกินกันดีกว่า ปิ๊กนิกกันสักคืน”
ชดตบบ่าอินญา แล้วเขาก็พูดต่อไป
“อ้อ เรื่องเข็มทิศ อย่าคิดมากเลย มันทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว และพวกเราก็ไม่ผิดที่พยายามคลำทางมาตามที่มันบอก ผมเชื่อว่าคงมีสนามแม่เหล็กบริเวณไหนสักแห่งที่ทำให้เครื่องมือพวกนี้เบี่ยงเบนไป ในรถผมหน้าปัดคอมพิวเตอร์หยุดทำงานกว่าครึ่ง ตอนนี้เราเดินสำรวจรอบๆก่อนดีกว่าเพื่อความปลอดภัย”
อินญามีสีหน้าดีขึ้น เธอมองอะผ่ากับเชนที่กำลังรับไฟฉายคนละกระบอกที่สุจาส่งให้แล้วเดินไปคนละทาง เชนไปด้านซ้าย อะผ่าไปด้านขวา
ส่วนชดกับฤดีเมื่อรับไฟฉายจากสุจาแล้วก็เดินตรงไปด้านหน้าที่ไฟรถส่องไป
“สุจากับอินญาอยู่ตรงรถนี่แหละ เอาของลงเตรียมทำอาหารกันไปพลางๆ ก่อนนะ อีกไม่เกินสิบนาทีพวกเราจะกลับมา อย่าเพิ่งเอาเต็นท์ลง ผมขอเช็คสถานการณ์ให้แน่ใจก่อน” ชดบอกก่อนสาวเท้าตามฤดีไป
“เดี๋ยวหนูเอาตะเกียงเจ้าพายุออกมาจุดนะคะ รับรองว่ามันต้องสว่างราวกับกลางวัน”
สุจาเปิดหลังรถแล้วรื้อของออกมาจากล่องต่างๆ ที่มีเขาคนเดียวรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนอินญาดึงถุงเสบียงออกมาจากรถของอะผ่าอย่างคล่องแคล่ว
แสงไฟหน้ารถส่องสว่างจ้านำทางชดและฤดีไปจนสุดลานหิน ทั้งสองหันมองหน้ากัน ต่อจากลานหินที่พวกเขายืนอยู่คือความเวิ้งว้าง ชดกดเปิดไฟฉายส่องกราดไปเบื้องล่าง เขามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด ความเวิ้งว้างดำสนิทเบื้องล่างบ่งบอกความสูงที่พวกเขากำลังยืนอยู่
“เมื่อกี้ผมดูที่หน้าจอในรถ มันบอกว่าเราอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณหนึ่งพันแปดร้อยเมตร” ชดบอก
“ก็เกือบเท่าความสูงของดอยผาชัน”
“เอาไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะได้เห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นทิศไหน แล้วจะได้หาทางกลับกันถูก” ชดพูดแล้วก้มลงถามคนที่ยืนข้างเขา “คุณโอเคนะ ฤดี ผมเป็นห่วงคุณ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง เดี๋ยวเราไปช่วยสุจาทำอาหารกันดีกว่า โน่น เชนเดินกลับไปที่รถแล้ว”
ทั้งสองเดินกลับไปที่รถ ชดเปิดประตูปิดสวิตช์ไฟรถทั้งสองคัน ขณะนี้บริเวณลานหินสว่างไสวจากแสงตะเกียงเจ้าพายุที่สุจาตั้งไว้บนหลังคารถของโนอาห์
“เป็นไงบ้างด้านซ้ายของเรา” ชดถามเชนที่ถือกระบอกไฟฉายกระชับมือ
“ทางด้านซ้ายที่ผมไปสำรวจมาเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ใหญ่ไม่กี่ต้น หากมีสัตว์ใหญ่มาเราต้องเห็นมันก่อนแน่ครับ” เชนบอก จากนั้นทั้งสองก็หันไปมองอะผ่าที่เดินส่องไฟฉายจากบริเวณด้านขวาเข้ามาที่รถ
“เจออะไรไหม” ชดถาม
“ทางขวาด้านที่ผมไป ผมเห็นแต่ป่าทึบ แต่เหมือนจะได้ยินเสียงแว่วๆ คล้ายเสียงน้ำตกอยู่ไกลๆ” อะผ่าพูด
“เฮ้ย จริงหรือ” ชดอุทาน
“ครับ คุณชดต้องเดินไปให้สุดลานหินด้านขวา แล้วเงี่ยหูฟัง ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเสียงจั๊กจั่นหรือแมลงกลางคืน ฟังไปฟังมามันเป็นเสียงน้ำ จะว่าเป็นฝนตกก็ไม่น่าใช่ เพราะดูท้องฟ้าแล้วไม่มีเมฆดำ”
คำตอบของอะผ่าทำให้ชดและฤดีรู้สึกตื่นเต้น เพราะแผนที่ของโนอาห์ระบุไว้ว่ามีน้ำตกใหญ่บริเวณปลายเทือกเขาผาแดง
“แต่ปัญหาคือ ถ้าเป็นน้ำตกจริงๆ แล้วมันจะใช่น้ำตกของภูผาดำหรือเปล่า” ชดพูดต่อจากสิ่งที่ฤดีคิด
“นั่นสิคะ เพราะเหนือหุบเขาก็มักมีน้ำตกอยู่หลายแห่ง แต่ฉันเชื่อว่าภูผาดำน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” ฤดีกล่าว
“เราเดินไปตรงนั้นอีกทีดีไหมครับ” เชนเอ่ยปากชวน
“ดีเหมือนกัน คุณฤดีอยู่ตรงนี้อย่าเดินไปอีกเลย ผมกับอะผ่าและเชนจะไปดูกัน เดี๋ยวกลับมา” ชดบอก
“อีกครึ่งชั่วโมงอาหารจะเสร็จนะคะคุณผู้ชายทั้งหลาย” เสียงสุจาดังออกมาจากลานท้ายรถที่เขากับอินญากำลังทำอาหารมื้อค่ำอย่างขมักเขม้น
“ครับผม” ชดตะโกนบอก
“เดี๋ยวผมมาช่วยเช็ดพื้นให้แห้งครับ” เชนพูดกับสุจาแล้วก้าวสวบๆตามอะผ่าและชดไป
ฤดีเดินไปดูสุจาและอินญาเพื่อช่วยเตรียมอาหาร
“พี่ฤดีนั่งเฉยๆค่ะ ทำหลายคนเดี๋ยวจะไม่อร่อย”
สุจาย่างเนื้อบาร์บีคิวที่เขาใช้เหล็กเสียบวางบนตะแกรงเหนือเตาแก๊สแบบพกพา “หนูหุงข้าวไว้ยังไม่สุกดี เรามีเนื้อปิ้งและผักสด น้ำพริกสำเร็จที่ซื้อมาเป็นโหล อ้อ แล้วมีผลไม้อีกมากมายที่กินได้สองสามวัน ขนมอีกหลายอย่างสำหรับคุณชดที่ติดของหวาน เราหลงป่ามาอย่างนี้อย่าทำตัวเศร้านะคะ ชีวิตยังไม่สิ้นก็ไม่ต้องทุกข์ใจ สุจารับได้ทุกสภาพค่ะ” สุจาพูดพลางพลิกเนื้อย่างที่ส่งกลิ่นหอมหวนออกมา
“ขอบใจสุจามาก ตลอดหลายวันมานี้ทำไมพี่พูดแต่คำว่าขอบคุณสำหรับสุจานะ”
ฤดีนั่งแปะลงบนพื้นหินที่เริ่มแห้ง ลมเย็นโชยพัดกลิ่นดอกไม้มาผสมกลิ่นอาหารของสุจาทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
“เอนตัวลงนอนพักผ่อนไปก่อนก็ได้ค่ะพี่ฤดี เรารุ่นนี้แล้วไม่ต้องอายกัน” สุจาบอก
วัยหกสิบสี่ของฤดีมีข้อจำกัด เมื่อถึงเวลาหมดพลังขอเพียงเอนร่างหลับตาสักครู่หนึ่งเธอก็จะคลายความเหนื่อยล้า ฤดีเช็ดพื้นแล้วปูผ้าผืนบาง เธอล้มตัวลงนอนหนุนย่ามและผล็อยหลับ