ตอน หลงทิศ ผิดทาง (2)

4275 คำ
ทั้งสี่เดินหายเข้าไปในตลาดท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เหลียวมองอย่างสนใจ จากนั้นฤดีกับชดก็พากันเดินไปยังแผงขายผลไม้ “คุณชดคะ ฉันขอบคุณมากนะคะ” ฤดีหยุดเดินและหันมาพูดกับชด เธอขยับปีกหมวกให้เผยอขึ้นเพื่อที่จะแหงนหน้ามองเขาได้ “ขอบคุณเรื่องอะไรครับ” ชดทำหน้างงๆ เหงื่อไหลหยดจากต้นคอเปียกชุ่มหลัง เขาควักกระเป๋ากางเกงดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหน้าผากเรื่อยลงมาถึงคาง “เรื่องที่คุณชดขับรถมาช่วยกันในครั้งนี้ ครั้งแรกที่ฉันปฏิเสธเป็นเพราะฉันเกรงว่าจะทำให้คุณลำบาก และหากเกิดมีอะไรผิดพลาดไม่เป็นอย่างที่คิดฉันคงเสียใจและรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณชดปรารถนาดีและจริงใจ และคุณชดสามารถนำกลุ่มของเราได้โดยไม่มีใครแย้ง” ฤดีกล่าว “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะ ฤดี ที่ผมตัดสินใจมากับพวกเราเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของผม” ชดบอก เมื่อเห็นฤดีทำหน้าประหลาดใจเขาจึงอธิบายว่า “คือตั้งแต่ผมทราบความจากสุจาว่าคุณโนอาห์เขียนจดหมายถึงคุณและมอบหมายภารกิจให้คุณออกเดินทางไปค้นหาหมู่บ้านริมธารเพื่อขอตัวยาจากญิผ่ามารักษาคนที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดผมก็คือ ผมเองเป็นห่วงซูซานและลูกที่อยู่ชานกรุงลอนดอน ที่อังกฤษตอนนี้มีคนป่วยและตายจากโรค เฮมาลอยด์ เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน และผมเริ่มรู้สึกกลัวว่าหากวันหนึ่งครอบครัวผมบังเอิญได้รับเชื้อโรคตัวนี้ขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถผลิตยารักษาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแน่นอนว่าพวกเขาต้องตาย พอผมคิดขึ้นมาอย่างนี้ ผมบอกสุจาว่าเราอย่านิ่งเฉยเลย เราควรลงมือทำอะไรสักอย่างเท่าที่โอกาสอำนวย ฤดี ผมขอโทษที่ต้องพูดว่ามันแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้เลยในคำทำนายของพิมะที่อะผ่าเขียนรายงานส่งให้โนอาห์อ่านเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ผมเชื่อในวิจารณญาณของโนอาห์และคุณ” ชดหยุดพูด เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ย้อยจากหน้าผากลงมายังคางสองชั้น “ดังนั้นสิ่งที่ผมทำต่อมาคือนัดแนะกับสุจาว่าเราต้องช่วยคุณฤดีให้ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปได้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราไม่มีทางเสีย เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ลองทำตามจิตสำนึก” “ฉันเองก็เบี่ยงบ่ายบอกสุจาไปว่าเขาต้องอยู่ช่วยงานมูลนิธิกับหมี่ยะไปก่อน แต่คนอย่างสุจาเมื่อตัดสินใจอะไรแล้วไม่เคยถอย ฉันนึกขำที่เขาจัดกระเป๋าเสื้อผ้าก่อนใครและเอาไปเก็บไว้ล่วงหน้าในรถคุณ” ฤดีพูดพลางส่ายศีรษะเมื่อนึกถึงท่าทางของสุจาในงานศพโนอาห์ที่หลบมุมไปกระซิบกระซาบปรึกษาหารือกับชดราวกับกำลังวางแผนก่อการร้าย “สุจาเป็นห่วงคุณ เขาจึงตามมาในครั้งนี้ ผมอยากให้คุณรู้ไว้ เขาบอกว่าคุณอายุมากแล้ว ต้องมีคนช่วยดูแล หกล้มหกลุกไปจะลำบาก เราก็เลยจับมือกันว่าเราต้องช่วยคุณทำให้งานครั้งนี้สำเร็จ หากได้ตัวยามารักษาผู้คนเมื่อไร เมื่อนั้นเราจะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามปกติ ซูซานกับเคธลินก็จะมาอยู่กับผมได้ ส่วนสุจาจะได้บินไปเยี่ยมแฟนเขาที่เมืองนอก ผมมากับคุณครั้งนี้ก็ด้วยวัตถุประสงค์แฝงอยากที่บอก เพราะผมเห็นแก่ตัวครับ” ฤดีฟังชดพูดด้วยความซาบซึ้งใจในมิตรภาพของความเป็นเพื่อนเก่า แม้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยตีตัวออกห่างจากเขา แต่นั่นเป็นเรื่องของอดีต “ตกลงค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรมากอีกแล้ว แค่อยากบอกว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่าง เราจะเดินหน้าไปด้วยกันในทริปนี้ ฉันรับปากว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดให้ทุกอย่างบรรลุผลโดยไว ได้ตัวยากลับออกมาและนำไปมอบให้หน่วยงานสาธารณสุขให้เขาเอาไปเข้ากระบวนการวิจัย อย่างที่คุณชดบอก เราไม่มีอะไรจะเสียสำหรับการเดินทางด้วยกันในครั้งนี้” ทั้งสองมองเห็นสุจาที่เดินหิ้วถุงสัมภาระทั้งผักและเครื่องปรุงต่างๆ กลับมาที่รถ ส่วนเชน อะผ่า และอินญาก็ไม่น้อยหน้า ต่างหอบเสบียงสดและแห้งจนเต็มสองแขน “เอ่อ สุจา ผมว่าที่เห็นนั่นน่ะเรากินกันได้เป็นเดือนเลยนะ” ชดบอกพลางซับเหงื่อที่เปียกใบหน้าอีกครั้ง “หูยยย! พี่ชดนี่ไม่รู้อะไร เราเอาไปเผื่อญาติพี่น้องและเพื่อนพ้องของอะผ่าด้วยค่ะ พวกเขาไม่มีโอกาสลงมาตลาด และอีกอย่าง เราจะต้องไปปักเต็นท์นอนและจอดรถที่ลานใหญ่ของหมู่บ้าน เราก็ควรทำอาหารแบ่งให้พวกชาวบ้านได้กินด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีของไปฝากผู้ใหญ่บ้านและผู้อาวุโสต่างๆ” สุจาพูดพลางหายใจหอบ วัยห้าสิบของเขาแม้จะแข็งแรง แต่ก็หนีไม่พ้นความเสื่อมตามธรรมชาติ “เออ จริง ผมลืมไป ไม่ได้ขึ้นดอยเสียนานผมกลายเป็นคนไม่รู้ธรรมเนียม” ชดนึกขึ้นได้ว่าการจะเข้าไปอยู่อาศัยในหมู่บ้านชาวเขาที่อยู่ห่างไกลแม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เราก็ควรแบ่งปันน้ำใจ การทำอาหารเผื่อแผ่กันกินเป็นการสร้างมิตรไมตรีอย่างดีที่สุดและเป็นการหาแนวร่วมเผื่อต้องการความช่วยเหลือ อะผ่าเปิดประตูท้ายรถและจัดวางข้าวของเข้าไปทีละอย่าง มีทั้งผัก เนื้อ อาหารแห้งที่นำไปฝากครอบครัวพี่ชายและพี่สาวรวมทั้งของเล่นสำหรับหลานๆ ที่เริ่มโตพ้นวัยเด็ก อะผ่าไม่ได้กลับบ้านสองปีแล้วหลังจากทำงานในเมือง เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ไปพบหน้าญาติมิตร เขานึกเห็นภาพเด็กๆ ที่คงจะวิ่งตามรถทั้งสองคันและส่งเสียงโหวกเหวกอย่างที่เขาเคยวิ่งตามรถของโนอาห์ที่เข้าไปหมู่บ้านของเขาครั้งแรกเมื่อสิบห้าปีก่อน มาบัดนี้เขาได้ขับรถยนต์คันนั้นและมันกำลังจะกลับไปจอดบนลานที่ครั้งหนึ่งมันเคยไปเยือน “พร้อมแล้วนะ ทุกคน เราไปกันเถอะ อะผ่าขับนำไป สักชั่วโมงกว่าคงถึงทางแยกเข้าผาแดงใช่ไหม” ชดถามอะผ่า เหงื่อเปียกโชกทั่วหลังราวกับถูกน้ำราด “ประมาณนั้นครับ แต่ผมดูฟ้าครึ้มๆ เหมือนฝนจะตก” อะผ่าเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้แดด เมฆขาวฟ่องเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มกระจายตัวอยู่เหนือเทือกเขา “ร้อนจัดมาหลายวัน พายุท่าจะมา ดูสิคะใบไม้เริ่มปลิวแล้ว” สุจาชี้ไปยังต้นไม้สูงหน้าตลาดที่เริ่มไหวเอนด้วยแรงลม ใบไม้สีเหลืองเข้มและสีน้ำตาลปลิดปลิวลอยละล่องดูเหมือนฝูงนกที่แตกรัง “ตอนแวะแม่ขะจานไม่มีเค้าเลยว่าฝนจะตก แต่รู้สึกได้ว่าอากาศร้อนอบอ้าวมาก” ชดบอกพลางขมวดคิ้วดูท้องฟ้าที่แดดหายไป “เราไปกันเถอะ เดี๋ยวเจอฝนกลางทางจะขับรถลำบาก” “ถนนลาดยางไปยอดดอยผาชันไม่น่าห่วงเท่ากับเส้นทางช่วงที่แยกไปบ้านผาแดงนะครับ” อะผ่าบอกด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนความกังวลไว้ เขาเดินไปขึ้นรถและติดเครื่องยนต์พลางแหงนดูท้องฟ้า เชนเปิดประตูรถให้อินญาขึ้นไปนั่งหน้าส่วนเขาตามขึ้นไปที่เบาะหลัง หนุ่มสาวทั้งสามดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด อะผ่ามองกระจกหลัง เมื่อเห็นชด สุจา และฤดีขึ้นรถเรียบร้อยแล้วเขาก็ขับนำไปยังตีนดอยผาชัน จากนั้นเร่งความเร็วขึ้นบนถนนที่ค่อยๆ ลาดขึ้นสู่ที่สูง ท้องฟ้าที่สดใสเมื่อพวกเขามาถึงตลาดบัดนี้กลายเป็นสีหม่นมัว ลมที่พัดกระโชกกระทบกระจกหน้ารถมีละอองฝนเป็นเม็ดพราว “เราเจอฝนแล้วจริงๆ” ชดรำพึง เส้นทางที่เริ่มสูงชันขึ้นทำให้มองเห็นทิวทัศน์ด้านข้างได้ไกล ป่าไม้เปื้อนฝุ่นค่อยๆ ถูกชะล้างจากเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา สุจาถอดแว่นกันแดดออกเก็บแล้วควักแว่นสายตาขึ้นมาสวม “ต๊ายตาย น่ากลัวจริง ดูสิคะ พี่ฤดี ข้างหน้าโน่นเมฆดำทะมึน” สุจาชี้ไปที่เทือกเข้าเบื้องหน้า แผ่นฟ้าราวกับห่มไว้ด้วยผ้าสีดำ “เมื่อเช้าผมอ่านดูข่าวพยากรณ์อากาศว่าจะมีพายุฝนฟ้าคะนองจากความกดอากาศ นึกๆอยู่เหมือนกันว่าเราอาจเจอฝนกลางทาง แต่ไม่คิดว่าปุบปับมันจะเปลี่ยนไปเร็วอย่างนี้” ชดบอก เขายื่นหน้าออกไปเพื่อมองท้องฟ้าให้ถนัด “นั่นสิคะ รู้อย่างนี้เราไม่ต้องแวะดื่มกาแฟที่แม่ขะจานเสียก็ดีนะคะ” ฤดีนึกเสียดายเวลา “นั่นน่ะเป็นเวลาที่มีค่านะ เราหกคนได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนปรึกษาหารือกันพร้อมหน้าเป็นครั้งแรก ในงานศพคุณโนอาห์เราไม่มีโอกาสอย่างนั้น ช่างมันเถอะคุณฤดี เวลาที่ผ่านไปเราใช้มันอย่างคุ้มค่าแล้ว” ชดตอบพลางเพ่งฝ่าสายฝน รถของเขาแล่นอย่างนุ่มนวลไต่ความสูงขึ้นไปทิ้งระยะห่างจากรถของอะผ่ากว่าห้าสิบเมตร “อินญากลัวหรือเปล่า” อะผ่าชำเลืองมาทางอินญาที่นั่งมองเม็ดฝนกลายเป็นน้ำหลากบนกระจกหน้ารถ ที่ปัดน้ำฝนเบอร์สามเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ “นิดหน่อยค่ะ” อินญาตอบสั้นๆ เชนที่นั่งข้างหลังอินญาถามอะผ่าว่า “ความสูงของดอยผาชันนี่เท่าไร” “ก็ประมาณเกือบสองพันเมตรจากระดับน้ำทะเล” อะผ่าตอบ “แล้วดอยผาแดงล่ะ” เชนถามต่อ “ก็สูงพอๆกัน หากเรายืนอยู่บนยอดดอยผาชันแล้วหันหน้าไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ นั่นแหละบ้านผมอยู่ตรงนั้นบนดอยผาแดง มีหุบเขากว้างใหญ่ขวางไว้” อะผ่าอธิบายโดยวิธีของเขา “อ้อ เข้าใจละ หากพวกเรายืนที่หมู่บ้านของอะผ่าบนดอยผาแดง แล้วมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็จะเห็นดอยผาชัน” อินญาพยายามทำความเข้าใจ “ครับ” อะผ่าตอบยิ้มๆ เขาชำเลืองมองผมสีส้มออกแดงของอินญาและขนตาหนาที่กะพริบขณะเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เขาพูดต่อไปว่า “หากฝนไม่ตกเราจะขับรถชั่วโมงกว่าในระยะทางยี่สิบเจ็ดกิโลเมตรจากตีนดอยผาชันไปถึงทางแยก และจากทางแยกก็อาจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงจะถึงหมู่บ้านผม เราต้องมุดเข้าป่าโปร่งและไปโผล่ถนนขรุขระริมผาแดง ไปมาลำบากอย่างนี้นับสิบๆปีแล้ว” อะผ่าพูดพลางประคองพวงมาลัยไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อเลี่ยงไม่ให้รถไถล “แสดงว่าเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนสัญจร” เชนถามต่อ “ใช่ละ เชน คนหมู่บ้านผมฐานะยากจนและส่วนใหญ่ไม่มีธุระที่จะต้องเดินทางไปไหน นิสัยพวกเขาไม่ชอบค้าขาย พวกเด็กเล็กพอโตขึ้น เรียนจบชั้นประถมตามเกณฑ์แล้วก็ยึดอาชีพทำไร่ มีไม่กี่คนที่ออกไปขายแรงงานแถวเชียงรายและแม่สาย เวลากลับบ้านใช้วิธีขึ้นรถโดยสารของหมู่บ้านบนดอยผาชันไปลงที่ทางแยก แล้วเดินต่อไปที่บ้านผาแดงอย่างที่ผมทำเป็นประจำปีละสองครั้งตอนเรียนหนังสือที่เชียงใหม่” อะผ่าตอบพลางเปลี่ยนเกียร์เพื่อลดความเร็วของรถในช่วงลงเขา กระจกหน้ารถเป็นฝ้าหนา มองไม่เห็นอะไรนอกจากสายฝนที่กระหน่ำอย่างหนัก ส่วนรถฮัมเมร่าสีเงินที่ตามหลังมา ขณะนี้เปิดไฟสูงเพื่อให้รถของอะผ่ามองเห็น “เราอยู่ในรถคันนี้ไม่รู้สึกเลยว่าถนนโยกโคลงหรือมีฝนหนักข้างนอก” สุจาชื่นชมกับสมรรถนะของรถ “ใช่ค่ะ พี่ก็สังเกตเหมือนกันว่าแม้เราแทบมองไม่เห็นเส้นทาง รู้แต่ว่ามีลมกระโชกแรงและฝนกำลังตกอย่างหนัก แต่ภายในรถเหมือนกับทุกอย่างปกติมาก รถแล่นขึ้นเขาอย่างนิ่มนวลราวกับอยู่พื้นราบ และดูเหมือนมันจะคิดแทนเราด้วยว่าควรทำอย่างไร” ฤดีพูด อันที่จริงเธอกังวลอยู่ในใจลึกๆ เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวไกล ความสะดวกสบายที่สรรสร้างมาเพื่อการใช้สอย ทำให้มนุษย์เราขาดการติดต่อกับธรรมชาติแวดล้อม รถคันนี้ใช้ระบบอัตโนมัติแทบทุกอย่างจนทำให้ผู้โดยสารแทบไม่ต้องใช้ผัสสะใดๆ เธอมองผ่านกระจกด้านข้าง เห็นรางๆว่ายอดไม้ใหญ่กำลังเอนไหวเหมือนถูกคลื่นซัดกระหน่ำ “ครับ มันกลไกแบบเดียวกับรถของทหาร มันบอกเราได้ว่าต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ตรงไหนมีอุปสรรค หรือตรงไหนมีเครื่องกีดขวาง ระบบเซนเซอร์จะคอยกะพริบบอกหรือร้องเตือน เรายังไปต่อได้สบายมากครับ และไม่ต้องกลัวว่าเมื่อต้นไม้ล้มใส่แล้วหลังคาจะยุบลงมา เพราะมันหุ้มด้วยโครงเหล็กกล้าที่หนาเหมือนรถถัง ผมสั่งซื้อรถแบบนี้มาเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร” ชดพูดอย่างภูมิใจ เขากำพวงมาลัยรถอย่างหลวมๆ พลางเหลือบตาดูแผงหน้าปัดที่แพรวพราวไปด้วยปุ่มและหน้าจอต่างๆ ซึ่งเขาใช้มือสัมผัสอยู่เป็นระยะเพื่อควบคุมรถ “แต่รถอะผ่าน่ะสิคะ ดูสินั่น มันคลานเป๋ไป๋ไปมาเหมือนคนเมา” สุจาเพ่งมองรถคันหน้าอย่างเป็นห่วง “อ๋อ นั่นน่ะเขาแก้ปัญหาถนนลื่นโดยการขับส่าย ถือว่าเป็นนักขับรถที่ฉลาดคนหนึ่ง รถรุ่นเก่าที่ใช้เกียร์กระปุกต้องใช้วิธีนี้ เพราะการเหยียบเบรกจะอันตรายทำให้รถปัดและอาจไถลตกเขาได้” ชดอธิบาย “แต่ถึงอย่างไรหนูก็เป็นห่วงพวกเขานะคะ” สุจาเสียงอ่อย เขาจับที่ยึดไว้มั่นตามความเคยชิน รถสองคันขับตามกันไปในสายฝนที่เทลงมาราวกับสายน้ำตก เมื่อผ่านไปยี่สิบนาทีมันก็เริ่มเบาบางลง “โอ้โห ต้นไม้โค่นเป็นทางเลย” อินญามองลงไปด้านข้างของถนนที่ไต่ระดับความสูงขึ้นมาเกินครึ่งทางแล้ว ต้นไม้ใหญ่ถอนรากล้มลงเป็นทิวแถว “ผมเดาว่าบนเทือกเขานี้ต้องแห้งแล้งมาหลายเดือน มันจึงเกิดพายุจัดขนาดนี้” เชนพูดพลางชะโงกหน้าดูจนเหลียวหลัง “ใช่แล้วละ เชน ทั่วภาคเหนือและทั่วประเทศช่วงนี้เป็นฤดูร้อน แต่ปีนี้แห้งแล้งยาวนาน ที่เชียงใหม่ไม่มีฝนมาสี่เดือนกว่า ผมถามพวกญาติอาโฮหมี่ยะที่ไปร่วมงานศพคุณโนอาห์ หมู่บ้านเขาก็ไม่มีฝนตกนานแล้วเหมือนกัน” อะผ่าพูดพลางหันมองข้างทางที่เริ่มเห็นชัดขึ้น สิบห้านาทีต่อมาฟ้าเริ่มกระจ่างใส มองเห็นละอองเมฆขาวเป็นทิวระดับตา “นี่พวกเราขึ้นมาสูงเทียมเมฆแล้วหรือ” ฤดีคิดในใจ เธอมองซ้ายมองขวา พายุฝนที่กระหน่ำผ่านไปสร้างความเสียหายให้ต้นไม้สองข้างทางไม่น้อย “ทางแยกเข้าเทือกเขาผาแดงน่าจะอยู่ข้างหน้านั่นค่ะ” สุจาชะเง้อมองและบอกชด “เดี๋ยวเราบอกอะผ่าหยุดรถคุยกันก่อนดีกว่า ผมไม่แน่ใจว่าทางเส้นนั้นจะยังใช้ได้ ดูสภาพรอบๆ เราตอนนี้เห็นแต่ต้นไม้ล้มระเนระนาด” ชดพูดพลางควักโทรศัพท์ออกมากด อะผ่ารับโทรศัพท์จากชดเมื่อเสียงเรียกดังขึ้นครั้งที่สอง “ครับผม” “อะผ่า เดี๋ยวพอลงเนินแล้วขอปรึกษาอะไรหน่อย หาที่จอดดีๆ” ชดบอกสั้นๆ “ความจริงขึ้นไปนอนค้างที่หมู่บ้านของหนูบนยอดดอยผาชันสักคืนก็ได้นะคะ อีกสามกิโลเท่านั้นเอง นี่เกือบห้าโมงเย็นแล้ว” สุจาเสนอความเห็น แม้ว่าใจเขาไม่อยากเข้าหมู่บ้านใหญ่แห่งนั้นที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายแทบจำไม่ได้ จากการที่ประชากรเพิ่มขึ้นเกือบห้าพันคน ประกอบด้วยผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมอย่างชาวลีซูและชาวอาข่า นอกจากนั้นยังมีคนไทยพื้นเมืองที่ขึ้นไปตั้งร้านค้าหลังจากถนนลาดยางไปถึง มีการก่อสร้างที่พักและรีสอร์ตนับสิบหลัง อีกทั้งมีนักธุรกิจจากกรุงเทพฯ มาลงทุนทำไร่กาแฟเพื่อเอาผลผลิตส่งไปขายต่างประเทศ “เดี๋ยวลองฟังอะผ่าก่อนนะ หากเขาคิดว่าเส้นทางเข้าหมู่บ้านผาแดงมีปัญหา เราก็จะขึ้นไปพักค้างที่หมู่บ้านของสุจา แต่หากเขายืนยันว่ามันพอไปได้แม้ว่าถูกพายุพัดขนาดนี้ ผมก็คิดว่าเราควรไปตามแผนที่วางไว้จะได้ไม่เสียเวลา” ชดบอกสุจาและฤดี ห้านาทีต่อมารถของโนอาห์ที่อะผ่าเป็นผู้ขับก็จอดชิดริมถนนอันมีหุบเขาเวิ้งว้างอยู่เบื้องล่าง บริเวณแห่งนี้เป็นรอยต่อของดอยผาชันกับเทือกเขาผาแดง เมื่อมองไปทิศเหนือจะเห็นหลังคาหมู่บ้านใหญ่บนยอดดอยผาชันอยู่ลิบๆ ชดจอดรถต่อหลังและดึงเบรกมือ ผู้โดยสารทั้งหมดลงมายืนยืดขาบนถนนที่เปียกแฉะ “ตรงไหนล่ะที่เป็นทางแยก” ชดถามอะผ่าพลางขยับแว่นมองหา “ตรงนี้ละครับทางแยก” อะผ่าตอบ พลางชี้ไปยังพุ่มไม้ที่ขึ้นรกเรื้อปิดบังเส้นทางจนมิด “หา” ชดมองอะผ่าแล้วมองนิ้วมือที่ชี้ไป “อ๋อ เห็นละ” สุจาเดินข้ามถนนไปยังพุ่มไม้ที่มีเม็ดฝนเกาะพราว “ท่าจะไม่ได้ใช้มานาน” สุจาพูดกับชดและฤดี “หนูนึกออกแล้ว อาผี่ญิผ่าเคยเล่าให้หนูฟังว่ามีเส้นทางไปหมู่บ้านผาแดงอยู่สองเส้น เส้นหนึ่งอ้อมไปทางด้านหลังหมู่บ้านจากยอดดอยผาชันโน่น เส้นนั้นปลอดภัยหน่อยเพราะเป็นทางเดินเท้าผ่านไร่ข้าว แต่ต้องเดินกันครึ่งค่อนวันกว่าจะถึง และมีอีกเส้นหนึ่งเลียบหน้าผาของดอยผาแดงไป ก็คงเป็นเส้นนี้” “ใช่แล้วละสุจา เมื่อก่อนคุณโนอาห์เคยออกสำรวจเส้นทางเข้าหมู่บ้านต่างๆ เขาลองขับรถเข้าทางแยกนี้ มุ่งหน้าเข้าป่าตามรอยทางเดินไปเรื่อยๆ จนพบถนนริมหน้าผาแล้วก็ถึงหมู่บ้านผาแดง” ฤดีฟื้นความทรงจำที่ผ่านไปสิบห้าปีขึ้นมาได้ใหม่เมื่อเห็นทางแยกที่ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ “ผมเห็นรถคันนี้ครั้งแรกก็ตอนนั้นแหละครับ ผมวิ่งตามตั้งแต่หัวไร่ไปจนถึงลานหมู่บ้าน” อะผ่าบอกพลางหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพตนเองในวัยเด็ก “แล้วตกลงเราจะเอาอย่างไร คุณฤดีช่วยออกความเห็นหน่อยครับ” ชดมองนาฬิกาข้อมือแล้วขมวดคิ้ว อินญากับเชนยืนงงเพราะทุกคนพูดภาษาไทย “มีอะไรหรือคะ” อินญาถามแทรกขึ้นมาเพราะอยากรู้เต็มที ชดและคนอื่นออกปากขอโทษที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษกัน สุจาบอกหนุ่มสาวทั้งสองว่าพวกเขากำลังตัดสินใจว่าจะไปหมู่บ้านผาแดงหลังจากนี้หรือจะไปค้างคืนที่หมู่บ้านของสุจาบนยอดดอยผาชันกันก่อน ฤดีตอบชดว่า “ฉันผ่านเส้นทางนี้แค่ครั้งเดียวเมื่อสิบห้าปีก่อน หลังจากนั้นไม่รู้สภาพมันอีกเลย คงต้องให้อะผ่าตัดสินใจดีกว่าค่ะ” อะผ่ายืนคิดสักครู่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงลังเล “ครั้งสุดท้ายที่ผมเดินกลับหมู่บ้านเมื่อสองปีมาแล้ว ถนนยังดีอยู่ครับ” “แต่เมื่อกี้ฝนตกหนักมากนะ เห็นต้นไม้สองข้างทางหักโค่นเป็นแถว” ชดถามเพื่อความแน่ใจ “อ้อ หากคุณชดกลัวเรื่องต้นไม้โค่นปิดเส้นทาง เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะจากทางแยกนี้ไปเป็นป่าโปร่งที่มีแต่ไม้เล็กและพุ่มไม้เตี้ยไประยะหนึ่ง แล้วก็จะทะลุถึงถนนริมหน้าผาที่อีกด้านไม่มีอะไรครับ” อะผ่าตอบด้วยลิ้นที่เริ่มพันจากการพูดสองภาษาขณะที่สมองของเขาต้องแปลกลับเป็นภาษาอาข่า “ไม่มีอะไรแปลว่าอะไร” เชนถาม เขาพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อะผ่าอธิบาย “คืออย่างนี้ค่ะ” ฤดีช่วยขยายความ “หากความจำฉันไม่ผิดพลาดนะคะ จากทางแยกนี้จนถึงหมู่บ้านผาแดง เราจะผ่านเส้นทางรกเรื้อระยะทางประมาณห้ากิโลเมตรก่อนจะไปโผล่ที่ถนนริมผาหิน ซึ่งหากเราอยู่ที่หมู่บ้านบนยอดดอยผาชันที่เห็นลิบๆ โน่นและมองกลับมา เราจะเห็นหน้าผาสีน้ำตาลแดงเรื่อเมื่อถูกแสงแดดกระทบ ชื่อหมู่บ้านผาแดงนี้เป็นภาษาไทย พวกเจ้าหน้าที่ทหารเขาตั้งให้เมื่อคราวพวกเขาตัดถนนเข้าไปปราบฝ**นเกือบสี่สิบปีมาแล้ว เดิมชื่อ ‘หมู่บ้านอาโย’ ซึ่งเป็นชื่อผู้นำคนแรกที่พาญาติพี่น้องอพยพมาอยู่” ฤดีทำท่านึกอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ “ส่วนถนนปราบฝ**นที่ตัดเลียบริมผาหินไปนั้นระยะทางประมาณเกือบสิบกิโลเมตร ซึ่งที่อะผ่าบอกเมื่อกี้ว่าด้านหนึ่งไม่มีอะไรนั้น หมายถึง ด้านขวาของรถที่แล่นไปเป็นภูเขาหิน ส่วนด้านซ้ายว่างเปล่าเพราะมันคือเหวลึก ที่หากรถหรือคนตกลงไปก็คงไม่เหลือกซาก” “โอ้โฮ มันเสี่ยงอันตรายมากเลยนะนั่น” ชดอุทาน “ถึงไม่ค่อยมีรถเข้าไปที่หมู่บ้านผมไงครับ” อะผ่าบอก “แต่มีอีกเส้นทางที่จะไปได้ คือเราขับรถอ้อมหลังหมู่บ้านบนยอดดอยผาชัน ซึ่งต้องเพิ่มระยะทางเข้าไปหนึ่งเท่าก็คือเป็นสามสิบหกกิโลเมตร และหากเราตัดสินใจจะใช้เส้นทางนั้นตอนนี้ แน่นอนว่าต้องไปมืดค่ำกลางทาง” “แล้วที่คุณเล่าให้พวกเราฟังว่าตอนเด็กคุณเดินไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเจ็ดกิโลเมตรนั่นน่ะ มันอยู่ทิศไหน เราจะไปทางด้านนั้นได้ไหม” ชดซัก “หากจะไปเส้นทางนั้นเราต้องกลับลงไปที่แม่สรวยแล้วขับรถต่อจนเกือบถึงเชียงราย จากนั้นก็ขับรถวนอ้อมลำห้วยแม่ตะปือขึ้นมาจนถึงกลุ่มหมู่บ้านปลายเทือกเขาอีกฟากหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน แล้วเดินเท้าขึ้นมาเจ็ดกิโลก็ถึงบ้านผาแดงครับ” อะผ่าอธิบาย ชดยืนเกาศีรษะที่แทบไม่มีผมของเขา ทุกคนยืนเงียบ ครู่หนึ่งฤดีตัดสินใจพูดออกมา “ฉันคิดว่าเราน่าจะเข้าทางแยกนี้ไปตามแผนเดิม เพราะหากเป็นถนนที่แทบไม่มีรถผ่าน แปลว่ามันไม่ทรุดโทรมลงมาก เราคงสามารถใช้เส้นทางโดยไม่มีปัญหา ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วและฟ้าก็ใสดี เราควรรีบไปค่ะ” “คนอื่นว่าอย่างไร” ชดซาวเสียง เขาต้องการให้แน่ใจว่าทุกคนคิดตรงกัน “อินญาไม่มีความเห็นค่ะ ต้องขอโทษนะคะ แต่อินญาเชื่อว่าอะผ่าและคุณลุงชดเป็นนักขับรถที่ชำนาญ หากมีปัญหาอะไรคงแก้ไขได้ทัน และอีกอย่างอะผ่าเป็นคนพื้นที่นี้ อินญาเชื่อว่าเขาคงรู้ดีกว่าอินญากับเชนค่ะ” “ผมก็ต้องขอโทษที่ช่วยออกความเห็นอะไรไม่ได้ แต่หากมีปัญหารถติดหล่มกลางทางผมยินดีลงไปช่วยเข็นด้วยสองแขนของผม” เชนตอบและทำท่าเบ่งกล้าม ซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา “ขอออกความเห็นหน่อยค่ะ คือกล้ามแขนของพ่อรูปหล่อคนนี้เราควรถนอมไว้ใช้ยามขาดความอบอุ่นนะคะ อย่าเอาไปใช้หักโหม เสียดายของ ส่วนเรื่องว่าจะใช้เส้นทางไหน สุจาเอาด้วยทั้งนั้นค่ะ ไปไหนก็ไปกัน” สุจาพูดเสร็จก็เดินไปขึ้นรถพร้อมกวักมือเรียกชด “ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเสียเวลา” “โอเค อะผ่าขับเข้าทางแยกนำไป” ชดพูดขึ้นในที่สุดแม้เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยตรงใจเขาเท่าใดนัก สัญชาตญาณของการเป็นไกด์เก่าบอกเขาว่าควรถอยไปตั้งหลักเพื่อความปลอดภัยของคนในคณะที่มีทั้งหนุ่มสาวชาวต่างประเทศอย่างอินญาและเชน คนสูงอายุอย่างฤดี สุจา รวมทั้งตัวเขา สำหรับอะผ่าเขาไม่ห่วง แต่ในเมื่อเป็นมติของคนที่คุ้นพื้นที่และคนที่มีประสบการณ์แม้จะผ่านมานับสิบปีแล้ว เขาก็ต้องเคารพมตินั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม