หนิงลู่ซือเห็นว่าไหนๆ ก็ต้องเข้าไปขายของในเมืองอยู่แล้ว ก็เลยจะจับปลาไปขายสักหน่อย เพราะปลาในลำธารมีมากมายเหลือเกิน อีกทั้งตัวยังใหญ่ด้วย
หนิงลู่ซือไม่รู้หรอกว่าเขาจับปลากันยังไง แต่นางจะลองจับแบบวิธีเดิมที่จับวันก่อน คือใช้ตะกร้าที่สานถี่ๆ มาดักปลา มีปลาว่ายเข้ามาในตะกร้าของนางหลายตัวมากๆ
เจ้าปลาพวกนี้นางจะเปลี่ยนให้เป็นก้อนเงินให้หมดเลย เมื่อได้ปลาเยอะพอสมควรแล้วนางก็ถือถังที่ใส่ปลากลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงก็เห็นน้องสาวอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดสีชมพูเรียบร้อยแล้ว
“ว้าว พี่ใหญ่ท่านจับปลาได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ” หนิงลี่อินเดินเข้ามาดูถังที่พี่ใหญ่วางลงบนรถเข็น ตอนนี้ในรถเข็นมีทั้งตะกร้าสมุนไพร ตะกร้าผลไม้ และยังมีถังปลาเพิ่มมาด้วย
“พี่ใหญ่ของเจ้าเก่งอย่างไรเล่า เลยจับมาได้มากมายถึงเพียงนี้” ได้ทีก็ขอโอ้อวดตนเองสักหน่อย
“พี่ใหญ่ท่านชมตัวเองก็ได้หรือเจ้าคะ” หนิงลู่ซือชะงักกับคำพูดของน้องสาว
“วันก่อนเจ้าก็ยังชมว่าตัวเองเก่งอยู่เลยไม่ใช่หรือ” นางกล่าวขึ้น
“ก็ข้าเก่งจริงๆ หนิเจ้าคะ”
“พี่ใหญ่ก็เก่งเช่นกันอย่างไรเล่า”
“ข้าไม่เถียงกับพี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่รีบไปอาบน้ำเร็วๆ เข้า ใส่ชุดสีชมพูเหมือนข้าด้วยนะเจ้าคะ ข้าชอบที่เราสองพี่น้องใส่ชุดเหมือนกัน”
“ไม่!” ปากบอกว่าไม่ แต่เมื่อเดินออกมาหนิงลี่อินก็ยิ้มปากเกือบถึงรูหู ก็ไหนบอกว่าจะไม่ใส่ไง แล้วที่ใส่นั่นไม่ใส่สีชมพูหรืออย่างไร
“ยิ้มอะไรอาอิน ที่พี่ใหญ่ใส่สีชมพูเพราะหยิบได้ก็เลยต้องใส่” หนิงลู่ซือจะไม่ยอมรับหรอกนะว่านางอยากใส่เอาใจน้องสาวน่ะ
“ข้ายังไม่ได้พูดอันใดเลยนะเจ้าคะ” เด็กน้อยเอียงคอตอบอย่างน่ารัก แถมยังยิ้มล้อเลียนพี่สาวด้วย
“ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน”
“เจ้าค่า” ผู้เป็นน้องสาวรับคำ ก่อนที่หนิงลู่ซือจะอุ้มเจ้าตัวน้อยนั่งบนรถเข็นมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง
“วันนี้ข้าเก็บไข่ได้ไม่โดนไก่ไล่จิกแล้ว รางที่พี่ใหญ่ทำดีจริงๆ เลยเจ้าค่ะ” หนิงลี่อินหันมาบอกพี่สาว
“ดีแล้ว ต่อไปหน้าที่ของเจ้าคือเก็บไข่ไก่ในตอนเช้า และให้อาหารไก่วันละ 2 เวลา คือหลังเก็บไข่และตอนเย็นทำได้หรือไม่”
“ทำได้สบายมากเจ้าค่ะ” แล้วสองพี่น้องก็พูดคุยกันไปตลอดทาง ระหว่างทางก็พบเจอชาวบ้านอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ทักทายอันใด มีบ้างที่ยิ้มให้กัน
ใช้เวลา 2 เค่อก็มาถึงทางเข้าประตูเมือง สิ่งที่ต้องทำก็เหมือนเดิมคือเข้าแถวรอจ่ายเงินค่าเข้า เมื่อจ่ายเสร็จเรียบร้อย หนิงลู่ซือก็เข็นรถเข็นมุ่งหน้าไปร้านขายสมุนไพรก่อนเป็นอันดับแรก
“ร้านเฮงเฮงยินดีต้อนรับขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์คนเดิมออกมาต้อนรับ
“ข้ามีสมุนไพรมาขายเจ้าค่ะ”
“ขอรับเชิญแม่นางไปรอที่ห้องเดิมได้เลยขอรับ ข้าขอไปแจ้งเถ้าแก่สักครู่ขอรับ”
หนิงลู่ซือพาหนิงลี่อินเข้าไปรอในห้องเดิมกับคราวก่อน ไม่นานประตูห้องก็เปิดออก
“คารวะเถ้าแก่เจาเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือ
“คารวะเถ้าแก่เจาเจ้าค่ะ” หนิงลี่อิน
“ไม่ต้องมากพิธี ไหนๆ วันนี้พวกเจ้าสองพี่น้องเอาสมุนไพรอะไรมาขายข้า”
“เป็นจัวจิเช่าเช่นเดิมเจ้าค่ะ ไม่ทราบท่านเถ้าแก่เจายังรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางเพิ่งมาขายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงกลัวว่าเถ้าแก่เจาจะไม่รับซื้อ เพราะถ้าไม่รับซื้อนางจะได้ไปขายร้านอื่น
“รับสิ ไหนเจ้ามีเท่าไหร่ข้าจะรับซื้อทั้งหมด” ถึงแม้สมุนไพรที่ซื้อเมื่อไม่กี่วันก่อนจะยังไม่ได้ขายออกไปเลยก็ตาม แต่การมีมากย่อมดีกว่าขาด
หนิงลู่ซือจึงหยิบตะกร้ามาตั้งบนโต๊ะ เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาหยิบตะกร้าไปชั่งและเข้ามาแจ้งน้ำหนักให้เถ้าแก่เจาได้ทราบ
“ทั้งหมด 40 เหลี่ยง ข้าให้ราคาเดิมเจ้าพอใจหรือไหม”
“พอใจเจ้าค่ะ ”
“ทั้งหมด 40 เหลี่ยง เหลี่ยงละ 1 ตำลึง ทั้งหมดก็ 40 ตำลึง เจ้าจะรับเป็นตั๋วแลกเงินหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าขอเป็นตั๋วแลกเงินใบละ 10 ตำลึง 3 ใบ ส่วนอีก 10 ตำลึงที่เหลือข้าขอเป็นเหรียญตำลึงเจ้าค่ะ”
“ได้ เจ้ารอสักครู่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์ไปหยิบมาให้เจ้า” เสี่ยวเอ้อร์ออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมตั๋วแลกเงินและเหรียญตำลึง
“เอานี่เงินของเจ้า ลองนับดูก่อนว่าครบหรือไม่”
“ไม่ต้องนับหรอกเจ้าค่ะข้าเชื่อใจท่าน ขอบคุณมากนะเจ้าคะเถ้าแก่เจา” หนิงลู่ซือรับเงินมาแล้วก็เอาใส่ในเสื้อทันที เพื่อเป็นการวัดใจและซื้อใจ นางจึงไม่นับเงินจำนวนนี้
เจาเจ๋อเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกดีกับนางขึ้นมาอีกหลายส่วน
“ข้ากับน้องสาวต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปหาที่ขายของตั้งแผงขายของต่อเจ้าค่ะ”
“เจ้าเอาของอย่างอื่นมาขายด้วยรึ” เจาเจ๋อถามออกไป
“เจ้าค่ะ ข้าเอาผิงกั่ว ซานจา และปลามาขายเจ้าค่ะ”
“ไหนๆ พาข้าออกไปดูหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ทั้ง 3 คนเดินออกมาจากห้องมุ่งตรงไปยังรถเข็นที่นางจอดแอบๆ ไว้ข้างร้าน
เจาเจ๋อเห็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยตะกร้าหลายใบ ไหนจะถังใส่ปลาอีก จะว่าไปเขาเจอนางเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นนางมากับคนอื่นเลยนอกจากน้องสาวของนาง แล้วนางขนของพวกนี้มาได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าเข็นรถเข็นมาเอง!
“เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าเข็นรถที่เต็มไปด้วยข้าวของพวกนี้มาเอง”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“แล้วพวกบุรุษบ้านเจ้าเล่า ทำไมไม่ให้พวกเขาเข็นมาให้เจ้า” บุรุษบ้านนี้นี่ยังไงกัน ถึงกับให้สตรีและเด็กเข็นรถเข็นนี้มาตามลำพัง
“บ้านข้าไม่มีบุรุษหรอกเจ้าค่ะเถ้าแกีเจา ข้าอยู่กับน้องสาวแค่ 2 คนเจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเพิ่งเสียไปได้ไม่นานเจ้าค่ะ” ความจริงที่ได้รับรู้ยิ่งทำให้เจาเจ๋อตกใจไม่น้อย เขามองหญิงสาวตรงหน้าที หันมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กทำผมทรงซาลาเปา 2 ข้างที ก็ได้แต่สงสาร อยู่กันเพียงแค่ 2 คนสินะ จึงต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง
“งั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องไปหาที่เช่าในตลาดหรอกเวลานี้คงเต็มหมดแล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ แล้วข้าจะทำเช่นไร หรือต้องเข็นรถกลับบ้านเช่นนั้นหรือ”
“จะเข็นรถกลับทำไมเล่า ก็ขายมันข้างๆ ร้านข้านี่แหละ” ถึงแม้จะช่วยได้เล็กน้อยแต่เขาก็อยากช่วย
“จะดีหรือเจ้าคะ” หญิงสาวกล่าวขึ้นด้วยความเกรงใจ
“มีตรงไหนที่ไม่ดี เจ้าขายมันที่นี่แหละ เดี๋ยวข้าจะให้เด็กๆ เอาโต๊ะมาให้เจ้าตั้งขายของ เครื่องชั่งก็เอาที่ร้านข้ามาใช้ก่อน”
“แต่ว่า…” นางต้องการที่จะปฏิเสธ
“ห้ามเจ้าปฏิเสธ ผู้ใหญ่หยิบยื่นน้ำใจให้เจ้าก็แค่รับไว้ ถ้าเจ้าปฏิเสธข้าคงรู้สึกไม่ดี”
“ข้าขอบคุณเถ้าแก่เจาเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือกล่าว
“ขอบคุณเถ้าแก่เจาเจ้าค่ะ” หนิงลี่อินก็กล่าวตามพี่สาว
เจาเจ๋อรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ยิ่งนัก ดูสิตัวก็แค่นี้รู้จักช่วยพี่สาว ไม่เหมือนเจ้าลูกชายหน้าเหม็นของตนสักนิด วันๆ เอาแต่เล่นซน
เมื่อโต๊ะพร้อม ผลไม้ก็นำขึ้นมาตั้งบนโต๊ะหมดแล้ว เครื่องชั่งพร้อม คนขายก็พร้อมแล้วเช่นกัน
“ไหนเจ้าเอาสิ่งใดมาขายเอามาให้ข้าดูหน่อย” เจาเจ๋อเห็นมีคนเดินขวักไขว่ก็เริ่มต้นถาม เผื่อมีใครสนใจได้มาฟังพร้อมกันกับเขา
“อาอินเสนอขายสินค้าสิ” นางหันไปกล่าวกับน้องสาวที่นางฝึกมาเองกับมือ
“ได้เลยเจ้าค่ะ” หนิงลี่อินเดินไปหยิบจานที่เต็มไปด้วยผลไม้หั่นพอดีคำที่ตั้งอยู่มาถือไว้ ฝั่งหนึ่งเป็นผิงกั่ว อีกฝั่งหนึ่งเป็นซานจาป่า
“เร่เข้ามาเจ้าค่า เร่เข้ามา วันนี้ข้ามีผลไม้มาขายเจ้าค่ะ ฝั่งนี้คือผิงกั่วส่วนฝั่งนี้คือซานจาป่าเจ้าค่ะ เก็บสดๆ จากต้นเมื่อวาน แต่ถึงจะเก็บมาเมื่อวานแต่ก็ยังสดใหม่อยู่นะเจ้าคะ ไม่เชื่อทุกท่านลองชิมได้เลยเจ้าค่ะ” เสียงเล็กๆ น่ารักๆ ดังขึ้นหน้าแผงผลไม้ที่ตั้งอยู่ข้างร้านขายสมุนไพร