ตอนที่ 1-1
ตายแล้วไปไหน…
ไป…สวรรค์
ไป…นรก
ไป…ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้วไปเกิดใหม่
ไป…ในที่ที่ชอบ ที่ชอบ
ทุกคนคิดว่าคำตอบคือข้อไหน แต่สำหรับ ‘พัชรี’ คนนี้ ตายแล้วได้เกิดใหม่ ที่ไม่ใช่ในอีก 1,000 ปี ข้างหน้า หรือ 2,000 ปี ข้างหน้า แต่เป็นยุคโบราณที่ไม่มีในหน้าประวัติศาสตร์!
พัชรีได้เกิดใหม่ในยุคโบราณ เอ๊ะหรือจะบอกว่าย้อนเวลามาดีนะ เกิดใหม่ หรือ ย้อนเวลา โอ๊ย ช่างเรื่องเกิดใหม่ หรือย้อนเวลาไว้ก่อนแล้วกัน เพราะไม่ว่าจะเกิดใหม่ หรือย้อนเวลา ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว ตอนนี้ทำได้แค่ยอมรับชะตา ที่ฟ้าลิขิต? ใช้ชีวิตใหม่ที่ได้นี้ให้ดีที่สุด
ชาติก่อนดวงซวยเดินอยู่ดีๆ ก็ถูกลูกหลงจากกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังยกพวกตีกัน โดนปังเดียว ตื่นอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว คนจะตายต่อให้เอาอะไรมาฉุดก็ตายอยู่ดี
“อาอิน เดี๋ยวพี่ใหญ่จะเข้าป่าไปหาผักป่า และเก็บฟืน เจ้าจะไปกับพี่ใหญ่หรือไม่” เด็กหญิงวัย 5 หนาว นามว่า ‘หนิงลี่อิน’ ที่ตอนนี้กำลังนั่งแกว่งขาบนเคร่หน้าบ้าน หันมาตามเสียงเรียกของพี่สาวตน
“อาอินจะไปกับพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” ไม่รอช้าเด็กสาวตัวน้อยก็กระโดดลงจากแคร่แล้ววิ่งเข้าไปในบ้านหลังน้อย ไม่นานก็ออกมาพร้อมชุดที่ดูทะมัดทะแมงขึ้นและยังมีตะกร้าสะพายหลังใบเล็กๆ ที่ท่านพ่อทำให้สะพายอยู่ข้างหลังด้วย
“ไปกัน” หญิงสาวต่างวัยเดินจูงมือกันขึ้นเขา ระหว่างทางก็พบเจอชาวบ้านอยู่บ้าง เพราะเขาลูกนี้อยู่หลังหมู่บ้าน ชาวบ้านจะพากันขึ้นมาเก็บผักป่า เก็บฟืน ล่าสัตว์ แต่พวกนางก็ไม่ได้ทักทายใคร เพราะครอบครัวของนางเพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เลยไม่ค่อยสนิทกับใครนัก
หมู่บ้านนี้ชื่อว่า ‘ซาน’ เป็นบ้านเดิมของมารดา เป็นหนึ่งในหมู่บ้านของเมือง ‘ต้าจิน’ ตั้งอยู่ทางทิศบูรพา เมืองต้าจินเป็นเมืองที่จัดว่าอุดมสมบูรณ์เมืองหนึ่งเลยทีเดียว
เหตุผลที่ต้องย้ายกลับมาที่นี่นั้น เพราะหลังจากท่านแม่ขึ้นเขาก็ได้ไปเก็บพืชมีพิษชนิดหนึ่ง ทำให้พิษเข้าสู่ร่างกาย จนร่างกายอ่อนแอ จึงได้ขอร้องท่านพ่อว่าอยากกลับบ้านเดิม มาตายที่บ้านเดิม ท่านพ่อก็ทำตามความประสงค์ของท่านแม่ โชคดีที่กลับมาแล้วบ้านเดิมและที่ดินยังอยู่ แต่โชคร้ายที่ย้ายมาได้ไม่นานท่านแม่ก็จากไป ถึงแม้ท่านพ่อจะเป็นหมอแต่ก็เป็นแค่หมอชาวบ้านเท่านั้นไหนเลยจะรักษาได้ทุกโรค บิดาที่ทำใจไม่ได้ก็ตรอมใจตายตามไป ทิ้งลูกสาวให้อยู่เพียงลำพัง 2 คน
เมื่ออยู่กันเพียง 2 คน นางที่เป็นพี่ใหญ่จึงต้องกลายมาเป็นเสาหลักของบ้าน หาเลี้ยงน้องสาวเพียงคนเดียว จึงขึ้นเขาเก็บผักป่า หาของป่า จนเป็นไข้ป่าและจากไปในที่สุด ทำให้ พัชรี ต้องมาอยู่ในร่างนี้แทน
“อาอินเหนื่อยหรือไม่”
“อาอินไม่เหนื่อนเจ้าค่ะ” เด็กน้อยที่เดินอยู่ข้างๆ หันมาตอบพี่สาวตน พร้อมด้วยรอยยิ้ม ที่ยิ้มจนตาหยีคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
“ต่อไปนี้ พี่สาวจะดูแลอาอินเอง ไม่ทำให้อาอินต้องลำบากขึ้นเขาแบบนี้อีก” ไม่ใช่แค่พูดเพื่อให้เด็กน้อยรู้สึกดี แต่นางจะทำแบบนั้นจริงๆ
“อาอินไม่ลำบากเจ้าค่ะ” เด็กน้อยยิ้มตอบด้วยความซื่อให้กับพี่สาว
“เด็กดี” หนิงลู่ซือยื่นมือไปลูบหัวน้องสาวที่ดูแล้วตัวเล็กยิ่งนัก ไม่ได้การแล้ว! ต่อไปนี้นางต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วพาน้องสาวของนางไปกินของอร่อยๆ ทำของอร่อยๆ ให้นางกิน นางจะได้มีเนื้อมีหนังมากกว่านี้
“เราไปกันเถอะ วันนี้พี่ใหญ่คิดว่าพวกเราจะมีโชคก้อนใหญ่หล่นทับแน่ๆ”
“เจ้าค่ะ เราไปกันเลย!” ว่าแล้วสองพี่น้องก็เดินไปอีกทาง เป็นทางที่ชาวบ้านไม่ค่อยมากันนัก เพราะมีสัตว์ดุร้ายอาศัยอยู่
“พี่ใหญ่”
“หืม อาอินมีอะไรเหรอ”
“ทำไมเราไม่ไปทางเดียวกับชาวบ้านเจ้าคะ”
“พี่ใหญ่ว่า ทางโน้นชาวบ้านคงเก็บผักป่าหมดแล้วแหละ เราลองไปทางนี้กันดีกว่า”
“แต่มันมีสัตว์ดุร้ายนะเจ้าค่ะ” อาอินน้อยกำมือพี่สาวแน่นเพราะกลัว
“มีพี่ใหญ่อยู่ อาอินไม่ต้องกลัวนะ พี่ใหญ่ไม่ให้ใครหรืออะไรมาทำร้ายอาอินได้” หนิงลู่ซือนั่งยองๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกับหนิงลี่อินจ้องตาเด็กน้อยและยื่นมือลูบศีรษะเพื่อให้น้องสาวมั่นใจในตัวนาง
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
เดินมานานแล้วก็ไม่มีโชคใหญ่หล่นทับเลย นอกจากผักป่าที่เก็บได้ไม่มากนัก
“พี่ใหญ่ว่าเรากลับกันเถอะ แดดแรงมากแล้ว” พระอาทิตย์อยู่ตรงกลางกบาลแบบนี้คงจะยามอู่ (11.00-12.59 น.) แล้ว
“แต่เราได้แค่ผักป่าเองนะเจ้าคะ ไหนพี่ใหญ่บอกเราจะมีโชคใหญ่หล่นทับไงเจ้าคะ” เด็กน้อยชูผักกำน้อยๆ ในมือให้หนิงลู่ซือดูแค่นั้นยังไม่พอ ยังเอียงคออย่างสงสัยให้อีกด้วย แล้วนางจะตอบยังไงละเนี่ย
“สงสัยวันนี้โชคจะไม่เข้าข้าง…” พูดไม่ทันจบประโยค หนิงลู่ซือก็เดินดุ่มๆ ไปยังเป้าหมายที่เห็นทางหางตาเมื่อครู่นี้
ถ้าคนทั่วไปเห็นคงคิดว่ามันเป็นหญ้า เนื่องจากต้นของมันเลื้อยยาวเป็นข้อๆ ขึ้นอยู่บนพื้นดิน มีใบเรียวเล็กตรงข้ามกัน ตรงกลางออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งจะมี 2-5 ดอก ใครจะมองเป็นหญ้าก็มองไป แต่ไม่ใช่กับ หนิงลู่ซือคนนี้! เพราะนี่มันคือ ‘จัวจิเช่า’ หรือ ‘หญ้าลิ้นงู’
“อาอิน มาช่วยพี่ใหญ่หน่อย” หนิงลู่ซือกวักมือเรียกน้องสาว
“ช่วยอะไรหรือเจ้าคะ” หนิงลี่อินเดินไปหาพี่สาวก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“นี่ไง เก็บไปให้หมดเลยนะ” หนิงลู่ซือชี้นิ้วไปยังหญ้าลิ้นงู และเริ่มลงมือเก็บใส่ตะกร้าของตน
“พี่ใหญ่ ท่านจะเก็บหญ้าไปทำไมเจ้าคะ” เด็กน้อยมองพี่ใหญ่ด้วยสายตาไม่เข้าใจ พี่ใหญ่ของนางจะเก็บหญ้าไปทำไม
หนิงลู่ซือเห็นน้องสาวคิ้วผูกโบว์ด้วยความสงสัยก็ได้แต่หัวเราะ
“นี่ไม่ใช่หญ้า แต่มันคือสมุนไพร ชื่อว่า ‘จัวจิเช่า’ หรือ หญ้าลิ้นงู มันมีสรรพคุณหลายอย่างเลยนะ ทั้งแก้ร้อนใน ดับพิษ ช่วยให้เลือดและลำไส้เย็น ลำไส้อักเสบ ปวดร้อน ปวดฟัน บำบัดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารต่างๆ เช่น โรคบิด ท้ออืด ท้องเฟ้อ”
หนิงลี่อินที่ได้คำตอบจากพี่ใหญ่ก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองพี่ใหญ่อย่างโง่งม เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ใหญ่บอก รู้แค่ว่ามันคือสมุนไพร
หนิงลู่ซือที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะ เหอะๆ น้องสาวนางเพิ่งอายุ 5 หนาว ถ้านางไม่เข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“สิ่งนี้เอาไปขายได้ใช่หรือไหมเจ้าคะ”
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ใหญ่จะเข้าไปขายที่ร้านขายสมุนไพรในตัวเมือง เรามาช่วยกันเก็บดีกว่า ถ้าขายได้เงินพี่ใหญ่จะซื้อขนมให้เจ้า”
“ข้าขอถังหูลู่ได้หรือไหม” เด็กน้อยเม้มปาก ทำตาปริบๆ มองพี่ใหญ่อย่างมีความหวัง
“ได้สิ พี่ใหญ่ให้ 2 ไม้เลย” และสองพี่น้องก็ช่วยกันเก็บ จัวจิเช่า สมุนไพรตัวนี้สามารถนำไปใช้ได้ทุกส่วน หนิงลูซื่อเลยเก็บไปทั้งหมด ส่วนเมล็ด นางจะเก็บไว้ปลูกเอง!
“ไหนดูสิ เหงื่อออกเต็มหน้าเลย” เก็บเสร็จทั้งสองก็มานั่งพักใต้ต้นไม้ หนิงลู่ซือยกแขนเสื้อซับเหงื่อที่ออกเต็มใบหน้าให้เด็กหญิงตัวน้อย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เมื่อกลับถึงบ้านสองพี่น้องก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน หนิงลี่อินโดนไล่ให้ไปอาบน้ำ ส่วนหนิงลู่ซือเข้าครัวทำอาหาร อาหารมือเย็นก็คงไม่พ้น ข้าวต้มที่ไม่ค่อยเห็นเม็ดข้าวกับผัดผักป่าที่เก็บได้วันนี้
บ้านที่ทั้งสองอาศัยอยู่ตอนนี้เป็นบ้านเดิมของมารดา ที่เคยอาศัยอยู่กับท่านตา ท่านยายก่อนออกเรือน มีพื้นที่เพียง 2 หมู่ ลักษณะของบ้านเป็นบ้านดินหลังเล็ก มี 2 ห้องนอน 1 ห้องครัว 1 ห้องโถงเล็กๆ มีบริเวณรอบๆ บ้าน ที่สามารถปลูกผักสวนครัวไว้กินอีก 1 หมู่กว่าๆ