ถ้านางหาเงินได้เยอะๆ นางจะปลูกบ้านหลังใหญ่ๆ ซื้อที่ดินไว้เยอะๆ ไว้ปลูกผักสวนครัว ผลไม้ และมีอีกหนึ่งอย่างที่นางเพิ่งคิดได้ก็คือ สวนสมุนไพร! นางจะทำสวนสมุนไพร อ่า แต่ตอนนี้ทำได้แค่ฝันไปก่อน
“มาแล้วเจ้าค่าา” เสียงมาแล้ว แต่ตัวยังไม่มา
“มาแล้วก็มานั่งเร็ว” นางกวักมือเรียกให้เด็กน้อยมานั่งบนแคร่หน้าบ้านเพื่อกินอาหารมื้อเย็นกัน
“เจ้าค่ะ” เด็กน้อยพยายามจะปืนขึ้นไปนั่งบนแคร่ แต่ก็ยังปืนไม่ได้สักที จนหนิงลู่ซือต้องอุ้มขึ้นมา น้องของนางตัวเบาไปหรือไม่ น้องของนางตัวแค่นี้ทำให้นางไม่สบายใจเลยจริงๆ
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่” เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบถ้วยข้าวต้มที่มองไม่เห็นเม็ดข้าว หยิบตะเกียบ เตรียมพร้อมจะคีบกับข้าวที่มีเพียงแค่อย่างเดียว รอพี่ใหญ่คีบผัดผักเมื่อไหร่หนิงลี่อินก็จะได้คีบทันที
เห็นท่าทางเตรียมพร้อมของน้องสาวแล้ว หนิงลู่ซือก็รีบคีบผัดผักเข้าปาก
เด็กน้อยเห็นพี่ใหญ่ของตนคีบผัดผักใส่ปากแล้ว นางก็ไม่รอช้ารีบคีบผัดผักเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
หนิงลู่ซือไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแค่ผัดผักแค่นี้หนิงลี่อินถึงกินอย่างกับว่ามันอร่อยนักหนา
“เดี๋ยวอาอินล้างจานเองนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรพี่ล้างเอง อาอินไปล้างหน้า ล้างตา แล้วเข้านอนเถอะ”
“ไม่เอา อาอินจะล้าง” เด็กน้อยเริ่มงอแง มันมีด้วยหรือคนที่งอแงจะล้างจาน
“งั้นก็ไปล้างด้วยกันจะได้เสร็จเร็วขึ้นดีไหม”
“ดีเจ้าค่ะ” เด็กน้อยยิ้มแป้น ถือถ้วยเดินไปข้างหลังบ้าน ถือว่าโชคดีทีเดียวที่บ้านหลังนี้ มีลำธารไหลอยู่ด้านหลังบ้าน ทำให้ไม่ต้องไปตักน้ำจากที่ไกลๆ มาไว้ใช้ในบ้าน
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ทั้งคู่ก็เดินเข้าห้องนอนถึงแม้จะมีห้องนอน 2 ห้อง แต่สองพี่น้องก็เลือกที่จะนอนด้วยกัน โดยเด็กน้อยหนิงลี่อินนอนด้านไหน และหนิงลู่ซือนอนด้านนอก
ยามอิ๋น (03.00-04.59 น.)
หนิงลู่ซือตื่นขึ้นมาในยามอิ๋น ชาติก่อนนางไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้หรอก ปกติเวลานี้คือเวลาทำงานของนาง ยิ่งถ้าวันไหนได้หยุดตื่นอีกทีก็เข้าช่วงบ่ายแล้ว แต่ตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ในร่างนี้ ตื่นเวลานี้ถือเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ปกติถ้าตื่นแล้วก็ต้องทำอาหาร แต่วันนี้นางจะพาอาอินน้อยเข้าเมืองไปขายหญ้าลิ้นงูที่เก็บได้เมื่อวาน จากนั้นจะพาไปหาของอร่อยๆ กิน ตอนนี้นางก็เลยมาแผ้วถางหญ้ารอบๆ บ้าน เพื่อจะปลูกผัก ผลไม้ และสมุนไพรอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่พื้นที่ที่เหลือจากปลูกบ้านแล้วเหลือประมาณ 1 หมู่กว่า พื้นที่เท่านี้คงปลูกอะไรได้ไม่เยอะ นางจึงตั้งใจจะปลูกผักก่อน เข้าเมืองวันนี้จะไปดูร้านขายเมล็ดผักสักหน่อยว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
เมื่อแผ้วถางหญ้าที่ขึ้นรอบๆ บ้านเสร็จ ขั้นตอนต่อไปก็คือการยกร่องดิน และตากดินไว้เป็นเวลา 7 วัน เมื่อครบกำหนด นางจะไปหาซื้อมูลสัตว์จากชาวบ้านมาผสมกับดินและขุดเป็นหลุมเล็กๆ เพื่อหยอดเมล็ดผัก ถึงตอนนั้นค่อยหยอดเมล็ดผักที่จะปลูกลงหลุม
กว่าจะเสร็จก็ปลายยามเหม่า (05.00-06.59 น.) เสร็จในที่นี้คือเสร็จแค่ฝั่งเดียว แต่อีกฝั่งหนึ่งยังไม่เสร็จ ไว้ค่อยทำต่อก็แล้วกัน
หนิงลี่อินตื่นนอนก็จัดการแต่งตัวพร้อมเข้าไปในเมือง เมื่อทั้งสองเตรียมพร้อมแล้วก็สะพายตะกร้าขึ้นหลัง ปิดประตูบ้าน ออกเดินทางเข้าเมือง
ทั้งสองพี่น้องเลือกที่จะเดินเท้าเข้าเมือง ถ้าเดินจะใช้เวลาประมาณ 2 เค่อ แต่ถ้านั่งเกวียนจะใช้เวลาไม่ถึง 1 เค่อ ซึ่งหมู่บ้านนางก็มีชาวบ้านที่มีเกวียนรับจ้างอยู่เช่นกัน แต่จะต้องเสียเงินคนละ 5 อีแปะ
เมื่อมาถึงประตูเข้าเมืองต้องต่อแถวจ่ายค่าเข้าคนละ 2 อีแปะ มีชาวบ้านหลายคนจากหลายหมู่บ้านเข้าเมืองเช่นเดียวกับพวกนาง บางคนมาขายของ บางคนมาซื้อของ บางคนมาขายสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ เมื่อแถวขยับจนมาถึงหนิงลู่ซือ นางก็หยิบเงิน 4 อีแปะ มาจ่ายให้กับทหารเฝ้าประตู
เมื่อจ่ายเงินค่าเข้าเมืองแล้วก็จูงมือหนิงลี่อินเข้าไปในเมือง จุดมุ่งหมายแรกวันนี้คือร้านขายยา
“อาอินหิวหรือไม่ เดี๋ยวขายสมุนไพรเสร็จพี่ใหญ่จะพาเจ้าไปกินบะหมี่” หันมองเด็กน้อยที่จับมือนางอยู่ด้านข้าง
“เจ้าค่ะ” เดินเข้ามาในตรอกแห่งหนึ่ง ตรอกแห่งนี้มีร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายยา โรงหมอ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายเครื่องประดับ โรงเตี๊ยม ร้านขายสมุนไพรที่หนิงลู่ซือเลือก เป็นร้านขนาดกลางที่ตั้งอยู่กลางตรอก
“ร้านเฮงเฮงยินดีต้อนรับขอรับ” ลูกจ้างร้านเห็นมีลูกค้าเข้ามาก็ออกมากล่าวต้อนรับ
“สวัสดีเจ้าค่ะ ข้ามีสมุนไพรมาขาย ไม่ทราบว่าที่นี่รับซื้อหรือไม่เจ้าคะ”
“รับขอรับ เชิญแม่นางเข้าไปรอในห้องรับรองสักครู่นะขอรับ” หนิงลู่ซือกับหนิงลี่อินเดินตามเสี่ยวเอ้อร์เข้าไปในห้องที่ใช้รับรองแขกที่มาติดต่อ
ผ่านไปไม่นาน เสี่ยวเอ้อร์ก็กลับมาพร้อมชายคนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 40 ปลายๆ
“ข้าเจาเจ๋อ เป็นเถ้าแก่ร้านนี้ เสี่ยวเอ้อร์บอกว่าเจ้าเอาสมุนไพรมาขายรึ” นั่งลงเรียบร้อยแล้วชายอาวุโสก็ถามเข้าประเด็น
“คารวะท่านเถ้าแก่เจาเจ้าค่ะ ข้าน้อยชื่อหนิงลู่ซือ ส่วนนี้น้องสาวข้าน้อยชื่อหนิงลี่อินเจ้าค่ะ” ผายมือไปทางน้องสาวที่อยู่ด้านข้าง เด็กน้อยก็รู้ความค้อมตัวคาราวะผู้อาวุโสพร้อมกับกล่าวคำว่า ‘คารวะท่านเถ้าแก่เจาเจ้าค่ะ’
“ไม่ต้องมากพิธี ไหนๆ เอาสมุนไพรของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อยสิ”
“เจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือหยิบตะกร้าขึ้นมาตั้งบนโต๊ะมีทั้งหมด 2 ตะกร้า 1 ตะกร้าใหญ่ของนาง 1 ตะกร้าเล็กของน้องสาว
เจาเจ๋อเมื่อเห็นว่าในตะกร้าคือสมุนไพรชนิดใดก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากนัก เนื่องจากมันไม่ได้หายากแต่เพราะชาวบ้านไม่รู้ว่ามันคือสมุนไพรจึงเข้าใจว่าคือหญ้า จึงไม่ค่อยมีใครนำมาขายบ่อยนัก
“สมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้หายากแต่ก็ไม่ได้มีคนนำมาขายมากนัก เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่คิดว่ามันคือหญ้าจึงไม่ได้สนใจ”
“เจ้าค่ะ ด้วยลักษณะของจัวจิเช่าไม่แปลกที่คนทั่วไปจะเข้าใจว่ามันคือหญ้าเจ้าค่ะ”
“ใช่ ข้าให้เจ้าเหลี่ยงละ 1 ตำลึง เจ้าพอใจหรือไหม” จะว่าน้อยก็น้อย จะว่ามากก็มาก เพราะอย่างที่เถ้าแก่เจาบอก สมุนไพรนี้หาไม่ยาก
“พอใจเจ้าค่ะ” มันมากกว่าที่คิดด้วยซ้ำ
“ได้ เดี๋ยวข้าจะให้เด็กเอาไปชั่ง” เด็กของร้านนำตะกร้าไปชั่ง ไม่นานก็กลับเข้ามาแจ้งน้ำหนักของจัวจิเช่า
“ทั้งหมด 20 เหลี่ยงขอรับ”
“20 เหลี่ยง เหลี่ยงละ 1 ตำลึง เป็นเงินทั้งสิ้น 20 ตำลึง เจ้าจะรับเป็นตั๋วแลกเงินหรือเหรียญตำลึง”
“ข้าขอรับเป็นเหรียญตำลึงทั้งหมดเจ้าค่ะ” การเริ่มต้นวันนี้ถือว่าไม่เลวเลย ขายสมุนไพรครั้งแรกได้ตั้ง 20 ตำลึงแหนะ
“ถ้าเจ้ามีสมุนไพรอีก ก็มาขายที่ร้านข้าได้นะ ขอให้ราคายุติธรรมแน่นอน” เถ้าแก่เจายื่นเงินให้
“ได้เลยเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือยื่นมือไปรับเงิน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางนำเงินเก็บใส่อกเสื้อ อ่า ความรู้สึกของการมีเงินมันดีแบบนี้นี่เอง
“เอ้านี้ขนม ข้าให้นังหนูตัวเล็ก” หนิงลี่อินหันมามองพี่ใหญ่ของตน เหมือนต้องการดูว่าพี่สาวจะอนุญาตหรือไม่ เมื่อหนิงลู่ซือพนักหน้าอนุญาต เด็กน้อยก็ค้อมตัวขอบคุณและยื่นมือไปรับขนมจากเจ้าของร้านขายสมุนไพร
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เด็กน้อยกล่าวขอบคุณอย่างรู้ความ นางกอดกล่องขนมไม่ปล่อย ไม่แม้จะจับมือพี่สาวเหมือนขามาเลยสักนิด
“อ่า สงสัยคนแถวนี้จะเห็นขนมสำคัญกว่าพี่ใหญ่เสียแล้ว”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้าไม่เคยได้กินขนมแบบนี้ ข้ากลัวมันหล่นเจ้าค่ะ เลยต้องกอดไว้”
“แน่รึ”
“แน่สิเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ดูนี้ พอข้ากอดขนมด้วยมือ 2 ข้าง ข้าก็ไม่เหลือมือจะจับพี่ใหญ่เลยเจ้าค่ะ “เด็กน้อยอธิบายและทำท่าทางประกอบ เพื่อให้พี่ใหญ่เชื่อตน
“พี่ใหญ่เชื่อเจ้าแล้วก็ได้ เราไปกินบะหมี่กันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
แต่ก่อนที่จะไปกินบะหมี่ สองพี่น้องก็เดินไปยังโรงรับฝากเงิน โดยหนิงลู่ซือได้แบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นของนางจำนวน 5 ตำลึง ส่วนที่ 2 เป็นของหนิงลี่อิน จำนวน 5 ตำลึง เมื่อฝากเสร็จทางโรงรับฝากเงินได้มอบแผ่นป้ายมาให้นาง 2 แผ่น แผ่นหนึ่งเป็นชื่อหนิงลู่ซือ อีกแผ่นเป็นชื่อหนิงลี่อิน
“อาอิน อันนี้เป็นแผ่นป้ายโรงรับฝากเงินของเจ้า ถ้าเจ้าอยากได้อะไรก็มาถอนเงินที่โรงรับฝากนี้ โดนเอาแผ่นป้ายนี้มายื่นเข้าใจหรือไม่”
ตอนนี้ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในร้านบะหมี่ที่ไม่ไกลจากโรงรับฝากเงินมากนัก เด็กน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอียงคอมองพี่สาวตนอย่างสงสัย ทำไมพี่ใหญ่ต้องฝากเงินให้นางด้วย หนิงลู่ซือเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นโยกศีรษะของน้องสาวตัวน้อยไปมาด้วยความเอ็นดู
“แต่ตอนนี้พี่ใหญ่จะเก็บไว้ให้เจ้าก่อน เมื่อเจ้าถึงวัยปักปิ่นพี่ใหญ่จะมอบแผ่นป้ายนี้ให้เจ้า”
“พี่ใหญ่ฝากให้อาอินทำไมเจ้าคะ อาอินอยู่กับพี่ใหญ่ ไม่ต้องใช้เงิน”
“นี่เจ้าคิดจะเกาะพี่ใหญ่ไปตลอดเลยรึไง” หนิงลู่ซือถามน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
“อาอินฟังพี่ใหญ่นะ เมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าต้องออกเรือน เจ้าไม่สามารถอยู่กับพี่ใหญ่ได้ตลอดหรอกนะ เงินนี้พี่ใหญ่จะเก็บไว้ให้เจ้า ทุกครั้งที่เราหาเงินมาได้ พี่ใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ของพี่ใหญ่ 1 ส่วน ของเจ้า 1 ส่วน แน่นอนว่าส่วนของพี่ใหญ่จะต้องมากกว่าเจ้า ฮ่าฮ่า” หนิงลี่อินได้แต่มองพี่สาวตาปริบๆ
“และระหว่างรอจนเจ้าถึงวัยปักปิ่น ถ้าเจ้าอยากได้อะไรก็มาบอกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะให้ป้ายนี้กับเจ้า เจ้าสามารถนำมาถอนเงินที่โรงรับฝากเงินได้เลย” ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่การเตรียมพร้อมมันย่อมดีที่สุด วันข้างหน้านางจะไม่มีวันให้อาอินต้องลำบาก ตอนนี้อาอินอายุ 5 หนาว อีก 10 ปี อาอินจะถึงวัยปักปิ่น อืม ตอนนั้นน้องสาวตัวน้อยของนางก็คงกลายเป็นเศรษฐีนีตัวน้อยๆ แล้ว