ตอนที่ 2 อยู่คนเดียวหลังแต่งงาน
ณัฐวดีเคยคิดว่าชีวิตหลังแต่งงานของเธอคงต้องบันเทิงแน่ ๆ ถึงขนาดที่เธอเตรียมปรึกษามุกดาหมอจิตเวชเพื่อนสนิทของเธอ เพื่อเข้าไปรับการบำบัดจากสามีโรคจิตของเธอเสียอีก
กลายเป็นว่าเธอคิดมากไปเอง ตั้งแต่วันที่เขาและผู้หญิงของเขาประกาศตัวต่อเธอในห้องหอคืนนั้น เธอก็ไม่ได้เห็นหน้าสามีของเธอเลย
ซึ่งนั่นก็ดี...ดีมากจริง ๆ ไม่ต้องเจอ ไม่ต้องเห็นหน้ากัน ต่างคนต่างอยู่ก็สบายใจดี
“อื้อหือ...หอมจังเลยค่ะคุณหนูนัด ทำไมตื่นแต่เช้าเลยล่ะคะ จริง ๆ แล้วคุณกุลสั่งให้คุณพักผ่อนได้เต็มที่ไม่จำเป็นต้องทำอาหารเผื่อเธอ เพราะอย่างไรบ้านใหญ่ก็มีแม่ครัวอยู่แล้ว อีกอย่างนะคะอาหารพวกนี้ให้ป้าทำเถอะค่ะ คุณหนูของป้าต้องวุ่นวายเรื่องเปิดคลินิกอีกไม่ใช่หรือ”หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้กับป้าสีนวลแม่บ้านที่ตามเธอมาจากบ้านเดิม ก่อนจะหันกลับไปผัดอาหารในกระทะต่อ
“หนูนัดจะใส่บาตรให้คุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะป้านวล แต่ไหน ๆ ก็ทำอาหารแล้วก็ทำเผื่อบ้านใหญ่ไปด้วยเลยไม่ได้ยุ่งยากอะไร”น้ำเสียงห่วงใยของป้าสีนวลทำให้เจ้าสาวหมาด ๆ สบายใจเป็นอย่างมาก
แต่การพูดคุยของแม่บ้านวัยกลางคนและเจ้านายสาวถูกขัดจังหวะลงด้วยเสียงวางกระแทกโถข้าวที่โต๊ะกลางห้อง สีนิลหลานสาวป้าสีนวลนั่งลงบนเก้าอี้ พลางบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ
เธอไม่ชอบสามีของเจ้านายเลย คุณหนูนัดแสนดีขนาดนี้ ทำไมต้องแต่งให้กับคนนิสัยแย่ ๆ แบบหมอนนท์คนนั้นด้วย หล่อแล้วไง รวยแล้วไง คุณหนูของเธอก็ทั้งสวย ทั้งเก่งเช่นกัน ไม่เชื่อหรอกว่าจะหาคนที่ดีกว่าหมอนนท์ไม่ได้ อีกอย่างถ้าให้เลือกสีนิลเลือกเพื่อนสนิทของคุณหนูดีกว่า คุณคนนั้นน่ะทั้งหน้าตาดีทั้งนิสัยดี
“เมื่อวานตอนนิลกลับมาจากโรงเรียน คุณกุลเรียกนิลเข้าไปถามเรื่องคุณนนท์อีกแล้ว เฮ้อ!!!...ขนาดคนเป็นแม่ยังไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองหายไปไหน แล้วภรรยาที่เพิ่งแต่งอย่างคุณหนูนัดจะรู้ได้อย่างไร คุณนนท์ก็ช่างกระไรแต่งงานได้แค่สิบสามวันก็ออกลายซะแล้ว ไม่รู้เลยว่าต่อไปจะทำให้คุณหนูนัดของนิลต้องช้ำใจแค่ไหน”สีนวลเบิกตาขึ้นวิ่งไปเกาะประตูครัวมองออกไปข้างนอก ครั้นไม่เห็นใครก็วิ่งกลับเข้ามา ยกมือขึ้นหยิกหลานสาวเต็มแรง
“นังสีนิลปากแกนี่นะไม่พูดก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอก จะไปไหนก็ไปอย่ามาเกะกะแถวนี้”สีนิลวิ่งหนีไปหลบด้านข้างของเจ้านายสาว พลางร้องโอดโอย
ณัฐวดีส่ายหน้าไปมา เธอปิดเตาแก๊สและดึงมือสีนิลไปนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะสั่งสอนให้เด็กสาวเข้าใจสถานะของพวกเธอทั้งสาม
“ป้านวลอย่าไปว่านิลเลยค่ะ เธอยังเด็กพูดอะไรไม่ทันคิดไปบ้าง ค่อย ๆ บอกสอนกันไป แต่นิลจ๊ะรู้ไหมว่า หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง พวกเรามาอาศัยบ้านเขาอยู่ จะพูดจะทำอะไรต้องพึงระวังเอาไว้เสมอ ถ้าเราทำผิดฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”
ดีเท่าไรแล้วที่คุณแม่กุลนิดา มารดาของรัชชานนท์อนุญาตให้เธอพาป้าสีนวลกับสีนิลแม่บ้านคนเก่าที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กตามมาอยู่ที่นี่ด้วย
สีนิลเองก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกับเธอ พ่อของสีนิลประสบอุบัติเหตุไปพร้อมกับคุณพ่อของเธอ
หลังจากที่คุณพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุ แม่เธอที่ทำธุรกิจไม่เป็นก็หลงกลเพื่อนที่เคยสนิท เซ็นค้ำประกันให้กับเพื่อน จนทำให้ครอบครัวเธอล้มละลาย เป็นหนี้หลายร้อยล้านจึงจบชีวิตตนเองทิ้งเธอให้อยู่กับแม่บ้านตามยถากรรม
ตอนนั้นหญิงสาวยังเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์อยู่เลย กำลังจะตัดสินใจเลิกเรียน กุลนิดาก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ทั้งปลดหนี้หลายร้อยล้านและส่งเธอไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศ จบออกมาก็เปิดคลินิกให้
ทว่าข้อเรียกร้องของกุลนิดาก็คือ ขอให้เธอแต่งงานกับลูกชายคนเดียวอย่างรัชชานนท์เป็นข้อแลกเปลี่ยน
ในเมื่อรับความช่วยเหลือจากครอบครัวโรจนเมธีกุลมากมายขนาดนั้น จะให้ปฏิเสธได้อย่างไร ต่อให้ไม่รักก็จำเป็นต้องแต่ง ทว่านอกเหนือจากบุญคุณล้นหัวแล้ว กุลนิดาก็ยังดีกับณัฐวดีด้วยใจจริง เวลาที่เธอเจ็บไข้ไม่สบายแม่กุลก็มาเฝ้าไข้เธอ ดูแลเธอเป็นอย่างดี นั่นจึงทำให้เธอยอมรับคำขออย่างเต็มใจส่วนแม่ของสีนิลก็ทิ้งลูกสาวไปตั้งแต่แรกเกิดแล้ว เรียกได้ว่าทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน จึงได้เห็นใจกันมากเป็นพิเศษ
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ”สีนิลเป็นเพียงแค่เด็กสาว
ม.ปลายคนหนึ่งเท่านั้น ความคิดอาจจะยังไม่โต แต่เนื้อแท้แล้วก็ไม่ใช่คนร้ายกาจอะไร
“เข้าใจก็ดีไปช่วยป้านวลจัดอาหาร เดี๋ยวไม่ทันพระบิณฑบาตหรอก”สีนิลรีบไปตักกับข้าวใส่ถุงและตักข้าวสวยใส่โถ เสร็จแล้วก็ออกไปที่หน้าประตูบ้าน
รอไม่นานพระก็เดินมารับบาตร ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่บ้านโรจนเมธีกุล เธอก็ตื่นมาใส่บาตรทุกวัน รับพรจากหลวงพ่อเสร็จแล้ว ก็ให้ป้านวลยกกับข้าวขึ้นไปที่บ้านหลังใหญ่
ถึงแม้เธอจะแต่งเข้ามาแล้ว แต่บ้านที่เธออยู่ก็เป็นบ้านที่แยกตัวออกมาจากบ้านพ่อกับแม่ แต่ก็อยู่ในบริเวณรั้วเดียวกัน เห็นบอกว่าสามีของเธอชอบความเป็นส่วนตัว จึงแยกออกมาอยู่คนเดียว
แต่เธอคิดว่าอีตานั่นไม่ได้ชอบความเป็นส่วนตัวอะไรหรอก เพียงแต่หากอยู่กับพ่อแม่จะทำชั่วไม่ได้เสียมากกว่า
หญิงสาวหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในบ้าน และเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ปล่อยให้แม่บ้านทั้งสองจัดการเก็บห้องครัวไป
“อ้าวคุณนนท์อยู่บ้านหรือคะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไรป้าไม่ทันเห็น”
รัชชานนท์ปรายตามองแม่บ้านที่หน้าตาไม่คุ้นเคย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น หรือคุณแม่ส่งคนมาให้เขาอีกสีนวลเห็นว่าเจ้าของบ้านไม่อยากพูดกับเธอ จึงไม่กล้าถามซ้ำอีก
“คุณนนท์จะรับอาหารเช้าไหมคะ ป้าจะไปตั้งโต๊ะให้”เห็นเหมือนชุดที่คุณเขาใส่เป็นชุดทำงาน อีกเดี๋ยวน่าจะออกไปโรงพยาบาลจึงคิดว่า เจ้านายหนุ่มน่าจะรับอาหารเช้าก่อน และเป็นความเคยชินที่สีนวลจะต้องทำให้กับคุณหนูประจำ
แม่บ้านวัยกลางคนรู้ว่าสามีของคุณหนูเธอเป็นคุณหมอศัลยกรรมประจำอยู่โรงพยาบาลยศสรัลซึ่งก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่คุณหนูทำงาน
แต่ทั้ง ๆ ที่บ้านโรจนเมธีกุลเป็นนักการเมืองมาหลายรุ่น แต่ลูกชายคนเดียวกลับหันไปเอาดีทางด้านแพทย์ ผ่าเหล่าผ่ากอจริง ๆ
“อืม ไปตั้งโต๊ะเถอะ”
อาหารหน้าตาน่ากินถูกจัดวางบนโต๊ะอาหาร แค่เพียงได้กลิ่นท้องของหมอหนุ่มก็ส่งเสียงประท้วงขึ้นมาแล้ว
ตั้งแต่หลังแต่งงานเขาก็โทรตามเพื่อนไปดื่มด้วยทุกวันแทบจะไม่รู้จักแล้วว่าอาหารหน้าตาเป็นอย่างไรที่ผ่านมามีแต่น้ำสีอำพันที่กรอกลงท้อง หากไม่ถูกคนเป็นแม่โทรไปด่ามีหรือเขาจะกลับมา ทว่าทันทีที่คนตัวโตตักอาหารเข้าปาก เขาก็ต้องพยักหน้าด้วยความพอใจ
“เธอเป็นแม่ครัวที่คุณแม่รับเข้ามาใหม่เหรอ ทำอาหารอร่อยใช้ได้เลย ดี ๆ เย็นนี้ทำปลาช่อนลุยสวนกับแกงพะแนงเนื้อสิฉันชอบ”
“ได้ค่ะ ป้าจะบอกคุณหนูนัดให้นะคะ”
แกร๊ง!!!...รัชชานนท์วางช้อนกระแทกจานข้าว ตวัดสายตามองสีนวลด้วยความไม่พอใจคนกำลังกินข้าวอร่อย ๆ มาพูดถึงยัยหนูผีให้เสียอารมณ์ทำไมกัน
สีนวลสะดุ้งตกใจใบหน้าพลันเผือดสี รีบก้มหน้าลงเนื้อตัวสั่นเทา เกรงว่าหากเจ้าของบ้านไม่พอใจ เธออาจจะถูกไล่ออกไป แล้วจะไม่มีคนดูแลคุณหนู
“บอกทำไม ฉันบอกให้เธอทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไป”เสียงเข้มต่อว่าออกมา ความจริงเขาก็รู้ดีว่าไม่ควรใส่อารมณ์กับแม่บ้านคนใหม่ ทว่าหากไม่แสดงอำนาจให้เห็นเสียบ้าง วันข้างหน้าคนพวกนี้ไม่หลาบจำ เจ้านายของบ้านหลังนี้คือเขา ไม่ใช่ยัยหนูผี เขาสั่งให้ทำก็ต้องทำ ต้องไปรายงานยัยนั่นทำไม ผู้หญิงหิวเงินเช่นนั้นไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น
“เอ่อ...ไม่ใช่ป้าทำไม่ได้ แต่ถ้าคุณนนท์อยากกินอาหารรสชาตินี้ ก็ต้องเป็นคุณหนูนัดนั่นแหละค่ะ เพราะอาหารพวกนี้เธอเป็นคนทำไม่ใช่ป้า”มือที่กำลังตักข้าวเข้าปากพลันชะงักค้าง ครั้นเห็นแม่บ้านมองมา เขาก็ยัดข้าวในช้อนเข้าปาก อีกมือก็หยิบแก้วมายกดื่ม
“ก็งั้น ๆ คงเพราะฉันหิวถึงได้คิดว่าอร่อย ยกไปเก็บเถอะ ทั้งเค็มทั้งมันไม่รู้หรือไงว่ากินเค็มมาก ๆ มันจะเป็นโรคไต หรือวางแผนชั่ว ๆ กับฉัน”ร่างสูงรีบลุกขึ้นเหมือนกับว่าโต๊ะอาหารเป็นกองไฟที่หากนั่งนานกว่านี้สักนิด ตัวเขาก็คงจะถูกเผาไหม้ ต่างจากเมื่อสักครู่ ที่ตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
สีนวลมองตามร่างสูงออกไป พลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ มองไปยังชั้นสองของบ้าน หากคุณหนูของเธอได้ยินเข้าไม่รู้จะเสียใจแค่ไหน หญิงวัยกลางคนถอนหายใจพลางเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย ก่อนที่คุณหนูจะลงมาเห็น
************************