ตอนที่ไม่มีชื่อตอนที่ 3 ไปรับเมีย

1891 คำ
ตอนที่ 3 ไปรับเมีย “หนูนัดจะออกไปไหนคะลูก”ได้ยินเสียงเรียกทักจากแม่สามี ณัฐวดีก็รีบเดินเข้าไปหาเสียก่อน กุลนิดาพยักหน้าให้ลูกสะใภ้นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม “นัดจะไปดูที่คลินิกหน่อยน่ะค่ะ”ณัฐวดีเป็นทันตแพทย์ เวลาเข้างานเธอก็เหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป ทำงานเวลา 8.30-16.30 น. หยุดเสาร์อาทิตย์ นอกเหนือจากเวลาเหล่านี้เธอก็ว่างเป็นอย่างมาก แต่ก็คิดเอาไว้แล้วว่า หากคลินิกไปได้ดี วันข้างหน้าเธออาจจะลาออกจากโรงพยาบาลและมาทำคลินิกเต็มตัว แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตเธอเองก็กำหนดไม่ได้ อยากรีบทำงานจะได้แบ่งเงินคืนให้กับแม่กุลไปบ้าง “อืม...ก่อสร้างไปถึงไหนแล้วล่ะลูก ใกล้จะตกแต่งภายในได้หรือยัง” “ใกล้แล้วค่ะ ตอนนี้หนูนัดสั่งให้พี่ช่างทำตู้กระจกติดผนัง จากนี้ก็จะเป็นการตกแต่งภายในแล้วค่ะ คุณแม่จะไปดูด้วยกันไหมคะ”ถึงอย่างไรคุณแม่สามีเธอคนนี้ก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของคลินิก ความจริงแล้วคุณแม่ตั้งใจจะยกให้เธอคนเดียว แต่เธอไม่สบายใจที่จะรับเอาไว้ทั้งหมด จดทะเบียนเป็นชื่อเธอก็จริง แต่เงินทุกบาทก็เป็นของกุลนิดา รายได้ทั้งหมดย่อมต้องเอามาแบ่งคนละครึ่ง แน่นอนว่าต้องหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด “ไม่ดีกว่าค่ะ วันนี้แม่มีนัดกับภริยาท่านวรวุฒิ ปีนี้เห็นว่าท่านจะลงเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯน่ะ คุณพ่อก็เลยให้แม่ออกไปพบปะภริยาของคนในพรรคบ้าง เดี๋ยวเอาไว้หนูนัดว่างก็ต้องไปกับแม่บ้างนะคะ” “ได้เลยค่ะ...อืม ใกล้จะเลือกตั้งอีกรอบแล้วสิเนอะ” “ใช่ค่ะ...แม่เบื่อมากเลย ถึงฤดูกาลเลือกตั้งทีไร แม่จะวิ่งหัวหมุนทุกที ตานนท์ก็ไม่เคยคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วย หนูนัดคิดดูนะ แม่จะต้องโฆษณาพรรคแบบที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจโฆษณา หาเสียงแบบที่เหมือนไม่ตั้งใจหา ปวดหัวไหมล่ะ นี่แม่ยังคิดไม่ออกเลยว่าปีนี้จะทำอะไร ปีที่แล้วจัดทริปบริจาคเสื้อกันหนาวให้กับเด็ก ๆ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ไปแล้ว” “หรือปีนี้พวกเราจะจัดงานประมูลขึ้นมา รายได้ทั้งหมดก็เอามาซื้ออุปกรณ์การแพทย์ และเดี๋ยวเดือนหน้าวันเปิดคลินิก หนูนัดคิดว่าพวกเราจะเปิดการกุศลก่อน โดยใช้ชื่อพรรคของคุณพ่อเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้ทั้งหมด ถึงอย่างไรคนก็รู้กันดีว่าหนูนัดเป็นลูกสะใภ้ของโรจนเมธีกุล เราก็ถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์การเปิดคลินิกแล้ว ยังถือโอกาสโฆษณาพรรคไปในตัว” กุลนิดาเบิกตาขึ้น นั่นน่ะสิอย่างไรวันนั้นก็ต้องจัดงานเปิดคลินิกทั้งยังเชิญนักข่าวมาทำข่าว แล้วทำไมไม่ฉวยโอกาสดี ๆ แบบนี้ไว้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ได้ชื่อเสียงง่าย ๆ แบบนี้มีหรือที่จะไม่ตกลง หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างพลางดึงมือลูกสะใภ้ที่จับจองเอาไว้ตั้งแต่เด็กมากุมเอาไว้ “โชคดีของพี่นนท์ที่ได้ภรรยาดี ๆ แบบหนูนัดวันข้างหน้าแม่ก็ตายตาหลับแล้ว แต่ก่อนตายขอหลานให้แม่หลาย ๆ คนหน่อยนะ”รอยยิ้มบนใบหน้าพลันเหยเกขึ้น เกรงว่าจะไม่ใช่โชคดี แต่เป็นโชคร้ายมากกว่าแต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอยู่ดี “คุณแม่ยังสาวและสวยอยู่เลย อย่าพูดเรื่องตายได้ไหมคะ หนูนัดไม่มีพ่อกับแม่แล้ว ไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วค่ะ” กุลนิดายกมือขึ้นลูบผมลูกสะใภ้ สงสารจับใจ เธอสูดลมหายใจเข้า และเปลี่ยนไปพูดเรื่องลูกชายตัวดีแทน “เมื่อเช้าแม่เห็นรถตานนท์ขับออกไป เมื่อคืนพี่เขากลับมานอนบ้านแล้วเหรอคะเขาบอกหรือเปล่าคะว่าไปนอนที่ไหนมา” “เอ่อ...หนูนัดไม่ทราบเลยค่ะ สงสัยหมอนนท์จะนอนอีกห้อง เมื่อคืนหนูนัดนอนเร็วมากค่ะคุณแม่ แต่ว่าที่โรง’บาลมีห้องพักแพทย์ด้วยนะคะ เขาอาจจะค้างที่นั่น”กุลนิดาเม้มปากมองลูกสะใภ้ที่ใบหน้าไม่สดใสเท่าที่ควร ก็พลันหน่วงในใจ นึกถึงสมัยที่เธอกับสามีแต่งงานกันใหม่ ๆ พวกเธอก็ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรกเหมือนกัน เป็นผู้ใหญ่ที่จัดการเรื่องแต่งงานให้กับกุลนิดา ทว่าตอนนั้นที่แต่งกันแล้ว คุณรัชพงศ์สามีของเธอก็เอาอกเอาใจ ทั้งยังทำตัวติดกับเธอตลอดเวลา แล้วทำไมพอมาถึงลูกชายถึงได้เป็นแบบนี้ หรือว่าเธอจะคิดผิด แต่ผู้หญิงดี ๆ อย่างหนูนัดให้ปล่อยมือไปก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ “พี่นนท์คงเห็นว่าหนูนัดนอนหลับ จึงไม่อยากรบกวนมั้งคะ อย่าคิดมากเลยนะลูก” “ค่ะ หนูนัดเข้าใจคุณแม่ไม่ต้องกังวล หมอนนท์ก็ไม่ได้ทำตัวไม่ดีกับหนูนัด พวกเรายังไม่คุ้นเคยกัน ต้องใช้เวลาหน่อยค่ะ”หญิงสาวรับปากทั้ง ๆ ที่รู้ดีแก่ใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรบกวน แต่เขารังเกียจต่างหากล่ะ แต่แล้วอย่างไร เธอไม่สนใจหรอก อีกหน่อยก็ต่างคนต่างไปอยู่ดี ณัฐวดีนั่งคุยกับแม่สามีอีกครู่ใหญ่ก็ขอตัวออกไปข้างนอก หญิงสาวไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง กุลนิดาจึงสั่งให้คนขับรถที่บ้านไปส่ง และไม่ต้องรอรับให้กลับมาได้เลย เรื่องรับกลับบ้านให้เป็นหน้าที่ของคนเป็นสามีเถอะ กริ๊ง!!!...รัชชานนท์ล้วงมือหยิบมือถือมาจากกระเป๋ากางเกง ครั้นเห็นเบอร์โทรเข้าก็รีบกดรับสาย ไม่เจอหน้ากันหลายวันคงจะคิดถึงแล้ว รู้หรือยังผลของการบังคับเขาเป็นอย่างไร “ว่าไงครับ คิดถึงนนท์แล้วเหรอ”น้อยครั้งนักที่จะเห็นว่าหมอศัลยกรรมมือทองออดอ้อนใครสักคน หมออาร์มเพื่อนในแผนกถึงกับยักคิ้วหลิ่วตาหยอกล้อ “อิจฉาคนมีเมียโว้ย เพิ่งออกจากบ้านไม่เท่าไร เมียก็โทรตามละ” “เดี๋ยวกูถีบ ไปไกล ๆ เลยไอ้อาร์มนี่แม่กูเว้ย ไม่ใช่ยัยหนูผี”ไม่ใช่เดี๋ยวกูถีบหรอก แต่ถีบไปแล้วต่างหาก หมออาร์มถลึงตาใส่ ยกมือปัดเสื้อกาวน์ตนเอง ดีที่มันถอดรองเท้าไม่อย่างนั้นเขาไม่ต้องใส่เสื้อกาวน์ที่เป็นรอยฝ่าเท้าของไอ้เพื่อนชั่วหรอกหรือ หมอหนุ่มไม่กล้าแซวเพื่อนตนเองอีก เขาคว้าstethoscopeขึ้นมาห้อยคอและสะบัดหน้าเดินหนีออกจากห้อง ไม่สนใจอีก “อะไรกันตานนท์พูดไม่เพราะเลย” “โธ่..คุณแม่ครับนนท์พูดกับเพื่อนนะ ไอ้อาร์มน่ะแม่จะให้นนท์พูดกับมันยังไง คุณอาร์มครับกรุณาไปไกล ๆ ไม่อย่างนั้นผมจะประเคนฝ่าเท้าให้นะครับ แบบนี้เหรอ”กุลนิดาถลึงตาขึ้น ถึงแม้ลูกชายตัวแสบนี่จะไม่เห็นก็ตาม “พอเลยตานนท์จะกวนประสาทให้ได้อะไรขึ้นมา แล้วเมื่อเช้ายอมกลับบ้านแล้วใช่ไหม นี่ถ้าไม่กลับต่อไปก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลย ลูกคนเดียวแม่ตัดทิ้งได้ จะบอกได้หรือยังว่าไปนอนไหนมาทำไมปล่อยให้เมียตัวเองเฝ้าบ้านคนเดียว เรานี่มันยังไงจะต่อต้านแม่เหรอ ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ นนท์ไม่ต้องเล่นการเมืองสืบทอดเจตนารมณ์ของที่บ้านก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวเราเป็นนักการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย แต่นี่แม่ก็ตามใจนนท์แล้ว ยอมให้ไปเป็นหมออย่างที่ลูกอยากเป็น แต่ขอแค่...” “แม่ครับนนท์ก็แต่งงานกับยัยหนูผีตามใจแม่แล้วไง แล้วยังจะเอายังไงอีก”เขาเถียงออกมาโดยไม่รอให้คนเป็นแม่พูดจบ ทุกคนอยากให้เขาแต่งงาน เขาก็แต่งแล้ว แต่นี่ยังจะมาบังคับถึงเรื่องเข้าหออีก มันไม่เกินไปหน่อยหรือ “เอายังไงอีกเหรอตานนท์!!!...แต่งงานแต่ไม่ค้างกับเมีย ไม่นอนกับเมียแล้วแม่จะอุ้มหลานจากที่ไหน ไม่รู้ละแม่อยากได้หลาน เราไม่เล่นการเมืองแต่คุณพ่อเขาก็หวังว่าหลานชายเขาจะสืบทอดความต้องการของเขา นนท์ก็เห็นความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ได้ดีนัก พ่อเขาอยากช่วยเหลือคนจน ให้สิทธิ์ให้เสียงคนเหล่านั้น ที่พ่อเล่นการเมืองก็เพื่ออนาคตของประเทศในวันข้างหน้า รุ่นพ่ออาจจะยังไม่เห็นผล แต่รุ่นหลานรุ่นเหลนมันต้องเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ” “แล้วเป็นหมอช่วยคนไม่ได้เหรอครับแม่ นนท์เป็นหมอก็เพื่อรักษาคนไข้ อีกอย่างครอบครัวคุณตาก็เป็นหมอเหมือนกัน ไม่ใช่แค่นักการเมืองที่ช่วยคนได้ หมอก็ช่วยได้เหมือนกัน” “นนท์...แม่เข้าใจลูกนะ แต่แม่อยากให้ลูกเข้าใจพ่อกับแม่ด้วย พวกเรามีลูกแค่คนเดียว หนูนัดเป็นเด็กดีให้โอกาสเธอหน่อย ลูกจะตกหลุมรักเธอไม่ยากเลย วันนี้หนูนัดไปคลินิก นนท์ไปรับน้องกลับบ้านหน่อยนะลูก”รัชชานนท์ถอนหายใจออกมา ไม่อยากจะเถียงกับแม่อีก เถียงไปชนะแล้วอย่างไร ก็ดีแต่ทำให้ท่านเสียใจ หากวันนั้นเขาไม่เห็นน้ำตาคนเป็นแม่ เขาไม่มีวันยอมแต่งงานแน่ ๆ สิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิตก็คือน้ำตาของคนเป็นแม่นี่แหละ “ได้ครับเดี๋ยวเลิกงานนนท์ไปรับให้ จะปูพรมแดงตั้งแต่รถจนถึงหน้าคลินิกคุณเมียของผมเลยครับ พอใจยัง”คำพูดที่ประชดประชันออกมา อยากรู้จริง ๆ เขาหรือยัยหนูผีเน่านั่นกันแน่ที่เป็นลูก “ถ้าทำให้น้องเสียใจอย่าหาว่าแม่ใจร้ายแล้วกัน” กุลนิดายกมือขึ้นกุมศีรษะอยากจะซัดไอ้เด็กปากดีนั่นสักป๊าบ ก็แค่ให้ไปรับเมียมันจะประชดทำไมกัน หลังวางสายหมอหนุ่มก็ทิ้งตัวพิงเก้าอี้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเวลาที่ได้ต่อปากต่อคำกับคุณแม่พลันหุบลง เรื่องเล่นการเมืองเป็นสิ่งที่ติดค้างครอบครัว เขารู้ดีแต่ใจมันไม่ชอบจริง ๆ คุณพ่อเคยบอกว่า หากท่านมีลูกอีกหลาย ๆ คนจะไม่บังคับเลย แต่ทว่าคุณแม่คลอดเขามาได้แค่คนเดียวเท่านั้น ความจริงเขามีพี่หรือน้องที่เป็นฝาแฝด แต่พี่น้องเขาก็จากไปตั้งแต่อยู่ในท้องได้เจ็ดเดือน และตัวเขาเองก็คลอดก่อนกำหนด หลังจากนั้นมาคุณแม่ก็ไม่สามารถตั้งท้องได้อีก เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ติดค้างพ่อกับแม่เป็นอย่างมาก และเพราะตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยแข็งแรงคนที่บ้านจึงได้ตามใจไม่เคยขัด พอมาถูกขัดใจเรื่องแต่งงาน ในใจมันยากที่จะยอมรับจริง ๆ ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม