Chapter 5 แขกพิเศษ (2)
“แยม แน่ใจนะว่าจะยังไม่ลาออกจากไร่”
น้ำอิงเอ่ยถามเมื่อเห็นหลานสาวเดินหน้าเครียดเข้ามาในครัว กลิ่นอาหารคุ้นเคยที่โชยมาแตะจมูก ทำให้จันทร์กะพ้อชะโงกหน้าไปมองในหม้อ ก็พบว่าคุณน้าของตนกำลังทำข้าวซอยที่หล่อนโปรดปราน เหมือนกับรู้ใจว่ากำลังอยากทานอยู่พอดี
“คงจะยังไม่ออกหรอกน้าอิง แยมสงสารคุณชนินทร์มากกว่า ยิ่งตอนนี้ก็สุขภาพไม่ค่อยดี ว่าจะอยู่ช่วยประคับประคองไปก่อน หากพ้นช่วงนี้ไปและทางไร่มีคนใหม่มาแทน ไม่แน่ว่าแยมอาจจะลาออกไปช่วยน้าก้องก็ได้”
“ตาใหญ่ไม่ค่อยพอใจ ที่แยมตัดสินใจแบบนี้”
“แยมรู้ แต่ขอให้น้าอิงคิดแค่ว่าเราช่วยคุณชนินทร์ คนอื่นไปเกี่ยวทั้งนั้น”
“ก็โตๆ กันแล้วนะ น้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ยังไงแล้วก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน หากกลับไปเจอคุณไม้อีกน่ะ”
คนพูดอดที่จะถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มไม่ได้ แต่ก็เคารพในการตัดสินใจของเจ้าตัว ไม่อยากจะบงการอะไรให้มากนัก เพราะถือว่าทุกคนต่างโตและมีความคิดเป็นของตัวเอง ที่สำคัญก็อดที่จะเห็นใจชนินทร์ไม่ได้ เพราะฝ่ายนั้นไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย
“เขาเสียอีกที่ต้องหลบหน้า ต้องอายแยม ที่ทำอะไรทุเรศๆ ลงไปแบบนั้น”
“กลัวว่าจะหาเรื่องเพิ่มน่ะสิจ๊ะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ แยมเอาตัวรอดได้”
จันทร์กะพ้อคิดอย่างมั่นใจในตัวเอง หล่อนตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ยอมเดินหนีเอาตัวรอดแล้วทิ้งปัญหาไว้ข้างหลังอย่างเด็ดขาด บางทีสิ่งที่หล่อนเป็น อาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงคนอย่างชลาธารได้ หากเขาไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก
เขาเกลียดหล่อนเพราะความเชื่อแบบผิดๆ ไม่ใช่เกลียดแบบไม่มีเหตุผล บทเรียนคราวก่อนอาจทำให้เขาไม่กล้าที่จะทำอะไรเหมือนในวันแรกที่เจอกัน หล่อนพยายามคิดอย่างเป็นกลาง ซึ่งอย่างน้อยก็ช่วยให้ใจสบายขึ้น เมื่อเห็นเจ้าเหมียวสุดที่รักมาร้องออดอ้อนอยู่หน้าห้องครัว ก็อดที่จะเดินไปอุ้มมันมากอดแล้วลูบหัวเล่นไม่ได้ บางทีหล่อนก็ติดมันมากเกินไป ถึงขนาดพาไปขลุกอยู่ที่ไร่ก็เคยทำมาแล้ว และดูเหมือนเหมียวแม๊คจะชอบเสียด้วย กับการได้ไปวิ่งเล่นที่นั่น สักพักรอยยิ้มต้องจางหาย เมื่อใบหน้าของใครบางคนลอยเด่น
“จะให้เจ้าแม็คข่วนหน้าให้ดู หากคิดจะลวนลามฉันอีกนะอีตาบ้า คนหลงตัวเอง เหอะ!”
ขวัญชนกวางแฟ้มลงบนโต๊ะทำงานเดิมแต่เจ้านายคนใหม่อย่างเบามือ ทำราวกับว่ามันจะแตกหักคามือของตน ยืนนิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับเอกสารบางอย่าง ไม่ยอมที่จะเดินออกไปจากห้อง หญิงสาวทำท่าละล้าละลังอยู่นาน ในที่สุดก็รวบรวมความกล้า ตัดสินใจเรียกชื่อเขาออกมาเบาๆ
“คุณไม้…เอ่อ…”
“มีอะไร ฉันกำลังยุ่งไม่เห็นรึไง”
เพียงสายตาคู่คมตวัดมองอย่างไม่พอใจ ขวัญชนกถึงกับหุบยิ้มทันที หล่อนทำหน้าปั้นยากเมื่อรู้ว่าเจ้าของชื่อกำลังไม่พอใจที่ไม่ยอมเรียกชื่อเขาตามแบบเพื่อนๆ ชาวต่างชาติที่มักจะเรียกกันอย่างคุ้นเคยในแบบสำเนียงฝรั่งจนชลาธารคุ้นชินกับมัน และเขาไม่ชอบให้ใครมาเรียกเขาในสำเนียงคนไทยด้วย มันดูเชยสิ้นดีในความคิดของชายหนุ่ม เพราะเขาชอบชื่อใหม่มากกว่า
“คุณไมค์จะไปลงพื้นที่มั้ยคะ ไปดูคนงานที่ไร่ ข้าวจะพาไป”
“ไม่ล่ะ ร้อน”
“แต่…”
“ทำไมจะต้องบังคับกันฮึ จะไปทำอะไรก็ทำ ฉันไม่ชอบคนจุกจิกจู้จี้ มันรำคาญน่ะรู้มั้ย”
“ขอโทษค่ะคุณไมค์ ข้าวแค่หวังดี อยากให้คุณไปลงพื้นที่ จะได้เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น”
“แล้วทำไมฉันจะต้องไปทำความเข้าใจกับพืชผักที่มันพูดไม่ได้ ไม่มีหัวใจเหมือนคนเรา ทำไมต้องลงไปเกลือกกลั้วกับคนพวกนั้น ฉันเป็นผู้จัดการไร่ ไม่ใช่คนงานในไร่ ที่จะต้องไปเดินดูการทำงานของใคร หัวหน้าคนงานมีไว้ทำอะไร หากไม่มีไว้ควบคุมการทำงานของคนงาน”
“ตะ แต่ว่า ตอนที่แยมอยู่ เธอก็ไปสัมผัสมันด้วยตนเอง ข้าวว่าพืชผลก็มีหัวใจเหมือนเรานะคะ มันไม่ได้ไร้ชีวิตอย่างที่คุณกำลังเข้าใจ”
“อย่าเอ่ยถึงชื่อนี้ให้ฉันได้ยิน เข้าใจมั้ย”
ชื่อของจันทร์กะพ้อราวเป็นคำแสลงใจ เพียงได้ยินชลาธารก็รีบตัดบท แม้ขวัญชนกจะพยายามอธิบายถึงวิถีความเป็นอยู่ของที่นี่ให้เขาเข้าใจ แต่ดูเหมือนถ้อยคำของหล่อนจะไม่สามารถซึมเข้าไปในจิตใจของเขาได้เลย อดที่จะถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อยไม่ได้ เพราะดูท่าแล้วคนสำอางแบบนี้คงอยู่ที่นี่ไม่ทนแน่นอน หากยังรักความสุขสบายอยู่เช่นนี้
“ขอโทษนะคะคุณไมค์ ข้าวไม่คิดว่าจะทำให้คุณโกรธมากขนาดนี้”
“หากฉันไม่พอใจ อาจจะไล่เธอออกอีกคน จำเอาไว้!”
‘เผด็จการ’
ขวัญชนกเถียงอยู่ในใจไม่กล้าคิดดัง รีบเดินเลี่ยงหนีมาเพราะเกรงว่าอยู่นานอาจจะต้องปะทะคารมกันมากขึ้น ดีที่หล่อนเป็นคนมีความอดทนเป็นเลิศ และไม่ค่อยคิดร้ายกับใคร ก็เลยอยู่กับเจ้านายแสนเอาแต่ใจเช่นชลาธารได้ หากเป็นคนอื่นอาจจะม้วนเสื่อกลับบ้านไปนานแล้ว กับความเป็นคนปากร้ายและแสนจะเรื่องมากของเขา
“วันนี้ทำตัวให้ว่าง เพราะตอนเย็นเราจะต้องไปด้วยกัน”
ชลาธารเหลือบตามองเจ้าของคำพูด ก่อนทำเป็นไม่สนใจ การที่อีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ซ้ำเขายังสัมผัสได้ถึงแววตากร้านโลกที่มองมาแบบไม่ละสายตา ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยถามแบบไม่สู้เต็มใจนัก
“ไปไหนครับ”
“ฉันคิดว่าเราควรจะเป็นฝ่ายไปขอโทษหนูแยมที่บ้านของเธอ โดยเฉพาะนายที่เป็นฝ่ายผิดเต็มๆสมควรที่จะต้องไปขอโทษเธอก่อน”
ชลาธารทำหน้าเซ็ง เมื่อรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของบิดา การที่ท่านเอ่ยออกมาแบบนี้ มันทำให้เขายิ่งต่อต้านมากขึ้น เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น ที่สำคัญเขาไม่เคยเดินหน้าเข้าหา
ใครก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง
“แล้วทำไมผมจะต้องไปง้อเธอครับ”
“ฉันถามจริงๆ ยังไม่รู้ตัวอีกเรอะ หรือว่านายเห็นว่าสิ่งที่ทำลงไปมันเป็นเรื่องดี ลูกผู้ชายหากผิดแล้วยอมรับผิด ก็จะสมกับเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง”
“คุณพ่อกำลังตำหนิผมว่าไม่เป็นลูกผู้ชาย ใช่มั้ยครับ”
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่จะคิดเอาเอง”
“มันก็ไม่ต่างอะไรกับการด่าว่าหน้าตัวเมีย”
“ตีความไปมากมาย มีคนเตือนดีกว่าไม่มีคนเตือน หากวันข้างหน้าไม่มีคนคอยบอกคอยแนะ นายจะรู้สึก”
“ผมไม่ชอบ หากจะให้ไปง้อเธอก่อน ไร้ศักดิ์ศรีสิ้นดี”
“แล้วมันกินได้มั้ยศักดิ์ศรี จะแบกเอาไว้ให้หนักทำไม หากเป็นฉัน ฉันจะวางมันลงเสีย หากมันทำให้เราใช้ชีวิตลำบากขึ้น”
“คุณพ่อไม่มีวันเข้าใจ ไม่เคยเข้าใจใครเลยจริงๆ”
“ฉันไม่เข้าใจนาย พอๆ กับที่นายไม่เข้าใจฉัน”
“ผมไม่อยากเถียงแล้ว หากอยากไป ผมไปก็ได้”
ชายหนุ่มชักสีหน้ารำคาญ เมื่อเริ่มจะเกิดความไม่ลงรอยทางความคิดอีกครั้ง หากยิ่งเถียงก็จะยิ่งเรื่องใหญ่ เขาจึงตัดบทโดยการรับคำบิดาเพื่อให้จบๆ ไป หลังจากนั้นจะทำอะไรต่อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“หวังว่าคงจะไม่มีแผนอะไรอยู่ในใจนะ ฉันหวังว่านายจะเต็มใจไปด้วยใจที่ไม่อคติ”
สักพักรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ได้ผุดขึ้นบนใบหน้าคมคร้าม เมื่อเห็นผลดีของการไปเหยียบบ้านของจันทร์กะพ้อ อยากไปดูเหมือนกันว่าหล่อนมีความเป็นอยู่อย่างไร ดูท่าว่าเขาจะต้องเริ่มปฏิบัติการแทรกซึม เพื่อสืบข้อมูลเชิงลึกของศัตรูให้มากกว่านี้เสียแล้ว
เสียงรถยนต์ที่เคลื่อนที่อย่างช้าๆ เข้ามาจอดยังหน้าบ้านแล้วดับเครื่องยนต์ ทำให้น้ำอิงโผล่หน้าออกไปดูว่าเป็นใคร เพียงสายตาสบเข้ากับแขกผู้มาเยือนที่กำลังเปิดประตูรถลงมา หล่อนรีบผลุบร่างกลับเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งไปเรียกจันทร์กะพ้อที่อยู่หลังบ้านหน้าตาตื่น เพื่อบอกหลานสาวให้รู้ตัว
“แยมๆ มานี่เร็ว!”
“อะไรคะน้าอิง คนจะอ่านหนังสือ”
“มาเถอะ มาดูสิใครมา!”
“ใครล่ะ น้าก็ต้อนรับไปสิ”
“คุณชนินทร์ แต่ไม่ได้มาคนเดียว มีใครมาด้วยไม่รู้ ใช่ลูกชายเขามั้ย”
“อะไรนะ!”
คำว่าไม่ได้มาคนเดียว และประโยคหลังทำให้จันทร์กะพ้อลุกพรวดขึ้นทันควัน หากเป็นชลาธารจริงๆ หล่อนไม่แน่ใจว่าเขามาด้วยจุดประสงค์ใด แต่ที่แน่ๆ คงไม่ได้มาดีแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดความหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ เพราะกลัวว่าเขาจะก่อความวุ่นวายที่บ้านหลังนี้
จันทร์กะพ้อตัดสินใจเดินออกไปต้อนรับเพราะมารยาท หญิงสาวยิ้มเฝื่อนเมื่อเห็นว่าเป็นชลาธารจริงๆ ที่ตามติดชนินทร์มา สีหน้าของเขาไม่เพียงไม่สลดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซ้ำยังส่งยิ้มเย็นมาให้เหมือนท้าทาย ท่าทีกวนประสาทของเขาทำให้จันทร์กะพ้ออยากจะซัดไปที่หน้าหล่อๆ ให้หายซ่าไปสักทีสองที
‘ยังจะมีหน้ามายิ้มระรื่น คนอะไรหน้าด้านที่สุด’
หญิงสาวข่มอารมณ์ที่ร้อนผ่าวเพื่อไม่ให้แสดงออกต่อหน้าชนินทร์ เพราะเห็นเจ้านายเองก็มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด รีบเชื้อเชิญแขกเข้าบ้าน เมื่อเห็นว่าในมือของเขาหอบหิ้วตะกร้าของฝากใบใหญ่ติดมือมาด้วย คงจะมาคุยกับหล่อนเรื่องงาน คิดขณะเดินนำทั้งสองเข้าไปในบ้าน
“เชิญค่ะ”
น้ำอิงผายมือไปยังมุมรับแขกเล็กๆ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้นั่งพักผ่อนเมื่อหลานพาแขกเข้ามาในบ้าน แม้จะมีความตะขิดตะขวงใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ้างแต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค ตะกร้าของฝากถูกยัดใส่มือให้หล่อนรับมาถือเอาไว้ น้ำอิงรับมาจากมือชนินทร์อย่างเกรงใจแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปเพื่อหาน้ำมาต้อนรับ ปล่อยให้หน้าที่ดูแลแขกเป็นของหลานสาวที่กำลังตกอยู่ในความอึดอัดอย่างถึงที่สุด
“ตามสบายนะคะคุณชนินทร์ เดี๋ยวแยมไปช่วยน้าอิงก่อน”
จันทร์กะพ้อเชื้อเชิญชนินทร์แต่สายตาไม่วายลอบมองไปยังชลาธารที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ซ้ำยังมองหน้าหล่อนอย่างไม่ละสายตาเสียด้วย ท่าทีชวนให้หมั่นไส้นั่นยากจะเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ ในความรู้สึกของจันทร์กะพ้อนั้น สายตาของเขามีบางอย่างที่ทำให้หล่อนได้รู้ว่า นั่นไม่ใช่การมองมาเพื่อสานไมตรีแน่นอน
ชลาธารเหลียวมองไปรอบๆ ราวสำรวจเมื่อเจ้าของบ้านเดินเลี่ยงไปหาน้ำมาให้แขก บ้านหลังไม่ใหญ่โตเหมือนบ้านของเขาแต่ดูเหมือนจะน่าอยู่ มีการจัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้เป็นอย่างดี บ่งบอกถึงนิสัยเจ้าของบ้านที่น่าจะเป็นคนเรียบร้อยและรักความสะอาด ชายหนุ่มคิดขณะเผลอไล่สายตาสังเกตไปทั่วทุกมุมบ้าน
เมื่อนึกถึงความเรียบร้อย ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างลืมตัว จันทร์กะพ้อน่ะหรือที่เป็นสมาชิกในบ้านนี้ ใจที่อคติยังคงคิดต่อต้านขณะเดินไปหย่อนกายนั่งลงข้างๆ บิดา เขากลัวว่าหล่อนจะดูดีเพียงแค่เปลือกนอก แต่เนื้อแท้ข้างในเน่าเฟะจนไม่น่าจับต้อง เขาคงทำใจไม่ได้ หากจะให้มองหล่อนในแง่ดีขึ้นมาได้
“น้ำค่ะ”
จันทร์กะพ้อหายไปชั่วครู่จึงกลับมาพร้อมแก้วน้ำ ยื่นให้ชลาธารโดยไม่มองหน้า ไม่อยากจะเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเกรงใจชนินทร์เลยไม่อยากแสดงความไม่พอใจออกมาให้เขาได้เห็น เข้าใจถึงความรู้สึกของเจ้านายดี ในฐานะการตกอยู่ในสถานะคนกลางระหว่างความหมางใจของคนสองคน
“ขอบคุณ”
หญิงสาวชักมือกลับทันควันราวถูกไฟจี้ เมื่อชลาธารยื่นมือมารับแก้วน้ำแล้วแตะเข้ากับหลังมือของหล่อนย่างจงใจ แววตาคาดโทษมองไปยังคนที่นั่งยิ้มทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวตรงหน้า เขากำลังเล่นสงครามประสาทกับตน หากไม่ติดชนินทร์หล่อนคงจะระเบิดมันออกมาอย่างแน่นอน หญิงสาวคิดขณะพยายามทำใจให้นิ่ง เพื่อที่จะไม่ให้เสียบรรยากาศมากไปกว่านี้
“เป็นยังไงบ้างแยม สบายใจขึ้นหรือยัง พอดีตาไม้เขาคิดได้ เลยอยากจะมาขอโทษหนูที่ทำเรื่องไม่ดีลงไป ใช่มั้ยไม้”
ชนินทร์พูดเองเออเอง สายตาสบเข้ากับแววตาคู่คมของอีกฝ่ายอย่างมีความหมายซ่อนอยู่ ขณะที่ชลาธารไม่เออออห่อหมกด้วย เขาถูกบังคับมาต่างหาก ไม่ได้อยากมาแต่อย่างใด ชายหนุ่มคิดขณะฝืนยิ้มออกมา มันช่างดูเฝื่อนสิ้นดีในสายตาของจันทร์กะพ้อ
“เหรอคะ”
จันทร์กะพ้อยิ้มเย็น ขณะปรายตามองไปยังโจทย์ เพราะไม่อยากจะเชื่อสักเท่าใดนัก ดูแล้วเหมือนจะมาหาเรื่องกันมากกว่าจะมาสานไมตรี หากแต่ว่าการที่เขาส่งยิ้มมาให้ หล่อนจึงต้องสงวนท่าที
เอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะแผลงฤทธิ์อะไรออกมาอีก
การที่ต่างฝ่ายเอาแต่นั่งเงียบและเอาแต่มองหน้ากันไปมา ทำให้ชนินทร์คิดว่าเขาสมควรออกไปจากตรงนี้ แล้วปล่อยให้สองคนได้อยู่กันตามลำพัง เพราะอาจมีเรื่องราวบางอย่างที่อยากจะคุยกัน โดยที่ไม่มีคนกลางอย่างเขามานั่งฟัง
“คุยกันเอาเองก็แล้วกัน ไหนๆ ก็มาเจอกันแล้ว ฉันมีอะไรจะคุยกับคุณน้าของหนู ขอตัวนะ”
“ดะ เดี๋ยวค่ะ!”
จันทร์กะพ้อถอนหายใจออกมา สายตามองตามแผ่นหลังเจ้านายที่กำลังเดินแยกไปด้วยความอึดอัดใจ ไม่อยากอยู่เพียงลำพังกับชลาธารอีกครั้ง เพียงหันกลับมาแล้วเห็นสายตาของเขา หล่อนรีบลุกพรวดขึ้น เพื่อที่จะหนีไปให้ไกลจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด
“หึ…ผมก็เพิ่งรู้ว่าเจ้าบ้านเขาปฏิบัติกับแขกแบบนี้ ช่างมีมารยาทสิ้นดี”
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ชลาธารลุกพรวดขึ้นแล้วตะโกนไล่หลังตามไป มันได้ผล เมื่อเสียงของเขาทำให้ร่างนั้นหยุดเดินแล้วหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง พร้อมถ้อยคำที่สื่อให้เขาได้รู้ว่า ในวันนี้เขาและหล่อนไม่มีอะไรต้องปรับความเข้าใจ ทุกอย่างข้ามขั้นเกินที่จะให้มองกันดีๆ อีกต่อไป
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
“แต่ผมมี”
“ขอโทษนะคะที่ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะสำนึกได้จริงๆ และการมาในวันนี้คือมาดี”
“ก็…แล้วแต่จะคิด”
“ถ้าไม่มีอะไร เชิญกลับไปได้แล้ว”
“อะไรกันคุณ ผมยังนั่งไม่หายเหนื่อยเลยนะ เพิ่งมาถึงก็ไล่กลับเสียแล้ว”
“นั่นมันปัญหาของคุณ ไม่ใช่ของฉัน”
พูดพลางผินหลังกลับ แล้วเดินหนีกันไปหน้าตาเฉย ชลาธารปราดเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพื่อขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายได้หนีเขาไปไหนได้ เขาไม่ชอบใจที่หล่อนเล่นเดินหนีกันแบบนี้ ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้ใส่เขามาก่อน คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะที่อีกฝ่ายหาได้ใส่ใจ
“คุณคงไม่รู้อีกอย่างว่าผมไม่ชอบให้ใครเดินหนีโดยที่ยังคุยไม่รู้เรื่อง”
“เรื่องของคุณ”
“จันทร์กะพ้อ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ชายหนุ่มตะคอกขณะตามไปทันแล้วคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ เมื่อถูกสะบัดและต่อต้านเขายิ่งออกแรงบีบเค้น จนเจ้าตัวต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่ไม่อาจทำให้เขายอมอ่อนข้อให้ จนจันทร์กะพ้อต้องใช้ไม้แข็ง มันเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เขาหยุดกระทำได้
“นี่มันบ้านฉันนะ คอยดูนะหากทำอะไรลงไป ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ”
“ข้อหาอะไรมิทราบ”
“ข้อหาบุกรุก และกระทำอนาจาร”
“เหรออออ”
“ถ้าไม่ปล่อย ฉันจะโวยวายจริงๆ คุณพ่อของคุณจะต้องมาเห็นแน่ๆ ว่าลับหลังท่านคุณทำอะไรกับฉันบ้าง”
“ผมก็ไม่ได้แอบทำนี่ และที่กล่าวหาว่าผมทำอนาจาร มันคือตรงไหนมิทราบ”
“ฉันรู้ว่าคุณกล้าที่จะทำมากกว่านี้ เพราะจิตใจคุณมันชั่วร้าย สามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกันได้”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะทำจริงๆ เสียเลยดีมั้ย จะได้คุ้มค่ากับการถูกลากไปเข้าคุก”
“อย่ามาท้านะ! แน่จริงก็ปล่อยสิ ฉันจะไปโทร.หาตำรวจ”
“ก็ลองสิ หากคุณโวยวายตอนนี้ รับรองว่ามันจะไม่จบแค่นี้แน่ อยากโดนฉุดไปขังอยู่กลางป่า แล้วโดนข่มขืนดูบ้างมั้ย แต่ผมว่าคุณน่าจะชอบนะ”
ถ้อยคำพร้อมแววตาที่เป็นประกายวาววับ รวมทั้งรอยยิ้มน่ากลัว ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มือบางยกขึ้นปิดปากด้วยไม่อยากจะเชื่อหู รับไม่ได้กับถ้อยคำที่เขาพูดใส่หน้า อยากจะวิ่งหนีเขาไปให้ไกล เพราะมันแสลงหูเกินกว่าจะทนฟังได้อีกต่อไป
“ทุเรศที่สุด แท้จริงคุณก็ไม่ต่างไปจากคนป่าเถื่อน ฉันรังเกียจคุณที่สุด”
“แล้วคิดว่าผมพิศวาสคุณนักหรือไง”
“ฉันไม่ได้ใช้ให้คุณมาพิศวาส กรุณาเอามือออกไปจากแขนของฉัน ฉันขยะแขยงคุณจะแย่อยู่แล้ว”
“ผมก็ไม่อยากจะถูกตัวคุณให้สิ่งสกปรกมันติดมือหรอกนะ และก็ไม่คิดจะกินเดนใครให้เสียชาติเกิด โดยเฉพาะ….”
ชายหนุ่มบุ้ยหน้าไปทางที่บิดาของตนเดินลับหายไป พลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน แต่ก็ทำให้จันทร์กะพ้อรู้ได้ทันทีว่าเขาหมายถึงใคร และหมายถึงเรื่องอะไร ถ้อยคำถากถางแรงพอที่จะทำให้ใบหน้านวลหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ ที่เขาตามมาดูถูกกันไม่เลิก
“ฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยพ่อคุณ และท่านก็ไม่ได้ทำตัวอย่างที่คุณเข้าใจ ท่านแค่มีบุญคุณกับครอบครัวเรา ก็เท่านั้น คงจะมีแต่คุณ
ที่คิดอกุศลแบบนั้น”
“โดยการเลี้ยงดูคุณ ไปมาหาสู่กันถี่ๆ แคร์ความรู้สึกกัน มอบอำนาจให้จัดการทุกอย่างในไร่ ผมว่ามันไม่ธรรมดาสักเท่าไหร่ มันผิดวิสัยเจ้านายกับลูกน้อง อย่ามาทำหน้าใสซื่อหลอกผมหน่อยเลย คุณแยมมี่ที่รัก เพราะคุณหลอกใครต่อใครได้ แต่หลอกผมไม่ได้”
“ฉันไม่ใช่ที่รักของคุณ เก็บคำนี้ไปเรี่ยราดกับคนอื่นเถอะ”
“ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมไม่อยากมีแม่เลี้ยงที่อายุไม่ต่างกัน เพราะนอกจากจะไม่เคารพแล้ว เวลาหน้ามืดขึ้นมาก็อาจจะจับแม่เลี้ยงปล้ำเอาได้”
“ฉันจะไม่คุยกับคนพูดไม่รู้เรื่องแบบคุณ เชิญกลับไปได้แล้ว”
“แต่ผมไม่จบ และก็ไม่กลับ!”
เขารั้งข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ยอมให้เดินหนี แม้หญิงสาวจะพยายามแกะออก แต่เขายิ่งออกแรงกระชากเข้าหาตัว จนต้องใช้สองมือยันแผงอกกว้างเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาได้เข้าถึงตัวมากไปกว่านี้
“เอ๊ะ! อะไรของคุณ”
“ผมถามจริงๆ คิดยังไงถึงยอมตกมาอยู่ในสถานะแบบนี้ ทำไมไม่ไปหาคนที่ยังโสด ที่หนุ่มกว่า ทั้งที่คุณน่าจะหาได้ แค่ใช้เสน่ห์และมารยาของคุณ คงเรียกผู้ชายเข้ามาได้ไม่ยากหรอก”
“ถ้าจะมาเพราะเรื่องนี้ เราคงคุยกันไม่เข้าใจ”
“ผมขอยื่นข้อเสนอให้คุณลาออกไปซะ แล้วยอมออกไปจากชีวิตของคุณพ่อ จะเรียกค่าจ้างเท่าไหร่ก็ได้ ผมจะจ่ายให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ถือว่าจ่ายให้กับอะไรๆ ที่มันสึกหรอไปก็แล้วกัน”
จันทร์กะพ้อแทบเต้นเร่า เมื่อเขาพ่นถ้อยคำระคายหูออกมาเป็นชุด หญิงสาวโกรธจนขอบตาร้อนผ่าว สัญญากับตัวเองว่าจะต้องเอาชนะชายหนุ่มตรงหน้าให้ได้ แม้จะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่าง
มากก็ตามที
“คุณกำลังดูถูกว่าฉันเห็นแก่เงิน ดูถูกฉันทุกอย่าง บกพร่องทางความคิดอย่างถึงที่สุด”
“หรือคุณไม่ต้องการเงิน”
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปทำงานเหมือนเดิม ฉันจะไม่ยอมรับข้อเสนอบ้าๆ ของคุณ จำเอาไว้!”
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
น้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่น ทำให้ชลาธารเข่นเสียงรอดไรฟัน พลางสะบัดข้อมือของอีกฝ่ายออกอย่างแรงราวรังเกียจ หล่อนไม่เพียงไม่ยอมรับข้อเสนอ ยังสบตากับเขาอย่างท้าทายอีกด้วย เหมือนการประกาศศึกท้ารบ บนสังเวียนที่มีเขาและหล่อนเป็นผู้ลงชิงชัย
“คุณมันน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุด ทั้งร่างกายและความคิด สาบานได้ว่าฉันจะไม่ยอมแพ้คุณ แน่จริงก็ทำให้ฉันยอมไปจากไร่ให้ได้สิ คุณไมค์กี้ที่รัก”
“คุณท้าทายผิดคนแล้ว”