Chapter 3 ขิงก็รา ข่าก็แรง (2)

2426 คำ
Chapter 3 ขิงก็รา ข่าก็แรง (2) “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขออยู่คนเดียว เชิญค่ะ” “คุณไล่ใครฮึ!” “ไม่ได้ไล่ มีคำไหนที่ฉันไล่คุณ กรุณาฟังภาษาไทยให้เข้าใจด้วย แต่ฉันแค่อยากอยู่คนเดียว จะทำงานเข้าใจมั้ยคะ” ความอดทนที่เดินทางมาถึงขีดสุด หญิงสาวจึงย้อนยอกกลับไปพอให้แสบๆ คันๆ ขณะที่ชลาธารถึงกับขบกรามแน่น นึกเสียหน้าเบาๆ ที่ไม่เพียงหล่อนไม่สนใจเขา แต่ยังกล้าต่อปากต่อคำกันอย่างไม่เกรงใจว่าเขาอยู่ในสถานะอะไร เป็นแค่ลูกจ้างแต่กล้าที่จะทำตัวมีปัญหากับลูกชายเจ้าของไร่ เห็นทีจะต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบเสียบ้าง ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้คนปากเก่ง ถ้อยคำถากถางถูกพ่นออกมาเป็นชุด “ปากดี อย่างอื่นก็คงจะดีเหมือนปากสินะ คุณพ่อถึงได้หลงหัวปักหัวปำ” “คุณพูดถึงอะไรคะคุณไม้” “แล้วแต่จะคิด แต่ฉันคิดว่าเธอคงรู้ดีว่าเรื่องอะไร” ร่างสูงไล่ต้อนจันทร์กะพ้อจนถอยหลังกรูดไปชิดมุมห้อง ใจที่อคติทำให้เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษกับเธอ ในสายตาของชลาธาร ความกักขฬระนั้นเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับผู้หญิงเช่นจันทร์กะพ้อ ผู้หญิงที่เขาคิดว่าเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองและความสุขสบาย โดยไม่สนใจว่าจะทำร้ายหัวใจใครบ้าง ฝ่ามือแกร่งยันไว้กับผนังเพื่อกักร่างสั่นๆ เอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง จันทร์กะพ้อพยายามหาทางให้พ้นจากท่อนแขนแกร่ง แต่เขากลับรุกหนักโดยการขยับกายแนบชิด มันชิดเสียจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ โชยมาปะทะจมูก หญิงสาวกลั้นหายใจจนรู้สึกอึดอัดเมื่อไม่สามารถหลีกหนีสะโพกแกร่งที่พยายามดันช่วงล่างของตนเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีได้ ลมหายใจอุ่นร้อนและกลิ่นกายแห่งความเป็นบุรุษเพศที่ลอยวนอยู่เหนือจมูก พาให้ใจต้องหวั่นไหวไปกับความใกล้ชิดเพศตรงข้ามในแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสกับมันมาก่อน การที่เขาไม่ยอมละสายตาไปจากใบหน้าอวดดี นั่นยิ่งทำให้หล่อนถึงกับหมดสิ้นหนทางที่จะขัดขืน ไม่ใช่เพราะเหนื่อยหอบจากการพยายามผลักไส แต่หล่อนกำลังพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ล่อหลอกตรงหน้ามากกว่า ลืมไปสิ้นว่ากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบหากเขาเกิดลูกบ้าลวนลามกันขึ้นมาจริงๆ “ผมอยากจะสัมผัสกับตัวตนจริงๆ ของคุณ สัมผัสเข้าไปให้ลึกซึ้งถึงข้างใน ว่าภายใต้หน้ากากใสซื่อจอมปลอมมันซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง ผมจะกระชากมันออกมาด้วยมือของผมเอง ให้ทุกคนได้เห็นว่าคุณมันเน่าเฟะแค่ไหน จำเอาไว้!” ถ้อยคำหยามเหยียดพร้อมรอยยิ้มหยัน เรียกสติจันทร์กะพ้อให้กลับคืน หล่อนจะต้องไม่หวั่นไหวไปกับเสน่ห์ของชายตรงหน้า เพราะเขาไม่ใช่คนที่หล่อนจะลงไปเกลือกกลั้วด้วย สองมือจึงยันไปบนแผงอกกว้างแล้วออกแรงดัน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อเขาตัดปัญหาด้วยการคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ ตรึงไว้กับผนังห้องด้วยสองมือที่ แข็งราวคีมเหล็ก หมดหนทางที่จะหลุดพ้นไปจากความอึดอัดตรงนี้ได้ “ฉันไม่มีอะไรให้คุณค้นหา เชิญไปทำนิสัยอย่างนี้ที่อื่น เพราะฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด” “แล้วคุณห้ามผมได้หรือเปล่าล่ะคุณพี่เลี้ยง หืม…” “ดะ ได้ ได้สิ ขอบอกเลยนะ คุณไม่มีอะไรให้ฉันสนใจสักนิด” “แน่ใจเหรอครับ…ว่าไม่มี” ความตื่นเต้นทำให้ทำให้หญิงสาวลิ้นแทบพันกัน พยายามส่ายหน้าหนีเมื่อเขาก่อกวนกันด้วยลมหายใจร้อนผ่าวที่จงใจเป่ารดยังจุดอ่อนไหวบนร่างกาย แม้ใจจะเต้นแรงเพราะความหวาดหวั่น หากแต่ว่าก็ยังทำใจดีสู้เสือ ไม่ยอมที่จะให้เขาบีบเล่นเหมือนลูกไก่ในกำมือ หากคิดจะเคี้ยวเนื้อแสนหวานไม่กลัวหน้าลายกลับไปนอนเลียแผลก็ให้มันรู้กันไป เขาเองก็ยังไม่รู้จักเหยื่อเช่นหล่อนดีพอเหมือนกัน “คิดว่าฉันจะชอบคุณ หลงใหลได้ปลื้มคุณ เพียงแค่คุณหล่อ คุณรวย อย่างนั้นใช่ไหมคะ คุณคิดผิดเสียแล้วล่ะค่ะคุณชายไมค์กี้ หากผู้ชายทั้งโลกเหลือเพียงคุณคนเดียว แล้วต้องคว้าคนนิสัยแบบนี้มาทำพันธุ์ ฉันก็จะขออยู่แบบแห้งเหี่ยวเฉาตายไปจนตาย!” “คุณคงไม่รู้อีกอย่าง ปากดีแบบนี้ผมชอบที่สุด ผู้หญิงปากดีแบบคุณ ผมจับโยนขึ้นเตียงมาเยอะแล้ว จะลองดูมั้ยล่ะ!” “เอาหน้าของคุณออกไปเลยนะ คนหื่นกาม!” หล่อนดิ้นขลุกขลักหลังเอ่ยถ้อยคำฆ่าตัวเองออกมาโดยไม่ยั้งคิด แต่มันมีพลังรุนแรงพอที่จะเติมเชื้อไฟในใจของชลาธารให้โหมกระพือขึ้นมา มันลุกโชนจนยากที่จะหาอะไรมาดับได้อย่างง่ายดาย “อื๊อ!” คนในอ้อมกอดประท้วงเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ เปิดโอกาสให้ความร้อนรุ่มแทรกผ่านกลีบปากนุ่มเข้าไปสำรวจชอนไชทั่วโพรงปาก สัมผัสวาบหวามแสนแปลกใหม่เรียกเลือดในกายสาวให้วิ่งพล่าน เพียงได้ลิ้มลองก็เกือบจะเผลอไผลไปกับรสละมุนที่เขาป้อนให้ แต่ส่วนลึกก็ร้องสั่งให้ผลักไส เหมือนเขาจะรู้ทันจึงล่อหลอกกันเอาไว้ด้วยชั้นเชิงการรุกจากปลายลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดรัดรึงกับปลายลิ้นเล็กที่พยายามหลีกหนีการรุกรานจากคนที่ใจพยายามผลักไส แต่ก็ทำให้หวั่นไหวอยู่ในคราเดียวกัน ความรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ รสจูบจากผู้ชายที่เพิ่งเผชิญหน้าทำให้หล่อนหูอื้อและหายใจติดขัดจนเหมือนกำลังเฉียดผ่านความตาย หล่อนกำลังจะตายแต่ก็ถูกเขาดึงรั้งขึ้นมาด้วยการถอนริมฝีปากออกไป เพียงได้สูดอากาศเข้าปอด กายถึงกับสั่นสะท้านราวกับผ่านสังเวียนรักที่แสนร้อนแรงมาหมาดๆ สายตาคู่คมจับจ้องไปยังกลีบปากที่แดงเห่อเพราะสัมผัสร้อนแรงจากฝีมือตน แต่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อเขาไล่สายตาลงต่ำ ผ่านซอกคอขาวผ่องลงไปยังความอวบอิ่มที่ซ่อนอยู่ข้างใน จังหวะการหายใจที่เต้นแรงเพราะความตื่นกลัวเรียกเลือดในกายหนุ่มให้สูบฉีด เพียงเพราะจินตนาการไปถึงเนื้อแท้ที่ปราศจากอาภรณ์ปกปิด สัญชาตญาณดิบร้องสั่งให้ฝ่ามือแกร่งบีบเคล้นไปยังความนุ่มหยุ่นนั้นอย่างไม่อาจห้ามใจ ท่ามกลางแววตาที่เบิกกว้างด้วยความตื่นกลัวจนถึงขีดสุด “ชะ…” ไม่ทันที่จะได้เปล่งเสียงออกมา ริมฝีปากร้ายกาจก็ฉกเข้ากับกลีบปากนุ่มที่แดงเห่ออย่างรวดเร็ว คราวนี้ต่างไปจากคราแรกเมื่อเขาแทรกปลายลิ้นสากและดุนดันอย่างรุนแรง คล้ายจะสั่งสอนให้หล่อนได้จดจำวันนี้และจดจำเขาไปตลอดชีวิต รสสัมผัสที่รุนแรงทำให้จันทร์กะพ้อรู้สึกแสบร้อนไปทั่วเรียวปากอิ่ม เรี่ยวแรงที่น้อยกว่าทำ ให้หมดแรงที่จะขัดขืน ปล่อยให้เขารุกรานทั่วร่างอย่างยอมจำนน ขณะที่กำลังลุ่มหลงไปกับเสน่ห์ล่อหลอก ชายหนุ่มก็เริ่มคิดอย่างไม่แน่ใจตัวเอง ว่าเพราะความโกรธที่อัดแน่น ความอคติทำให้เขาทำลงไป หรือเพราะเสน่ห์ของหล่อนกันแน่ที่ทำให้เขาหาเรื่องใกล้ชิดและหากำไรกับกายสาวเช่นนี้ ในขณะที่คิดอย่างสับสนและไม่เข้าใจตัวเอง เขาก็ไม่อาจห้ามใจให้หยุดรุกรานหล่อนได้เช่นกัน… ปกรณ์เดินเข้ามาในสำนักงานเรือนลูกไม้ด้วยความเร่งรีบ ในมือของเขาถือถึงของกินมากมายที่จันทร์กะพ้อลืมเอาไว้ในรถ ความเป็นห่วงน้องสาวทำให้เขาตัดสินใจขับรถย้อนกลับนำมาให้ถึงที่ เพราะกลัวว่าหล่อนจะอดทานของโปรดที่อุตส่าห์แวะซื้อระหว่างทางมาที่นี่ การที่ปกรณ์พรวดพราดโผล่หน้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ขวัญชนกต้องใจหายวาบเป็นครั้งที่สอง สัญชาตญาณแสนดีเยี่ยมทำให้หญิงสาวรีบปราดออกไปดักหน้าเขาเอาไว้ทันที ด้วยไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในจะเป็นอย่างไรบ้าง “พะ พี่ใหญ่ เดี๋ยวค่ะ!” “อะไรขวัญข้าว มาขวางพี่ทำไม พี่รีบนะ” “หอบหิ้วอะไรมามากมายเอ่ย ของใครคะเนี่ย” ขวัญชนกยิ้มเขิน ขณะปรายตามองไปยังถุงขนมในมือของชายหนุ่มตรงหน้า หล่อนมักจะใจเต้นแรงทุกครั้งเมื่อได้เผชิญหน้ากันแบบชนิดหายใจรด อาจเป็นเพราะตนคิดไม่ซื่อกับเขาก็เป็นได้ ไม่ได้เห็นเขาเป็นแค่พี่ชายของเพื่อนสนิท แต่ใจของหล่อนคิดเกินเลยไปมากกว่านั้น ยิ่งเห็นสายตาแสนอบอุ่นของเขาที่กำลังจ้องมองมา พวงแก้มสาวก็แดงเห่อเป็นลูกมะเขือเทศสุก จนต้องรีบหันหลังให้เพราะความเขินอาย “ของแยมน่ะสิ ลืมไว้ในรถพี่ก็เลยรีบเอามาให้ เดี๋ยวจะลงแดง ไม่ได้กินของโปรด” ปกรณ์เฉลยพร้อมกับแผงคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน งุนงงกับท่าทีแปลกๆ ของคนตรงหน้า หากแต่ว่าก็ไม่มีเวลาที่จะมาใส่ใจ เขารีบเดินเลี่ยงไปยังห้องของจันทร์กะพ้อเพื่อเข้าไปหา แต่กลับถูกรั้งแขนเอาไว้ด้วยมือของขวัญชนกที่ไม่ยอมให้เขาได้ก้าวเดินไป “พี่ใหญ่ฝากข้าวไว้ก็ได้ ไม่ต้องเข้าไปหรอก” “อ้าว ทำไมล่ะ” “อะ เอ่อ” “มีอะไรกันขวัญข้าว ทำไมทำหน้าแบบนั้น” “ก็ เอ่อ…” “ขวัญข้าว พี่ถามว่ามีอะไร! แยมเป็นอะไร!” การที่อีกฝ่ายเอาแต่อ้ำอึ้ง และยังทำหน้ากระอักกระอ่วน ทำให้ปกรณ์เริ่มสงสัย พานให้นึกหงุดหงิดอยู่ในหัวใจเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ทำให้หายข้องใจ จนชายหนุ่มอดที่จะทำเสียงดุใส่คนตัวเล็กตรงหน้าไม่ได้ จนหล่อนหน้าม่อยลงไป “ขวัญข้าว!” “คุณไม้…เอ่อ” “ใคร?” “ก็คุณไม้ไงคะ คุณไมค์กี้น่ะ ทำเป็นลืม” “คุณไม้…อ๋อ คุณไม้ที่เป็นลูกชายเจ้าของไร่ใช่หรือเปล่า” “ค่ะ” “แล้วไง” “คุณไม้อยู่ข้างในค่ะ” “แล้วมีอะไรที่จะต้องปิดบังถึงไม่อยากให้พี่เข้าไป ไม่ชอบมาพากลแบบนี้พี่คงจะต้องเข้าไปดู ว่ามันมีอะไรนักหนา” “โธ่…” ขวัญชนกครวญออกมา หมดปัญญาที่จะรั้งเอาไว้ เพราะปกรณ์แกะมือของหล่อนออกแล้วเบียดกายเฉียดผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว ที่กลัวก็เพราะตอนที่ชนินทร์และกมลพรรณเข้าไปดูงานในไร่ ชลาธารกลับไม่ยอมตามไป แต่ได้เข้ามาที่ออฟฟิศเพื่อถามหาผู้จัดการไร่แทน และเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนของหล่อนยังไม่เข้ามา ชลาธารก็มีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาโวยวายเรื่องผู้จัดการไร่ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ไปรอต้อนรับซ้ำยังมาทำงานสายในวันสำคัญอีกด้วย แม้จะแก้ตัวแทนไปก่อนหน้านั้นว่าเพื่อนไม่สบายก็ตามที การที่ชลาธารถือวิสาสะเข้าไปในห้องจันทร์กะพ้อ หญิงสาวกลัวว่าหากทั้งสองต้องเผชิญหน้ากัน จะต้องเกิดสงครามย่อมๆ ตามมา เพราะรู้นิสัยของเพื่อนดี และหล่อนกำลังตกใจกับการที่ห้องถูกล็อก เพราะตอนที่ลองผลักจะเข้าไปนั้นหล่อนไม่สามารถเข้าไปได้ และได้ยินเสียงคล้ายเพื่อนของตนกำลังถูกลวนลาม จนพานให้งุนงงกับเหตุการณ์ข้างในและทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ ขณะที่กำลังสับสนนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ปกรณ์โผล่เข้ามาพอดี หล่อนไม่อยากให้ปกรณ์ต้องมาพบกับความผิดปรกติที่เกิดขึ้น เพราะหากสิ่งที่คิดนั้นเป็นเรื่องจริง คงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่นอน “ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูกระจกที่ดังขัดจังหวะ ทำให้ชลาธารชะงักในสิ่งที่กำลังทำลงไป เขาข่มเหงน้ำใจกันด้วยการทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมันมาก่อน จันทร์กะพ้อเหลือบมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ท่ามกลางหยาดน้ำตาที่ยังคงไหลอาบร่องแก้ม จากการที่หล่อนเสียจูบแรกให้เขาไป เป็นรสจูบที่ทั้งรังเกียจและผลักไส เมื่อมันไม่ได้มาจากความรัก แต่มาจากความกักขฬระและความเห็นแก่ตัวของผู้ชายตรงหน้า ที่หล่อนจะขอจดจำเขาไปจนวันตาย ในฐานะคนที่เกลียดยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ ชลาธารถอนหายใจขณะปรายตามองไปยังบานประตูที่ถูกขวางกั้นเอาไว้ด้วยมู่ลี่กันสายตาจากภายนอก ก่อนหันมาจับจ้องใบหน้าที่เคลือบฉาบไปด้วยคราบน้ำตา เกือบจะใจอ่อนและหวั่นไหวไปกับหยาดน้ำตาของเธอ แต่ความเชื่อผิดๆ ก็ทำให้ความด้านชากลับมาสิงใจอีกครั้ง สร้างกำแพงใจแสนแน่นหนา มันยังไม่สาสมด้วยซ้ำกับผู้หญิงเช่นจันทร์กะพ้อ ที่เขาเห็นนี่คือละครบทหนึ่งเท่านั้น ชายหนุ่มคิดพลางยิ้มหยัน ปลายนิ้วแกร่งไล้ไปตามร่องแก้มเพื่อเช็ดหยาดน้ำตาให้ราวคนรักกัน การกระทำของเขาที่ขัดกับรอยยิ้มเหยียดทำให้จันทร์กะพ้อผลักไส รีบปัดมือของเขาออกอย่างแรง พร้อมทั้งตวัดสายตามองคนที่ลวนลามกันด้วยแววตาแข็งกร้าว เมื่อหล่อนไม่ต้องการให้เขามาตบหัวแล้วลูบหลัง “แยม ทำอะไรอยู่ เปิดประตูหน่อย” “พี่ใหญ่!” การที่คนข้างในเงียบไปจนผิดสังเกต ทั้งยังล็อกห้องจากที่ไม่เคยทำ ปกรณ์จึงร้องเรียกพร้อมพยายามผลักบานประตูเข้ามาด้านใน ขณะที่สถานการณ์ภายในกำลังร้อนแรงและคุกรุ่น เสียงคุ้นเคยทำให้จันทร์กะพ้อยิ้มออก จนแทบจะวิ่งออกไปกอดคนข้างนอกเพื่อระบายความเสียใจ แต่ทุกอย่างไม่ง่าย เมื่ออ้อมแขนแข็งแรงได้กักหล่อนเอาไว้ คล้ายเป็นนักโทษที่ถูกจองจำ “ไอ้หมอนั่นเป็นใคร อย่าบอกนะว่ามันเป็น…” “เขาเป็นพี่ชายฉัน และฉันจะฟ้องพี่ใหญ่ให้จัดการคุณ ฮือๆ” ‘บ้าจริง นกรู้รึไงนะ’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม