เสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคืออาทิตา ไฟจากหลอดนีออนที่เปิดไว้เป็นจุดๆ รอบตัวบ้าน ทั้งไฟจากกระท่อมหลังน้อยของหล่อน ทำให้เขาเห็นใบหน้าหล่อนได้ชัดเจน ใบหน้านั้นบูดบึ้ง เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก คอเสื้อบางส่วนเปียกไปด้วยหยดน้ำ หล่อนเดินเท้าสะเอวด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างปล่อยมันไป ไม่สนว่าแรงเดินของตัวเองจะพามันแกว่งไปมา นาทีนี้อาทิตาหมดแรงจนแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว
ศราวิลดึงบานประตูให้เปิดอ้า อาทิตาก้าวขึ้นบันไดไม้สามขั้นไปนั่งใต้กรอบประตู เขายิ้มขันสภาพหล่อน
“เป็นไง หมดไส้หมดพุงเลยเหรอ บอกแล้วว่ามันไม่ง่าย สมบัติที่ไม่ได้ขวนขวาย ถ้าอยากได้ก็ต้องลงแรงกันหน่อย” ประชดคนที่มาชุบมือเปิบเอาในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง
อาทิตาทำหน้าสลด แล้วแต่เขาจะคิดก็แล้วกัน ทุกสิ่งที่เขาพูดมามันก็จริงทุกอย่างนั่นแหละ
“ฉันจะตายไหม ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะกินอึ่งอ่าง”
เขาเอ่ยเรื่องหนึ่ง เธอเอ่ยอีกเรื่องหนึ่ง ก็เรื่องนั้นมันน่าเอามาพูดคุยเสียทีไหน พูดกันทีไรก็ได้ทะเลาะกันทุกที ตอนนี้เธออยู่ถิ่นเขา ในเมื่อทำให้เขาดีกับเธอไม่ได้ เธอก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เขาโมโห อยู่อย่างมีสติน่าจะดีที่สุดแล้ว
“ไม่ตายหรอกน่า” เขาโต้เสียงห้วน ยกแขนเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ข้างขมับ
อาทิตาอดไม่ไหวก็เข้าไปหยิบผ้าขนหนูของตัวเองมาส่งให้ ผ้าขนหนูสีชมพูลายการ์ตูนน่ารักอย่างเด็กสาว
เขารับมาโดยไม่ต้องคิด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยาปรับผ้านุ่ม ถูกสูดเข้าจมูกไปเต็มๆ
“ขอบคุณสำหรับประตูค่ะ อย่างน้อยฉันก็เห็นเรื่องดีๆ ของคุณเรื่องหนึ่งแล้ว”
“อย่ายึดติดกับมันมาก บอกแล้วว่าเรื่องดีก็ดี เรื่องเลวก็ใช่ย่อย อย่าให้ต้องบอก”
อาทิตาพยายามไม่ใส่ใจ เขาคงยินดีที่ได้ขู่กระมัง
“ฉันเพลีย จะนอนแล้ว”
“ตามสบาย ก่อนนอนก็ไหว้พระ ไหว้เจ้าที่เจ้าทางด้วย”
“นี่!? ไม่ต้องมาพูดแบบนี้เลย ฉันกลัวนะ!”
“เตียงพี่ยังว่างนะน้อง”
ศราวิลอารมณ์ดียามเอ่ยถึงเรื่องเตียง ส่วนอาทิตานั่นหรือ ได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“ไปนอนเถอะค่ะคุณศราวิล ฉันไม่มีแรงจะปะทะกับคุณแล้ว ขอร้อง ฉันเพลียมาก...”
เธอลากเสียงยาวๆ ให้ศราวิลรู้ว่าเธอเพลียแค่ไหน เขายักไหล่ไม่แยแส เหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ทำให้เสื้อกล้ามที่เขาสวมอยู่ชุ่มไปเกือบทั้งตัว รูปร่างเขาดีมากนะ อันที่จริงเขาดีทุกอย่างนั่นแหละ ยกเว้น ‘นิสัย’
“โอเค ฉันไปละ”
“เดี๋ยว! คือว่า...ผ้าฉัน?”
เขาเหล่มองผ้าขนหนูผืนสีชมพูที่คล้องคอตัวเองอยู่ ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้หล่อนก่อนเอ่ยบางอย่าง
“ฉันเอา ถือซะว่าตอบแทนที่ช่วยซ่อมประตูให้เธอแล้วกัน”
อาทิตายิ้มอ่อน อย่างไม่เต็มใจนัก
“นั่นฉันก็ใช้อยู่นะคะ ที่สำคัญมีแค่ผืนเดียว”
“มิน่าล่ะ กลิ่นเธอถึงติดมาด้วย ฉันชอบนะ...หอมดี” ว่าแล้วสูดเอากลิ่นผ้าขนหนูฟอดใหญ่ ราวกับว่าผ้าผืนนั้นคือแก้มของอาทิตา
หญิงสาวแก้มแดงในฉับพลัน เขาไม่ได้เฉียดใกล้ร่างเธอด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงรู้สึกขนลุกได้ขนาดนี้ รู้สึกประหม่าเขิน ที่สำคัญคือแก้มร้อนไปหมด
“ฉะ...ฉัน ฉันจะนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์” พูดจบก็ดึงประตูเข้ามาแล้วปิดจนเรียบร้อย หัวใจยังเต้นแรง พวงแก้มยังร้อนผ่าว
ศราวิลยิ้มสมใจในท่าทีของอาทิตา เขากลับเข้าบ้านพร้อมกับผ้าขนหนูผืนน้อย เดินขึ้นชั้นสองทางประตูห้องครัว ทว่าไม่ได้ขึ้นไปหลับ แต่ขึ้นไปหยิบเอาผ้าห่มกับหมอนลงมานอนที่โซฟาข้างล่าง
โซฟาไม้ช่างห่างไกลคำว่านุ่มนิ่ม มันไร้ความสบายตอนเอนกายลงนอน แต่สะดวกดีเพราะเพียงแค่เปิดม่านหน้าต่างออก ก็สามารถแลเห็นกระท่อมน้อยของอาทิตาได้อย่างชัดเจน
“ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไมต้องมานอนเฝ้ายัยนั่นด้วยก็ไม่รู้” ถามตัวเองแล้วนอนลงบนโซฟาไม้ขัดมัน เหลือบมองไปนอกตัวบ้านก็เห็นไฟจากหลอดนีออนยังเปิดอยู่ มันสว่างในจุดที่ควรสว่าง ช่วยให้อุ่นใจได้เปลาะหนึ่ง
ความเงียบสงัดโรยตัวคลี่คลุมบรรยากาศมากขึ้นทุกขณะ เขาข่มตาให้หลับเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนหลับไปจริงๆ ก็ไม่ลืมภาวนา ขอให้อาทิตาเข้มแข็งและอดทนอยู่ที่นี่ให้ได้ อย่าให้หล่อนถอดใจกลับกรุงเทพฯ ไปก่อนเลย
“ความหวังดีในแบบของฉันจะก่อตัวในหัวใจเธอทีละน้อย ฉันจะไม่ละสายตาไปจากเธอ...อาทิตา จะยิ้มให้เธอ กอดเธอ จูบเธอ...มีเซ็กซ์กับเธอ แล้วฉัน...จะทำทุกวิถีทาง ให้เธอ...เสียใจ!”
คำพูดนั้นราวคำปฏิญาณที่ศราวิลบอกตัวเอง เขาต้องทำให้ได้สิ ทุกความขมขื่นใจของมารดาเขา ทุกหยดน้ำตาเขารับรู้และแลเห็น การแก้แค้นเพียงเล็กน้อยนี่ คงช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายในใจเขาได้กระมัง ในเมื่อความแค้นครั้งนี้ลงกับคนเป็นแม่ไม่ได้ งั้นก็ลงกับลูกแทนก็แล้วกัน