“คุณไปก่อนสิ ขาฉัน...เพิ่งจะทุเลา เดี๋ยวฉันเดินไป” ว่าพลางดึงเชือกที่อยู่ใต้คาง พยายามมัดมันให้เข้าที่ หมวกผ้าลายดอกของป้าพุดจะได้ไม่หลุด ทว่าด้วยความที่ไม่เคยใช้ ไม่ชิน แถมลมยังแรง เธอเลยมัดมันไม่ได้ แล้วอยู่ๆ มือของเขาก็ยื่นมา
หัวใจของอาทิตาคล้ายหยุดเต้นชั่วขณะ ตกลงศราวิลจะดีกับเธอหรือร้ายกับเธอกันแน่ บางทีก็เหมือนจะฆ่ากันให้ตาย แต่บางทีก็มีความอ่อนโยนส่งมาให้ เขาเป็นผู้ชายแบบไหนกันนะ
“แค่มัดหมวกยังทำไม่ได้ ฉันว่าเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯ ดีกว่า” ปากบ่นว่า แต่มือช่วยผูกเชือกให้ดิบดี
หญิงสาวถลึงตาใส่ พอขาเริ่มเดินได้ ก็ก้าวนำเขาไป ค่อยๆ ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ ที่ทอดสู่กระท่อมซึ่งมีคนงานกว่ายี่สิบชีวิตรออยู่ พวกเขาแต่งตัวคล้ายกับเธอ มีเสื้อแขนยาวลายตารางสีหม่น กางเกงเก่าๆ บ้างยีน บ้างกางเกงวอร์ม สวมบูทสูงครึ่งแข้ง และกำลังทำอะไรสักอย่างกับอ่างน้ำพลาสติกใบใหญ่
ศราวิลแนะนำเธอกับทุกคน ไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริง บอกเพียงแค่ว่านับแต่นี้เธอจะมาอยู่ที่นี่ ให้ทุกคนช่วยกันสอนงานให้เธอ
‘ตกลงเธอเป็นคนงานใหม่ หรือว่าเจ้าของไร่กันแน่นะ’
อาทิตาถามตัวเองในใจ แต่ใบหน้ายิ้มให้คนงานทุกคน พวกเขากำลังเทข้าวเปลือกลงในอ่างน้ำ แล้วช่วยกันแช่ ช่วยกันกวนให้เมล็ดข้าวเปลือกจมลงไป
“จะทำอะไรคะ” เธอถามคนงาน
ทิดอ่ำผู้เป็นหัวหน้าคนงาน ยิ้มให้คุณคนสวยจนตาหยี
“สิหว่านเข่าคับ เอาเข่ามาแซ่ แซ่เอาเม็ดลีบออก แล้วจั่งตักไปหว่าน”
อาทิตากะพริบตาปริบๆ การเปิดพจนานุกรมฉบับแปลไทยเป็นไทยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หว่านข้าว ใช่...มันคือการหว่านข้าว คนงานที่เทข้าวเปลือกลงอ่างน้ำก็เทไปเรื่อยๆ มันมีอ่างอยู่หลายใบด้วยกัน ข้าวลีบนั้นถูกช้อนออก ส่วนเมล็ดที่สมบูรณ์ถูกตักใส่ถังพลาสติก ทุกคนมีคนละใบ พอได้เมล็ดข้าวในถังก็เอาห้อยแขนห้อยศอกแล้วเดินไปยังแปลงปลูก
แล้วอยู่ๆ ถังใบหนึ่งก็ถูกโยนโครมลงมาตรงหน้าอาทิตา จะมีใครล่ะที่มารยาททรามได้ขนาดนี้
“เอาข้าวไปหว่าน”
“ฉันหว่านไม่เป็น”
“กินเป็นก็ต้องหว่านเป็น” เขาเถียง
“งั้นคุณก็หว่านบ้างสิ”
ศราวิลยักไหล่ “ฉันเป็นเจ้าของไร่ ทำไมต้องทำเอง”
“ฉันก็เป็นเจ้าของเหมือนกัน” เธอเถียงบ้าง ตอนนี้ที่หน้ากระท่อมหลังน้อยไม่มีคนงานหลงเหลือ มีแต่เธอกับเขาเท่านั้น
“งั้นเหรอ หลักฐานล่ะ เอกสารอยู่ไหน” ศราวิลยิ้มเจ้าเล่ห์
“อย่ามาหาเรื่องนะ ฉันไม่ได้เอามา จะถามหาหลักฐานเพื่อ!?” ประชดเขาแล้วคว้าเอาถังพลาสติก เธอตักเอาข้าวเปลือกเปียกๆ ใส่จนเกือบเต็มถัง อย่าได้ถามถึงน้ำหนัก โคตรหนักเลย! แต่ๆๆ แต่อาทิตาก็คืออาทิตา เธอไม่ยอมให้นายนั่นหัวเราะเยาะเด็ดขาด
แล้วแม่สาวชาวกรุงฯ ก็หิ้วถังข้าวเปลือกออกไปที่แปลงปลูก เลือกเอาแปลงที่ใกล้กระท่อมมากที่สุดจะได้ไม่ต้องเดินไกล แม้หนักจนหิ้วแทบไม่ไหว แต่สีหน้ายังยิ้มระรื่น ราวกับมาเดินชมทุ่งมุ่งหาความสำราญมากกว่าทำงานในไร่นา
“เห็นเธอมีความสุขอย่างนี้ฉันเคืองนะเนี่ย เธอต้องร้องกรี๊ดๆ อยากกลับกรุงเทพฯ ถึงจะถูก” คนที่เดินตามหลังมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะๆ
อาทิตายักไหล่ให้ ศอกซ้ายมีถังข้าวเปลือก แขนขวาจ้วงลงไปในถัง ได้เมล็ดข้าวมาหนึ่งกำมือก็หว่านไปบนดินแห้งๆ ไร้ความชุ่มชื่น ฝุ่นดินยังลอยขึ้นมาตอนที่เธอเดินฝ่ามันไป
“บอกแล้วว่าฉันถึก” ตอบแล้วส่งยิ้มให้เขา ในขณะที่เท้าก้าวไปเรื่อยๆ เมล็ดข้าวตกลงไปบนดินแห้งๆ ในทุกคราวที่เธอหว่านลงไป มองดูแล้วไม่น่าจะงอกขึ้นมาได้ “มันจะงอกหรือคุณ แห้งก็แห้ง” เธอตั้งข้อสังเกต มันควรต้องปลูกแบบที่มีน้ำสักนิดไม่ใช่หรือ
“แบบนี้แหละดีแล้ว นี่! หว่านดีๆ หน่อย หว่านแบบนั้นมันก็งอกเป็นหย่อมๆ ไม่เท่ากันพอดี”
“ก็ฉันหว่านไม่เป็นนี่ โอ๊ย! หนัก!” แล้วแม่สาวกรุงฯ ก็ทนไม่ไหว วางถังพลาสติกลงข้างเท้า คนอื่นยังหว่านกันได้เรื่อยๆ ดูแล้วน่าสนุก แต่เธอไม่ไหว ฝ่ามือถูกเมล็ดข้าวบาดจนเลือดซึม ผิวบางๆ หรือจะทานทนต่ออะไรแบบนี้
“ไง? ยอมแพ้แล้วเหรอ” เขาแกล้งถามด้วยเห็นมือขาวๆ ของหล่อนมีรอยแผลเล็กๆ เมล็ดข้าวเปลือกทั้งคมทั้งสาก หล่อนคงทนไม่ไหวกระมัง
“แพ้อะไร แพ้ที่ไหน ฉันแค่พักเหนื่อยต่างหาก” ว่าแล้วก็ดึงถังขึ้นมาห้อยศอกอีกครา ก่อนจะเริ่มหว่านข้าวอีกครั้ง ไม่ยอมบ่นถึงความเจ็บปวดของตัวเอง
ศราวิลมองคนที่เดินห่างออกไปแล้วยิ้มอย่างทึ่งๆ ความอดทนของหล่อนช่างไม่มีขีดจำกัดจริงๆ
“ดื้อเหมือนกันแฮะ มือเจ็บแต่ไม่ยอมบ่นสักคำ ใช้ได้” ว่าแล้วเดินตามหลังแม่สาวชาวกรุงไป การกระทำนั้นสร้างรอยยิ้มให้เกิดแก่เหล่าคนงานที่แลเห็น ไม่ว่าอาทิตาจะเดินไปทางไหน จะเห็นร่างของศราวิลตามไปติดๆ ตรงไหนหล่อนหว่านข้าวเบามือไป เขาก็ออกคำสั่งให้หว่านซ้ำ ตรงไหนหล่อนหว่านหนักมือบ้าง เขาก็บ่นให้หล่อนได้รำคาญ
“ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่ได้เรื่อง มันจะยากอะไรนักหนากะอีแค่หว่านข้าว” บุรุษหน้าคมบ่นสาวชาวกรุงฯ เข้าให้
คนที่โดนบ่นค้อนแล้วค้อนอีก เหงื่อเธอชุ่มเต็มหลัง ใต้หมวกนั้นร้อนเหมือนกำลังเอาหัวยัดใส่เตาอบ เหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าเธอไปหมด ให้ตายเถอะ นี่มันนรกชัดๆ
“ใครมันจะเก่งมาตั้งแต่เกิดล่ะ นี่มันครั้งแรกของฉันนะ ใครๆ ก็ต้องมี ครั้งแรก ด้วยกันทั้งนั้นแหละ”
คำว่า ครั้งแรก ของอาทิตาพาให้ศราวิลคิดต่าง ดวงตาคู่นั้นกะพริบปริบๆ ลำคอแห้งผากขึ้นมา คล้ายว่าคำว่า ครั้งแรก ของหล่อนกับเขามันคนละอย่างกัน
“พูดมากจริงๆ เหนื่อยบ้างไหมเนี่ย หยุดเถียงแล้วฟังฉันบ้างเถอะ ใครเขาจะอยากสอน สอนอะไรไม่เคยจำ เอาแต่เถียงฉอดๆ”
อาทิตากัดเม้มริมฝีปากไม่ยอมปล่อย โอเค...ก็ได้ เธอจะไม่พูดแล้ว