ข้าไม่ใช่หมอ

2531 คำ
ก่อนจะถึงวันนัดกับท่านลุงเหอ ซุนหวางและเสี่ยวฟงได้พากันไปหาซื้อรถม้าขนาดกลางเพื่อเอาไว้ใช้สอยหนึ่งคัน เขาเลือกคันที่ไม่ได้ใหญ่มากนักเอาแค่พอเหมาะกับพวกเขาสองคนเท่านั้น ซุนหวางเล็งไปที่ม้าตัวใหญ่เพราะคิดว่ามันน่าจะแข็งแรงที่สุดในหมู่พวกม้าที่มีอยู่ในคอก “คุณชายท่านนี้ข้าขอถามท่านหน่อยเถิด ท่านเลือกม้าเป็นหรือไม่” นายกองจงเหวินเจี๋ยเห็นการเลือกม้าของหนุ่มน้อยคนนั้นแล้วรู้สึกขัดใจยิ่งนัก เขาเห็นแล้วว่าหนุ่มน้อยสองคนนั้นมาเลือกซื้อรถม้าและกำลังหาม้าให้เหมาะกับตัวรถ แต่ม้าที่พวกเขาเลือกนั้นมันไม่เข้าตาเอาเสียเลย จะเลือกไปทำไมไอ้ม้าตัวใหญ่ที่มีแต่ไขมันนั่น วิ่งออกจากเมืองได้ไม่กี่ลี้มันก็เหนื่อยหอบแล้ว หากพวกเขาจะไปหูเจียงดังที่แอบไปได้ยินมา ม้าตัวนี้คงได้เป็นลมชักตายก่อนถึงหูเจียงแน่นอน “ข้าไม่รู้หรอกว่าตัวไหนมันดี แค่เห็นว่ามันตัวใหญ่และท่าทางจะแข็งแรงข้าก็เลยเลือกตัวนี้” นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่ซุนหวางได้พูดโต้ตอบกับบุรุษแปลกหน้าได้ยืดยาวขนาดนี้ “คุณชายจะไว้ใจให้ข้าเลือกม้าดี ๆ ให้หรือไม่ ข้าเป็นทหาร ข้าคุ้นเคยกับม้าที่สุดย่อมรู้ว่าม้าตัวไหนดีที่สุด” นายกองจงเหวินเจี๋ยเสนอตัวเข้าช่วยอย่างมีไมตรี “ขอบคุณท่านมากคุณชายข้าไว้ใจท่าน เช่นนั้นท่านเลือกม้าให้ข้าทีเถิด” ‘เฮ้อ...สายตาของข้าคงจะเหมาะกับการคัดแยกและเลือกสมุนไพรแค่นั้นกระมัง’ ซุนหวางบ่นให้กับตัวเองในใจ "ตัวนี้เหมาะกับรถม้าของท่านแล้วคุณชาย มันเป็นม้าฝีเท้าเร็วและเป็นม้าที่เอาไว้ลากสิ่งของโดยเฉพาะ ในกองทัพก็ใช้ม้าสายพันธุ์นี้แหละคุณชาย” จงเหวินเจี๋ยสาธยายถึงความพิเศษของม้าที่ตัวเองบรรจงเลือกให้อย่างดี ซุนหวางสำรวจและพิจารณาม้าตัวนี้อยู่พักหนึ่ง เป็นดังที่บุรุษแปลกหน้าผู้นี้กล่าวมา รูปร่างของม้าทั้งสองตัวแตกต่างมาก ม้าตัวที่เขาเลือกถึงแม้จะตัวใหญ่แต่ไม่มีกล้ามเนื้อเลย แต่ม้าตัวนี้หุ่นเพรียวงามตามตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามท่าทางจะแข็งแรงอย่างที่บุรุษผู้นั้นว่าจริง ๆ จะว่าไปม้าตัวนี้แพงกว่าที่ซุนหวางคิดไว้มากแต่เขาก็ไม่ได้เกี่ยงเรื่องราคาหรอกนะ สิ่งไหนที่ดีและจำเป็นต่อพวกเขามันย่อมคุ้มค่าที่จะจ่าย เมื่อได้ม้าตามประสงค์แล้วซุนหวางได้เอ่ยขอบคุณบุรุษแปลกหน้าที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันเลยแต่ยังใส่ใจถึงเพียงนี้ หลังจากนั้นซุนหวางยังได้ว่าจ้างคนขับรถม้าของคอกม้าเพื่อให้พาพวกเขาไปจับจ่ายหาซื้อของใช้สำหรับการเดินทางไกล ทั้งชุดใหม่ของพวกเขาสองคน และยังไม่ลืมที่จะซื้อใยฝ้ายและผ้าฝ้ายที่สามารถซับน้ำได้ดีอีกเป็นจำนวนมาก เดินทางครั้งนี้เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม จะไม่ให้มีสิ่งใดพลาดเป็นอันขาดแม้แต่เครื่องครัวก็ยังมีติดรถม้าเอาไว้ ทั้งข้าวสารอาหารแห้งเขาได้เตรียมเอาไว้พร้อมสรรพ “อาฟงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว” ซุนหวางบอกเมื่อได้ของทุกอย่างครบตามจำนวนที่จดเอาไว้ จากนั้นพวกเขาจึงกลับไปยังโรงเตี๊ยมเหลียนฮวา ยามอิ๋น[03.00-04.59 น.] “คุณชายตื่นเถิดขอรับ อีกสองเค่อเราก็จะออกเดินทางแล้วนะขอรับ” เฮ้อ...คุณชายของอาฟงทุกอย่างดีหมด เสียแต่ปลุกยากไปหน่อยและชอบนอนเป็นที่สุด เมื่อว่างจากการปรุงยาเมื่อใดหากไม่อ่านตำราคุณชายของเขาก็จะนอนอย่างเดียวไม่สนสิ่งใดเลย “เดินทางเช้าขนาดนั้นเชียวหรืออาฟง ไม่ใช่ว่ายามเหม่าหรอกหรือ” ที่คุยกันไว้กับท่านลุงเหอเป็นยามเหม่านี่นา [ยามเหม่า 05.00-06.59 น.] “เป็นเช่นนั้นขอรับคุณชาย แต่เมื่อคืนท่านลุงเหอเป็นคนมาบอกข้าด้วยตัวเอง จริง ๆ แล้วท่านลุงอยากเดินทางตั้งแต่เมื่อคืนนี้เสียด้วยซ้ำขอรับ ทำไมถึงรีบเดินทางนักก็ไม่รู้” เสี่ยวฟงก็สงสัยไม่ต่างกับนายของตนเช่นกัน พวกเขาคงจะมีเรื่องด่วนที่ต้องกลับไปทำถึงได้รีบขนาดนี้ ซุนหวางคิด จากที่กำลังงัวเงียเลยต้องตื่นเต็มตาแล้วรีบจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อไป “ยามอิ๋นก็ยามอิ๋น ข้าพร้อมแล้วไปกันเถอะ อาฟงใช้ผ้าปิดหน้าของเจ้าด้วย ดูเจ้าสิตัวเล็กนิดเดียวไม่เหมือนบุรุษสักนิด” “ได้ขอรับคุณชาย” เสี่ยวฟงค้อนน้อย ๆ ให้แต่ก็จำใจทำตามที่เจ้านายว่า ถึงแม้ในใจจะคัดค้านก็ตาม ‘โธ่...คุณชายหากข้าไม่เหมือนบุรุษแล้วคุณชายละขอรับ ตัวก็สูงกว่าข้าแค่นิดเดียวเองแต่หน้าตานั้นนางเซียนชัด ๆ’ ประโยคนี้เสี่ยวฟงไม่ได้พูดมันออกมา เพราะเคยพูดแล้วแต่โดนเจ้านายโกรธและไม่ยอมกินข้าวไปหลายวัน เสี่ยวฟงไม่อยากเห็นคุณชายของตัวเองป่วย ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะขัดใจ ไม่ใช่ว่าคุณชายของเขาเป็นคนเอาแต่ใจหรอกนะ ก็แค่เรื่องความงามเรื่องเดียวนี่แหละที่ทำให้คุณชายน้อยไม่ชอบใจ ‘เพราะมันจะนำพาความยุ่งยากมาให้’ ซุนหวางเคยพูดเอาไว้เช่นนี้ กลางยามอิ๋นพวกเขาก็เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง ซุนหวางมองเห็นปัญหาของท่านลุงเหอที่ไม่สามารถให้พวกเขานั่งรถม้าไปด้วยได้ เพราะในรถม้าของลุงเหอก็มีกันถึงห้าคนแล้วทั้งยังมีข้าวของอื่น ๆ อีก ถึงแม้รถม้าของท่านลุงจะใหญ่กว่ารถม้าของเขาก็ตามทีแต่มันก็ยังแออัดอยู่ดี โชคดีที่ลูกชายของท่านลุงเหอได้แยกตัวมาขับรถม้าให้กับเขา รถม้าคันนั้นจึงเหลือที่ว่างขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “เดินทางกันเถิดขอรับคุณชายยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” เหอ ชวนบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวล “ท่านลุงเหอท่านสบายดีอยู่หรือไม่ หากท่านไม่สบายบอกข้าได้นะข้าพอมียาอยู่บ้าง” “ข้าไม่เป็นไรขอรับแต่ลูกชายของข้า…” เหอชวนเหมือนจะบอกอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดต่อ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรขอรับคุณชายน้อย ข้าสบายดี ท่านพ่อเรารีบเดินทางกันเถิด” เหอเชียนรีบตัดบทเพราะเกรงว่าพ่อของตัวเองจะพลั้งปากพูดสิ่งที่เขาพยายามปกปิดเอาไว้ออกมา ‘อะไรของพวกเขากันสองพ่อลูกนี่ จะสบายหรือไม่สบายกันแน่’ ก็แค่สงสัยแต่ซุนหวางก็ไม่ได้ถาม ดังนั้นการเดินทางจึงเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ ตลอดสามชั่วยามพวกเราไม่ได้หยุดพักเลยสักครั้งแค่ชะลอให้ช้าลงบ้างเป็นบางครั้ง [1ชั่วยาม=2ชั่วโมง] “คุณชายน้อยอีกหนึ่งชั่วยามก็จะถึงเขตของหมูบ้านเฉียงแล้วเราจะพักม้าที่นั่นนะขอรับ” เหอเชียนบอกกล่าวกับซุนหวาง “อืม...แล้วแต่พวกท่านเถอะข้ายังไงก็ได้ พี่เหอเชียนท่านพอจะสอนวิธีบังคับรถม้าให้คนของข้าได้หรือไม่ ข้ายินดีจ่ายเพิ่มอีกสิบตำลึงเงินท่านจะว่าอย่างไร” “คุณชายน้อยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ แค่ที่จ่ายมาก็มากพอแล้วขอรับ ข้ายินดีจะสอนให้ไม่มีปัญหาขอรับ” เพราะได้รับค่าจ้างมาตั้งหนึ่งตำลึงทองแล้วกับการขับรถม้าให้ ซึ่งมันไม่ใช่งานที่ยากเย็นเลย เขาต้องทำงานกี่เดือนกันถึงจะได้จับตำลึงทองเหลืองอร่ามเช่นนี้ ดังนั้นเหอเชียนจึงไม่รับเงินที่ซุนหวางเสนอให้ จากนั้นเสี่ยวฟงก็ได้ไปนั่งข้าง ๆ คนขับเพื่อที่จะเรียนการบังคับรถม้าจากเหอเชียน เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้นซุนหวางก็เห็นเสี่ยวฟงไปนั่งแทนที่คนขับรถม้าเสียแล้ว เสี่ยวฟงเป็นคนหัวไวที่สุด บอกสอนสิ่งใดก็จดจำได้รวดเร็วแต่เสียอยู่อย่างเดียวร้องไห้เก่งไปหน่อย “อาฟงห้ามพาม้าวิ่งเข้าป่านะ คิก ๆ” ซุนหวางกระเซ้าเย้าแหย่คนของตนอย่างอารมณ์ดี น้อยครั้งนักที่ใครจะได้ยินเขาพูดอะไรเช่นนี้ ไม่สิไม่เคยมีใครได้ยินเลยต่างหาก “ฮิฮิ คุณชายกำลังดูถูกฝีมือของข้าหรือขอรับ” ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาเพิ่งจะได้ยินเสียงคุณชายหัวเราะเป็นครั้งแรกนี่แหละ ถึงจะพูดแค่เบา ๆ ก็เถอะแต่อาฟงก็ได้ยินนะ “ข้าพูดเตือนสติเจ้าต่างหากจะได้ไม่พลั้งเผลอ” “คุณชายข้างหน้านั่น เราใกล้ถึงหมู่บ้านเฉียงแล้วขอรับ”เสี่ยวฟงบอกเจ้านายด้วยน้ำเสียงที่เบิกบานยิ่ง หลังจากที่พักม้าได้หนึ่งชั่วยามและให้น้ำให้หญ้ากับม้าเรียบร้อยพวกคณะเดินทางก็ออกเดินทางต่อไป ผ่านการเดินทางมาแล้วห้าวันเสี่ยวฟงสามารถบังคับรถม้าได้อย่างไม่มีที่ติ ดูท่าทางจะเห่ออยู่ไม่น้อยจนไม่ยอมให้เหอเชียนได้จับบังเ**ยนเลย แต่ซุนหวางก็สังเกตเห็นว่าเหอเชียนมีอาการเหมือนคนป่วยหนักเขาจึงบอกให้เสี่ยวฟงหยุดรถม้า พอรถม้าที่ตามมาเห็นคันข้างหน้าหยุดพวกเขาก็เลยต้องหยุดตาม “พี่เหอท่านป่วยหรือ” ซุนหวางรีบถามไถ่เพราะท่าทางของเหอเชียนไม่น่าจะไหวแล้ว “คุณชายน้อย ข้า...” พูดยังไม่ทันจบเหอเชียนก็หมดสติไปก่อน เหอชวนเห็นเช่นนั้นจึงเดินมาหาบุตรชายด้วยความรีบเร่ง “คุณชายน้อยอาเชียนเป็นอะไรไปหรือขอรับ” “ท่านลุงเหอท่านต่างหากที่ควรบอกกับข้าว่าบุตรชายของท่านเป็นอะไร ตอนนี้เขาหมดสติเพราะพิษไข้ท่านต้องหาผ้ามาเช็ดตัวให้เขาหน่อย อาฟงเคลื่อนรถม้าไปหาร่มไม้ทีนะ ที่นี่แดดมันร้อนเกินไป” “ขอรับคุณชาย” จากที่คิดว่าจะรีบเดินทางจนกว่าจะค่ำ พวกเขาเลยต้องหยุดพักก่อนจะถึงเวลาที่กำหนดเอาไว้เพราะว่ามีคนล้มป่วยแบบกะทันหัน “คุณชายน้อยเราคงต้องพักที่นี่สักสองสามวันนะขอรับจนกว่าลูกชายของข้าจะดีขึ้น” ลุงเหอเข้ามาบอกกับซุนหวางทั้งสีหน้าและท่าทางก็ดูจะเป็นกังวลหนักไปยิ่งกว่าเดิม “แล้วท่านลุงเหอจะบอกข้าได้หรือยังว่าบุตรชายของท่านเป็นอะไร ข้าบอกแล้วว่าข้ามียา หากบอกความจริงข้าจะได้ให้ยาที่ถูกกับโรคที่เขาเป็น” ซุนหวางคาดคั้นเอาความจริงเพราะรู้สึกได้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้กำลังปิดบังอะไรอยู่ “ลูกชายของข้าโดนพวกอันธพาลทำร้ายมาขอรับ พวกมันขู่ไม่ให้พวกข้าขับรถม้าให้กับคุณชาย แต่เราก็อยากได้เงินค่าจ้าง พวกเราจึงได้ออกเดินทางอย่างเร่งรีบ อาเชียนคงจะเป็นไข้เพราะช้ำในขอรับ” เหอชวนก้มหน้าเล่าด้วยความรู้สึกผิด “ที่เขาเจ็บหนักเป็นเพราะข้าอย่างนั้นหรือ ท่านลุงเหอเอายาเม็ดนี้ไปบดให้ละเอียดแล้วผสมน้ำให้เขาดื่ม หลังจากนั้นสองชั่วยามก็มาเอาอีกเม็ดแล้วก็ทำเช่นเดิมให้เขาดื่มอีกครั้งเช็ดตัวให้เขาบ่อย ๆ ด้วยล่ะ” “ขอรับคุณชาย เอ่อ...คุณชายน้อย ท่านเป็นหมอหรือขอรับ” ‘หากคุณชายผู้นี้เป็นหมอจริง ๆ ทำไมถึงยังเด็กนักนะ’ เหอชวนคิดทั้งรู้สึกประหลาดใจยิ่ง “ข้าไม่ใช่หมอหรอก” ซุนหวางตอบออกไปทันที ก็เขาไม่ใช่หมอจริง ๆ นี่นา ไม่เคยร่ำเรียนจากอาจารย์ท่านใดด้วยซ้ำแค่คนปรุงยาแล้วจะเรียกว่าหมอได้ไหมล่ะ เช้าวันต่อมา...เหอเชียนที่ดูเหมือนอาการจะร่อแร่ก็กลับเดินเหินได้เป็นปกติ สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก อาการเช่นเหอเชียนพวกเขาเจอมาแล้วนักต่อนักบางคนถึงขั้นเสียชีวิตไปเลยก็มี แต่ไม่มีหรอกนะที่จะมาหายข้ามวันข้ามคืนเช่นนี้ “คุณชายน้อยขอบคุณมากขอรับ หากไม่ได้คุณชายข้าคงต้องแย่แน่ ๆ” “ขอบคุณอะไรกันพี่เชียน ที่ท่านต้องเป็นแบบนี้คงเพราะข้าเป็นต้นเหตุจริงไหม พวกมันกล่าวสิ่งใดกับท่านหรือพวกเราถึงได้เร่งเดินทางเช่นนี้” “ท่านพ่อกลัวว่ากลุ่มอันธพาลพวกนั้นจะตามมาขอรับ ถึงได้เร่งเดินทางให้ทันกลุ่มทหารที่กำลังเดินทางไปยังค่ายเมืองหน้าด่านขอรับ” “ทหารกลุ่มนั้นพวกเขาเดินทางแล้วหรือ” “ข้ารู้แค่ว่าพวกเขาจะเดินทางในวันเดียวกันกับเรา หาก จะให้ดีเราควรเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพราะฝีเท้าของม้าในกองทัพเร็วมากขอรับ ถึงแม้พวกเราจะเดินทางก่อนพวกเขาเป็นอาทิตย์พวกเขาก็ตามเราทันอยู่ดี” “แต่เราก็ไม่รู้ว่ากลุ่มทหารเหล่านั้นไปแล้วหรือไม่ แล้วพวกอันธพาลนั่นอีกพวกเขาจะตามเรามาจริง ๆ หรือ” ‘ทำไมนะการเกิดเป็นข้ามันถึงได้ยุ่งยากเช่นนี้’ เป็นซุนหวางรำพึงในใจอย่างเหนื่อยหน่าย ณ ที่แห่งหนึ่งบนเส้นทางเดียวกัน... “พวกเขาอยู่ที่ใดแล้วหรือเหวินเจี๋ย” “อยู่หลังพวกเราประมาณห้าลี้ขอรับ” “ทำไมพวกเขาถึงได้ชักช้านักนะ ให้คนของเราไปคอยดูลาดเลาเผื่อเกิดเหตุร้ายจะได้ช่วยพวกเขาทัน พวกอันธพาลนั่นมันมาแน่ใช่ไหม” แม่ทัพชิวหานถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง การจัดการกับกลุ่มอันธพาลครั้งนี้เขาจะไม่ให้พลาดอีกแล้ว “พวกมันมาแน่ขอรับท่านแม่ทัพ คราวนี้พวกมันเสร็จเราแน่” นายกองเหวินเจี๋ยตอบอย่างมาดมั่น “หึ ๆ ๆ ข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้มาสามครั้งแล้วนะแต่ก็ยังจัดการพวกมันไม่หมดสักที” แม่ทัพหนุ่มแขวะลูกน้อง ‘คราวนี้แหละน่าข้าจะเอาพวกมันให้น่วมคอยดูไปเถอะท่านแม่ทัพ’ เหวินเจี๋ยตอบกลับเจ้านายของตัวเองในใจ ขืนตอบออกมาเสียงดังแล้วเกิดพลาดท่าขึ้นมาละก็ ท่านแม่ทัพคงได้สมน้ำหน้าเขาอีกครั้งเป็นแน่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม