เป็นสะใภ้น้อยคุณชายสกุลอู๋
จวี้ชิงหรานไม่ได้กลับไปหาเหลียงเปียว เรื่องนี้ถูกคาดการไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ และแม่นางน้อยอยู่ในเรือนรับรองหลังของอู๋หยางเทียนได้สามวัน ซึ่งแน่นอนแม่นางน้อยไม่ชอบใจอย่างที่สุด และอดข้าวประท้วงอู๋หยางเทียน จนเขาต้องร้อนใจต้องสรรหาของอร่อย และเป็นคนป้อนอาหารให้นางกับมือตนเอง
“แม้แต่ไก่ขอทานเจ้ายังไม่กลืนลงท้อง หรือจะให้ข้าสรรหา หัวสิงโตราดน้ำแดง ไม่อย่างนั้นคงเป็นพระกระโดดกำแพง เจ้าถึงจะยอมกิน”
เด็กหญิงส่ายหน้า ไฉนอยากให้ผู้อื่นต้องยุ่งยากกับตนถึงเพียงนั้น “ข้าเพียงแค่ต้องการพบพี่เปียวและท่านป้าคัง”
ในที่สุดจวี้ชิงหรานก็ไม่ได้ปิดบังสิ่งต่างๆ ของตนต่ออู๋หยางเทียน ด้วยเมื่อเขาช่วยเหลือนาง และยังให้คนสืบข้อมูลเกี่ยวกับแม่นางน้อยด้วย ดังนั้นคงไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ล่วงรู้ อีกทั้งนางยังเป็นเด็กหญิง อย่างไรต้องแสดงให้เป็นเด็ก มิเช่นนั้นเรื่องต่อจากนี้อาจพลิกผลัน เมื่อผู้อื่นพบความผิดปกติ
“เจ้าจะได้พบเขา เพียงแต่ข้าอยากให้เด็กน้อย มีช่วงเวลาที่ดี กับคนพวกนั้น เหลียงเปียวพอใช้ได้อยู่หรอก แต่ป้าของเขา ดูเหมือนจะทำอาชีพไม่สุจริต ส่วนเถ้าแก่เนี้ยจู ที่เจ้าพยายามอยากสนิทกับนาง ข้าคิดว่า ถึงจะเป็นคนค้าขายแต่ไม่ใช่พวก ที่มีลิ้นสองเฉก นางคงพอช่วยเหลือเจ้าได้บ้าง”
อันที่จริงจวี้ชิงหรานอยากทำตนเป็นเด็กน้อยตาใส ไม่รู้ ไม่เห็นสิ่งใด และเอาแต่เล่นบทเจ้าน้ำตา ทว่าในภพปัจจุบันนางไม่ใช่คนอ่อนหัด หรือยอมแพ้ต่อสิ่งใด นางเชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ ดังนั้นเมื่อย้อนเวลามาอยู่ที่นี่ แม้ล่วงรู้หลายสิ่ง แต่คงไม่อาจบอกผู้ใด อย่างหมดเปลือกได้
“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านกล่าว อีกอย่างตัวข้า มีสิ่งใดที่ท่านต้องการเยี่ยงนั้นหรือ”
คำพูดคำจาจวี้ชิงหราน อาจไม่เหมือนเด็กหญิงทั่วไป แต่อู๋หยางเทียนหาได้ใส่ใจ เขาเข้าใจได้ว่านางฉลาด มีไหวพริบ และแม่นางน้อยเช่นนี้เป็นคนที่เขาโปรดปราณ “ข้าก็เพียงแต่อยากให้เจ้า อยู่กับคนที่ดี เรื่องมันเล็กน้อย เพียงเท่านี้”
จวี้ชิงหรานไม่อยากเชื่อน้ำคำเขา แต่พยักหน้าเออออไปด้วย
“เอาล่ะ ข้ามีธุระสักเล็กน้อย เจ้าอยู่ที่เรือนรับรอง อย่าได้ก่อเรื่อง หรือหลบหนีไปไหน หากข้ากลับมาแล้วไม่เห็นหน้า เชื่อได้เลยว่าเราต้องมีปัญหา ให้ต้องสะสางแน่”
“แล้วเมื่อใด คุณชายจะปล่อยข้าไป” เสียงเล็กๆ ถามไถ่ สีหน้าแจ้งชัดว่าอยากไปให้ห่างจากอู๋หยางเทียน
“เจ้าไม่เบื่อที่จะถามเรื่องนี้อีกหรือ”
จวี้ชิงหรานส่ายหน้า นางต้องการรู้จุดประสงค์อีกฝ่าย
“พี่ชายเจ้า ยังไม่หายดี เกรงว่าอาการไข้ของเขา แม้ไม่ใช่ไข้ป่าออกตุ่ม อย่างที่เจ้าตั้งใจตบตาผู้อื่น แต่มันอาจติดต่อกันได้ ดังนั้นอยู่ห่างไว้ นับว่าเป็นการดี”
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่สมควรอยู่กับท่าน เรามิใช่ญาติกัน และข้าไม่มีเงิน หากท่านต้องการ”
อู๋หยางเทียนขี้คร้านจะอธิบายอะไรยาวๆ จึงกล่าวตัดบท
“อยู่ใกล้ๆ ข้าสิดี เพราะข้ากำลังเตรียมเจ้า เพื่อให้เป็นสะใภ้น้อย ของคุณชายแสนดีสักคน”
จวี้ชิงหรานอยากต่อว่าอู๋หยางเทียน ทว่าสิ่งที่เกิดจากนั้น แม่นางน้อยกลับเพียงแต่พูดว่า “โอ้ ช่างน่ายินดี จนข้าอดตื่นเต้นเรื่องนี้ไม่ได้ กระนั้น แม้ชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่หวังเหลือเกินว่า คุณชายที่ท่านกล่าวถึง คงไม่ใช่คนสกุลอู๋!”
ยามบ่ายของวันเดียวกัน อู๋หยางเทียนหายตัวไป มีเพียงแม่นมผู้หนึ่งดูแลจวี้ชิงหราน อีกฝ่ายเข้มงวดสักหน่อย แต่ใจดี เพราะนอกจากอาหารที่นำมาให้จวี้ชิงหราน ยังมีเสื้อผ้าด้วย
“เสี่ยวหราน เสื้อผ้าพวกนี้ คุณชายสามสั่งให้ข้าเตรียมไว้สำหรับเจ้า แต่งแบบนี้ ก็ดูเหมือนบุตรีขุนนางในเมืองหลวงเชียวล่ะ”
จวี้ชิงหรานอดยิ้มตามไม่ได้ และนางหมุนตัวไปมา เสื้อผ้าชุดสีเหลืองสดใสนี้ เหมาะกับล่างเล็กๆ เสียจริง
“แม่นมฝาง ท่านให้ข้าไปหาพี่เปียวได้หรือไม่”
เด็กหญิงถามสตรีวัยกลางคนที่อู๋หยางเทียนส่งตัวมาดูแล
“หากข้าปล่อยเจ้าไป เกรงว่าคงรับผิดชอบไม่ไหว เด็กน้อย อยู่ที่เรือนรับรองนี้ ก็มีหลายสิ่งที่ทำให้เจ้าสุขสบายมิใช่หรือ” ฝางโหยวถาม
“แต่ข้ามีพี่ชาย และยังมีท่านย่า...” เอ่ยถึงจบ น้ำตาที่เคยเก็บกลั้นไว้ ก็เอ่อคลอหน่วย ภาพหญิงชราที่ใช้ตนเป็นประตู และเกราะกำบังไม่ให้จวี้ชิงหรานและเหลียงเปียว ต้องถูกลูกธนูยังติดตา คำสั่งเสียสุดท้ายก็ดังย้ำย้อนในหู
“เด็กหนอเด็ก เจ้ากับพี่ชาย หนีทหารเสอมาใช่หรือไม่ ข้าได้ฟังจากคุณชายสามแล้ว เอาล่ะ...ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด อย่าได้กลัว ภายใต้อำนาจสกุลอู๋ เจ้าย่อมมีข้าวกินอิ่ม มีเงินเดือนให้”
ฝางโหยวกล่าวไม่ทันจะจบดี ร่างสาวใช้รุ่นกลางอายุ 17ปี ก็โผล่มา ฝ่ายนั้นเป็นคนที่ชอบสอดแนมไปเสียทุกสิ่ง ด้วยนางเป็นหูเป็นตาให้แก่ม่านเจี่ย หรือฮูหยินรองสกุลอู๋
“แม่นมฝาง ข้าฟังสิ่งใดผิดหรือไม่ เด็กคนนี้จะมีข้าวกินอิ่ม ในเรือนของสกุลอู๋เช่นนั้นหรือ”
คนที่เอ่ยเสียงสูงๆ น่าหนวกหูนั่น นางคือ เฮียวเจา
“ฮึ แม่นางเฮียว ไฉนถึงได้มาป้วนเปี้ยนที่นี่”
“โถ แม่นมฝาง อย่าลืมสิ... ข้าคือสาวใช้คนโปรดของคุณชายสาม ระหกระเหินมาที่เมืองเจี้ยน ก็เพื่อปรนนิบัติใกล้ชิดยามค่ำคืน แล้วเช่นนี้ข้าสมควรรู้เห็นเรื่องที่มีหนูสกปรก เข้ามาสร้างปัญหาหรือไม่”
เฮียวเจาแม้ฐานะคือสาวใช้ แต่นางเป็นลูกของขุนนางระดับห้า แต่เดิมต้องการแต่งเป็นอนุของอู๋หยางเทียน แต่ไท่ฮูหยินเห็นว่า หลานตนอายุเพียง13-14 ปี ไม่อยากให้เร่งให้มีบุตรก่อนวัย กลัวหมกหมุ่นเกินไป จึงให้เฮียวเจาเป็นสาวใช้ห้องข้างไปเสียก่อน
“นี่ไม่ใช่ธุระของเจ้า อีกอย่างเสี่ยวหราน คือคนที่คุณชายสามให้ข้าฝึกนางเพื่อเป็น...”
ฝางโหยวกล่าวได้เท่านั้นก็หยุดปากตนเอาไว้ เรื่องดังกล่าว ยังมิอาจแพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้ ฝ่ายอู๋หยางเทียนก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ บิดาเขาเป็นบุรุษที่เข้มงวด การเดินทางมาเมืองเจี้ยนก็เพื่อศึกษากับปรมาจารย์กู้ ด้านแผนที่และกลไก
ทว่าเป็นตอนนั้นที่จวี้ชิงหรานทำตาโตมองฝางโหยวกับเฮียวเจาที่ขึ้นเสียงใส่กันไปมา พอสาวใช้รุ่นกลางส่งสายตาอาฆาตให้ เด็กหญิงจึงแสดงท่าตกใจอย่างน่าสงสาร ก่อนหลุดเสียงเล็กใสออกมา
“ขะ ข้า จะได้เป็นสะใภ้น้อย ให้คุณชายสกุลอู๋!”
เฮียวเจาตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน และนางตัวชาไปชั่วขณะ พอนึกถึงบางสิ่งได้ จึงโพล่งคำหยาบคาย ใส่จวี้ชิงหราน
“นังหนูผี ริอาจเป็นโสเภณีตั้งแต่เด็กเลยรึ ใครเสี้ยมสอนให้เจ้า เป็นสตรีไร้ยางอายเช่นนี้!”
ถ้อยคำของเฮียวเจารุนแรงเหลือเกิน จวี้ชิงหรานตระหนักได้แล้วว่า นับแต่นี้นางต้องพบเจอเรื่องใดบ้าง แต่การที่นางแกล้งเอ่ยไปว่าตนจะได้เป็นสะใภ้น้อย ก็เผื่อให้ตนได้มีเวลาตั้งตัวสักหน่อย เพราะนางยังไม่ต้องการเข้ามาที่เป็นส่วนหนึ่งของสกุลอู๋เร็วเกินไป นางสมควรได้มีเวลาหายใจหายคอให้สะดวก และอยู่กับเหลียงเปียว ก่อนที่เขากับนางจะต้องแยกจากกันไปชั่วชีวิต และการแกล้งหลุดปากเอ่ยเช่นนี้ ย่อมได้ผลสำเร็จ