บทนำ
บทนำ
แคว้นต้าหลู ในตำบลเมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก ที่ชื่อว่าเผิง เป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ เกือบห้าวันแล้วทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เสียงร้องไห้ พร้อมการคร่ำครวญร้องขอชีวิตของชาวบ้าน
ยามนั้น เด็กหญิงวัยหกขวบเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้ภาพตรงหน้าโหดร้ายเหลือเกิน
“หรานเอ๋อร์ ฟังย่า จงไปให้ไกลจากที่นี่ อย่าได้กลับมาอีก เมืองเผิงไม่เหลือสิ่งใดให้เจ้าต้องจดจำ!”
อิงเป่าเอ่ยเช่นนั้น ก่อนที่ร่างหญิงชราจะกระตุกไหวรุนแรง พร้อมกันนั้นมีกลิ่นคาวเลือดอบอวลขึ้นในอากาศ ฝ่ายพี่ชายข้างบ้านที่ชื่อ เหลียงเปียว พยายามดึงมือจวี้ชิงหราน หมายใจให้เด็กหญิงรีบหนีไปด้วยกัน ทว่าแม่นางน้อยยังตัดใจทำไม่ได้
“เสี่ยวหราน อยู่ที่อันตรายเกินไป ปะ... รีบไปกับพี่”
“แต่ท่านย่า เลือดไหล!”
ดวงตากลมโตมองคนที่ยืนตรงกรอบประตูไม้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นบานประตูมนุษย์
“ท่านย่าเป็นคนเก่ง นางกำลังจะปิดประตูให้เรา หากเสี่ยวหรานรีบตามพี่ไป เดี๋ยวจะได้กินของอร่อย และไม่ต้องห่วง นางจะตามเราไปแน่นอน” เหลียงเปียวเด็กชายวัยเกือบ 13 ปีบอก เป็นตอนนั้นที่เสียงวัตถุแหลบคมลอยฝ่าอากาศออกมา ก่อนที่คราวนี้มันจะปักเข้าทะลุหัวไหล่หญิงสูงวัย
ปลายแหลมของลูกธนูฝังทะลุหัวไหล่ร่างที่ขึงตนเป็นบานประตูมนุษย์ ภาพซึ่งปรากฏยามนี้ ช่างน่าพรั่นพรึง
“อ๊ะ... ท่านย่า!”
หญิงชราที่ใช้ร่างตนเป็นทั้งประตูและเกราะคุ้มภัยในเด็กทั้งสองคน ยามนั้นนางสั่นสะท้าน แต่มือทั้งสองข้างยังตรึงอยู่กับกรอบไม้ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงแหบแห้ง ทั้งยังต้องกลั้นเลือดที่เจียนจะพุ่งออกมาจากปากเอาไว้ด้วย
“ไป... หรานเอ๋อร์ของย่า ต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ และอย่าให้คนชั่วจับตัวได้” นางเอ่ยแล้ว จึงแยกเขี้ยวที่อาบไปด้วยเลือดสดๆ ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อไหล
เป็นยามนั้นที่เหลียงเปียว ซึ่งเป็นลูกของนายพราน และยังเคยเดินทางไปหลายที่ เขาได้เห็นศพคนตาย ทั้งสงครามที่ไร้ความปราณีมาไม่น้อย จึงรู้ว่ายามนี้หญิงชราเหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้าย
“ท่านย่า โปรดไว้ใจ ข้าจะพาเสี่ยวหราน ไปให้ห่างจากสงคราม และนางจะต้องไม่อดยาก”
เหลียงเปียวเอ่ย แล้วเอื้อมมือขึ้น เพื่อปิดดวงตาหญิงชราที่เบิกค้างอยู่ ในขณะเดียวกันเสียงม้า และกลิ่นไหม้โชยมาตามสายลม รวมถึงเสียงพวกทหารรับจ้าง ที่ร้องขึ้นว่า
“คนชราไร้ประโยชน์ ผู้ชาย และเด็กชายฆ่าให้หมด สตรีไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จับไปเป็นนางบำเรอ อย่าให้ผู้ใดรอดพ้น ชาวต้าหลู่ ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าแคว้นเสอ !”
จวี้ชิงหรานตื่นตระหนก แม่นางน้อยร้องไห้ น้ำตาอาบดวงหน้าเล็กซีดเซียว แต่ไร้เสียงสะอื้นอย่างที่ควรตะเป็น สาเหตุเพราะกำลังตกใจอย่างที่สุด
“มาเร้ว เสี่ยวหรานขี่หลังพี่” เหลียงเปียวออกคำสั่ง และอึดใจต่อมา จวี้ชิงหรานก็ตัวสั่นอยู่บนหลังอีกฝ่าย เด็กทั้งสองบ่ายหน้าเข้าไปในแนวป่าทึบ ด้วยเหลียงเปียวตั้งใจอำพรางตนจากพวกทหารรับจ้างของแคว้นเสอ
ยามนั้นหัวใจดวงน้อยๆ ทั้งสองดวง เต็มไปด้วยความกลัว และท้องร้องหิวเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะเกือบห้าวันแล้วที่ตำบลเผิง ถูกชาวทหารรับจ้างที่ป่าเถื่อนล้อมเอาไว้ กระทั้งท่านเจ้าเมืองออกไปแลกชีวิตเพื่อปกป้องผู้คน ทั้งต้องการยืดเวลาให้ทัพจากเมืองหลวงมาช่วย แต่อนิจจา สุดท้ายก็ต้านเหล่าทหารโฉดชั่วไม่ไหว และทัพหลวงนั้นเดินทางมาช้าเหลือเกิน
เมื่อทหารเสอบุกเข้าเมืองได้ ทุกชีวิตที่ไร้ประโยชน์ก็ปลิดปลิวเหมือนใบไม้ล่วง จวบจนหญิงชราพาจวี้ชิงหราน และเหลียงเปียวมาอยู่ที่บ้านร้าง หลบซ่อนได้เกือบสองวัน ก่อนถูกตามไล่ล่า และนางเป็นฝ่ายใช้ร่างตนยืนกั้นประตู เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กทั้งสองคนหนีเอาตัวรอด
“พี่เปียว...ท่านย่า ไม่หลับตา” นั่นคือภาพสุดท้ายที่จวี้ชิงหรานเห็น
“อย่าได้ห่วง เมื่อเราปลอดภัย พี่จะกลับมาจัดการเรื่องนี้ เสี่ยวหราน ข้ากับเจ้า ต้องไปให้ถึงเมืองข้างหน้า เราจะถูกทหารเสอ จับตัวไม่ได้เด็ดขาด เจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่”
จวี้ชิงหรานไม่ตอบ นางซุกหน้ากับแผ่นหลังเหลียงเปียว และน้ำตาอุ่นๆ ก็ไหลออกมาไม่หยุด แต่ดูเหมือนโชคร้ายไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น ในขณะที่เหลียงเปียวให้จวี้อี้หรานขี่หลัง เหล่าสุนัขป่าล่าเนื้อที่ถูกฝึกมาอย่างดีของพวกทหารรับจ้าง ก็ออกไล่ล่าพวกเขา หมายจะกัดเนื้อหวานๆ ให้จมเขี้ยว
ในความโชคร้ายและหนทางที่มืดมิดของเด็กทั้งสองคน ท้องฟ้ายังฉายแสงสว่างให้เห็น เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาพอดี ฝ่ายนั้นคือคนสกุลอู๋ ซึ่งไท่ฮูหยินเบื่อความวุ่นวายในจวนแม่ทัพ นางหวังอยากมาใช้ชีวิตเงียบสงบสักพัก กับหลานๆ พร้อมกันนั้นก็ดูแลพวกเขาระหว่างที่ศึกษาศาสตร์ต่างๆ กับปรมาจารย์กู้ ผู้รอบรู้เรื่องวิชาหมากกล และแผนที่
“เสียงร้องของเด็กใช่หรือไม่ เทียนเอ๋อร์”
“มิผิดจากนั้นท่านย่า เพียงแต่เราช้าเกินไปแล้ว เกรงว่าหากไม่รีบไปให้ถึงจุดหมาย อาจถูกพวกทหารเสอลอบโจมตี”
ลิ้มซือเฟย เป็นทั้งลูกสาวแม่ทัพเทพอาชา และสามีนางคือ แม่ทัพไร้พ่าย มีหรือที่นางจะเกรงกลัวสิ่งใด หากช่วยเหลือคนได้ก็นับว่าประเสริฐแล้ว
“หยุดรถเถิด ช่วยได้หนึ่งชีวิต ยังดีกว่า ไม่ทำสิ่งใด”
อู๋หยางเทียนไม่ชอบใจ แต่เขาฟังท่านย่าเสมอ ดังนั้นจึงบอกให้รถหยุด แล้วออกไปดู สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเบื้องหน้า
ยามนั้น สุนัขป่าหกเจ็ดตัวเตรียมกระโจนเข้าใส่เด็กชายร่างผอม และบนหลังเขามีแม่นางน้อย ที่ตัวสั่นจัด
“เป็นคนดีหรือร้าย ไฉนถึงถูกไล่ล่า หรือว่าขโมยของผู้อื่นมา”
เสียงอู๋หยางเทียน ทำให้เด็กหญิงหันไปมองเขา ในยามนั้น เหมือนว่าจวี้ชิงหรานได้พบกับเทพน้อย ผู้ที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือ ทว่าเป็นอึดใจต่อมา ที่เสียงของคนกำลังจะแตกเนื้อหนุ่มเอ่ยขึ้น
“หากยอมจ่าย 2 ตำลึงเงิน ข้าจะช่วยให้พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องถูกหมาป่ากัด!”
เมื่ออู๋หยางเทียนกล่าวเช่นนั้น จึงสร้างความโกรธแค้นต่อ
เหลียงเปียว
“บัดซบ เห็นอยู่ว่าพวกเราตกทุกข์ได้ยาก เหตุใดเจ้าถึงยังทำเรื่องไม่อายฟ้าดิน”
อู๋หยางเทียนยกยิ้มตรงมุมปากแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีคติประจำใจเสมอ ช่วยผู้อื่นย่อมต้องได้ผลตอบแทน!”
“ฮ่าๆ ๆ เช่นนั้น อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย ข้ากับน้องสาว ย่อมหาทางเอาตัวรอดได้”
ทั้งที่เหลียงเปียวกล่าวเช่นนั้น แต่สุนัขตัวใหญ่ ยังพุ่งเข้ามาหาเขา และชนอย่างแรงจนล้มหงายหลัง ส่วนอีกตัวหมายจะกัดที่ใบหน้าเหลียงเปียว หากเป็นตอนนั้นที่อู๋หยางเทียนขว้างกระสวยพุทราออกไป เพื่อสกัดมัน
“ครั้งนี้ข้าคิด 50 อีแปะ ก็แล้วกัน ราคาถูกเช่นนี้ หวังว่าจะมีจ่าย”
อู๋หยางเทียนยังไม่วายพูดก่อกวนคนที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน และจวี้ชิงหราน แม้จะเป็นเพียงแม่นางน้อย แต่รู้สึกได้ว่าคนตัวโตช่างไร้น้ำใจ
“ข้ากับพี่เปียว ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน” นางเอ่ยแล้วยื่นมือไปคว้ากิ่งไม้เล็กๆ เพื่อใช้มันตีสุนัขป่าที่แยกเขี้ยวขาวๆ ข่มขู่
และในช่วงที่น่าหวาดเสียว อีกร่างหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกับอู๋หยางเทียนโผล่ออกมา ก่อนกระโดดเข้าไปร่วมวงด้านล่างเพื่อช่วยสกัดสัตว์เดรัจฉาน
“อย่าได้กังวล สกุลอู๋มิสิ้นคนดีหรอก” อู๋อี้ซานเอ่ยจบ ก็ใช้แส้ยาวที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อหวดไปข้างหน้า และเป็นเหตุใดเหล่าสุนัขร้องเสียงหลง
ยามนั้นดวงตากลมโตของจวี้ชิงหรานมองไปที่อู๋อี้ซาน และแม่นางน้อยปลื้มใจเหลือเกินที่คนผู้นี้ยื่นมือช่วยเหลือ
“ข้าไม่มีเงินให้ท่าน” จวี้ชิงหรานเอ่ย แม่นางน้อยถูมือเล็กๆ ซึ่งชื่นด้วยเหงื่อไปมา
“อย่ากังวล บุญคุณสิบปีทดแทนไม่สาย หากวันใดได้เจอกันอีก หวังว่าเจ้าจะจำ อู๋อี้ซานผู้นี้ได้”
แม่นางน้อยยิ้มกว้าง และบอกอีกฝ่ายว่า
“นี่พี่เปียว ส่วนข้าชื่อ เสี่ยวหราน น้ำใจผู้มีพระคุณพวกข้าจะไม่ลืม”