“ส่วนตรงโซนนี้...ก็จะเป็นโซนพักของพนักงานนะคะ”
ดวงตาหลากหลายร้อยคู่จดจ้องมองเราทั้งสองคนไม่วางตามาเป็นเวลากว่าชั่วโมงเศษแล้วเห็นจะได้
ซึ่งฉันก็สัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดใจของพวกเขาเหล่านั้นที่จดจ้องมองเราทั้งสอง เพราะจริง ๆ แล้วฉันไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลยที่จะต้องพาพนักงานใหม่ที่เป็นเพียงแค่หัวหน้าแผนกมาเดินทัวร์บริษัทอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้
แต่ก็เพราะว่าเธอคนนี้พิเศษกว่าคนไหน ๆ เอาจริง ๆ ถ้าตัดเรื่องผู้ชายชั่ว ๆ คนนั้นออกไป อย่างไรเสียฉันก็คงจะเป็นคนเสนอตัวพาเธอเดินทัวร์เองอยู่ดี...เพราะอย่างที่บอกว่าหล่อนน่ะสวยมาก วงเล็บว่าตรงสเปคของฉันสุด ๆ
ผิวขาวดุจน้ำนมผุดผ่องรับกับผมสีดำขลับยาวสลวยอย่างสาวเอเชียแท้ ๆ นั้นทำให้ลูกครึ่งฝรั่งผมทองอย่างฉันนั้นนึกอิจฉา และยิ่งดวงตาของเธอตี่เล็กไม่ได้กลมโตด้วยนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ อยากขอบคุณฟ้าจริง ๆ ที่ส่งเธอคนนี้มาให้ฉันได้พบเจอ
แม้ว่าฉันจะแต่งงานมีสามีแล้วเป็นตัวเป็นตน แต่สันดานของฉันมันชอบผู้หญิงอย่างไรมันก็ยังคงเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนผัน...
“ส่วนตรงนี้เป็นห้องเก็บเอกสารค่ะ...คิดว่าหัวหน้าแผนกบัญชีอย่างคุณคงจะได้เข้ามาบ่อย ๆ เอกสารการเงินทุกอย่างจะถูกรวบรวมเก็บอยู่ที่ห้อง ๆ นี้ทั้งหมด”
เจ้าหล่อนพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส
แต่ฉันแอบจับสังเกตได้ว่าในแววตาของเธอนั้นแฝงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในอะไรหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็คงจะคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องราวของเธอกับผู้ชายชั่ว ๆ คนนั้นฉันถึงได้ทำดีกับเธอเป็นแน่แท้
ฉันเปิดประตูห้องเก็บเอกสารให้อ้ากว้างเพื่อเปิดให้คนด้านข้างได้มองเห็น ในห้อง ๆ นี้มันก็จะมืด ๆ ชื้น ๆ หน่อยซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมต้องเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนักเพราะนักออกแบบเป็นคนแนะนำกับฉันเองว่าห้องที่เก็บกระดาษเป็นจำนวนมากมันควรจะต้องเป็นเช่นนี้
“ในห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดนะคะ...เป็นสถานที่เดียวที่ไม่มีกล้องติดอยู่ในห้อง”
“ทำไมล่ะคะ?”
แววตาของเจ้าหล่อนฉายแววเป็นประกายอย่างใคร่รู้
ซึ่งฉันก็ยกยิ้มออกมาในทันใดกับทีท่านั้นของหล่อน และนึกคิดเอ็นดูเจ้าหล่อนเสียเต็มเปาราวกับตัวเองเจอตุ๊กตาตัวใหม่ที่โปรดปรานอย่างไรอย่างนั้น
“เพราะฉันรู้ว่าพนักงานของฉันเขาอยากมีพื้นที่ส่วนตัวกันค่ะ”
ฉันเอ่ยบอกด้วยแววตาเป็นประกายสุกใส
ขาของฉันค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในห้องก่อนจะหันกลับมาสบมองใบหน้าของเจ้าหล่อนที่ยังคงยืนอยู่ตรงที่เก่า ฉันกวักมือให้เจ้าหล่อนเดินตามเข้ามาราวกับมีเรื่องสนุก ๆ ข้างในรออยู่ ซึ่งเจ้าหล่อนก็ทำหน้าฉงนแต่สุดท้ายก็ยอมเดินตามเข้ามาแต่โดยดี
“ปิดประตูด้วยค่ะ”
หล่อนยิ่งทำหน้าสงสัยหนักเข้าไปกันใหญ่
“พื้นที่ส่วนตัวยังไงล่ะคะ...จะมีแค่คนที่อยู่ในห้องนี้ตอนช่วงเวลานั้น ๆ เท่านั้นถึงจะรับรู้ได้ว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่ในห้องนี้”
แววตาของฉันฉายแววเป็นประกายสุกใสอย่างนึกสนุกสนาน
ซึ่งเจ้าหล่อนก็ไม่ได้เอื้อมมือไปปิดประตูตามคำบอกกล่าว ฉันจึงเป็นคนเดินไปปิดประตูบานนั้นเองจนความมืดค่อย ๆ เข้าปกคลุมพร้อมกับความเหน็บหนาว
ฉันพาเธอเดินเข้าไปด้านในเรื่อย ๆ ตามทางเดินที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ในห้องนี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าโครงเหล็กที่เป็นชั้น ๆ กับเอกสารที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบตามป้ายที่ติดเอาไว้บ่งบอกว่าเอกสารนี้เป็นเอกสารจำพวกอะไร
เราเดินเข้ามากันได้สักพักในที่สุดฉันก็หยุดฝีเท้าของตัวเองลงให้คนที่เดินตามหลังมานั้นหยุดชะงักตามแต่คงไม่ทันการเพราะหล่อนชนแผ่นหลังของฉันเข้าให้อย่างจัง
“ขะ ขอ...ว๊าย!”
“ชู่ว! อย่าเสียงดังสิคะ”
ฉันยกยิ้มมุมปากในท่าที่แขนข้างหนึ่งของตัวเองยันกับโครงเหล็กเอาไว้และแผ่นหลังของปัญฑารีย์นั้นติดกับโครงเหล็ก
ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอหันมามองทางฉัน และแววตาของเจ้าหล่อนก็เปี่ยมล้นไปด้วยคำถามผสมกับความตกใจอย่างไม่มีปิดบังให้ฉันยกยิ้มจนตาปิดอย่างนึกสนุกสนาน
รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนมัธยมปลายเลยแฮะ...
“คะ คุณจอร์เจียจะทำอะไร...”
“พนักงานของฉันชอบแอบมาทำเรื่องอย่างว่ากันบ่อย ๆ ในห้องนี้ค่ะ”
“!!!”
ใบหน้าของเธอแดงก่ำลามไปยันใบหูให้ฉันได้พบเห็นแม้ว่าที่ตรงนี้ไฟจะไม่ได้สว่างอะไรมากนัก
“ที่ตรงนี้ทั้งมืด...”
“…”
“ทั้งเย็น...”
“...”
“แถมยังไม่มีกล้องวงจรปิดอีก”
ฉันยกมือขึ้นไปลูบกรอบหน้าของหล่อน พลางสายตาของตนก็กดลงต่ำจดจ้องมองริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างไม่มีปิดบัง
“คุณคิดว่ามันเป็นที่ ๆ ดี...ที่ควรมีอะไรกันหรือเปล่าล่ะคะ?”
“อะ เอ่อ...”
เธอหลุบสายตาลงต่ำ ทั้งยังใบหูแดงระเรื่อจนฉันนั้นเผยยิ้มกว้าง
ฉันไม่ใช่นางเอกในละครที่จะมานั่งร้องไห้เสียใจกับการกระทำของผู้ชายชั่ว ๆ คนหนึ่ง รวมไปถึงฉันจะไม่เป็นคนที่ถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว...ฉันจะต้องทำให้เธอรู้ว่าฉันไม่ได้อ่อนแอรอให้เธอมาเย้ยหยันฉันได้อยู่เพียงฝ่ายเดียวอย่างเด็ดขาด
“ปากของคุณ...น่าจูบจังเลยนะคะ”
ฉันพูดออกไปเพื่อหวังให้คนตรงหน้าเขินอายจนยอมพ่ายแพ้กันในที่สุด
แต่แล้วอยู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ทำให้ฉันนึกประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง...
“จริงเหรอคะ?”
เธอเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่ใบหน้ายังก้มลงต่ำอยู่อย่างนั้น
ก่อนในวินาทีต่อมาเธอจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉันอีกครั้ง แววตาของเธอได้แปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นสัตว์ร้าย ทั้งยังยกยิ้มมุมปากขึ้นมาให้ฉันเผลอสำรวจใบหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเธออย่างนึกสนใจ
“เคยมีผู้ชายคนหนึ่ง...พูดแบบนี้กับฉันบ่อย ๆ เหมือนกันค่ะ”
และเธอก็ฉายยิ้มออกมาจนเต็มใบ
หมดคราบเจ้ากระต่ายน้อยที่เป็นผู้ถูกกระทำเมื่อครู่...และแปรเปลี่ยนมาเป็นแม่เสือสาวจนฉันเผยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
น่าสนใจกว่าที่คิดแฮะ...
“แฟนหนุ่มคนปัจจุบันของฉัน...ชอบพูดบ่อย ๆ น่ะค่ะว่าริมฝีปากของฉันน่าจูบ”
ฉันใช้ลิ้นดุนแก้มของตัวเองอย่างเข้าใจในทันทีว่าแฟนหนุ่มคนนั้นที่เธอกล่าวถึง...คือสามีของฉันนั่นเองไม่ใช่ใครอื่น
ซึ่งเธอกำลังพยายามทำให้ฉันโมโห ฉันพอจับสังเกตได้จากใบหน้ายั่วเย้าของเธอ...แต่ขอโทษที่ความรักของฉันที่มีให้ต่อผู้ชายคนนั้นมันติดลบเกินไปเสียแล้ว ฉันจึงไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือรู้สึกเสียใจกับคำพูดนั้นของเธอเลย
กลับกันแล้ว...ฉันกำลังรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากับใบหน้ายั่วเย้าของเธอที่ตอนนี้กำลังแสดงต่อฉันอยู่
“แฟนหนุ่มของคุณเนี่ย...โชคดีจังเลยนะคะ”
ฉันว่าพลางลดมือของตัวเองลงให้กลับมายืนตัวตรงดังเดิม
“ฉันอยากลองสัมผัสริมฝีปากของคุณบ้างจังค่ะ...คุณจะรังเกียจหรือเปล่า?”
เจ้าหล่อนแปรเปลี่ยนใบหน้าเป็นมึนงงชั่ววินาทีและก็พยายามกลับมาเป็นแม่คนเก่งดังเดิมราวกับคนที่กำลังประมวณผลกับคำพูดของฉัน
“ฮ่า ๆ ฉันล้อเล่นค่ะ”
ก่อนที่ฉันจะไขให้กระจ่างถึงความหมาย...แม้ว่าจริง ๆ แล้วฉันจะหมายความอย่างที่พูดก็ตามที
“นั่นสินะคะ...”
“…”
“คุณคงไม่อยากยุ่งกับคนที่มีแฟนแล้วหรอกเนอะ”
“ฮ่า ๆ”
ฉันหัวเราะไปตามเกมของเธอ
ซึ่งเราทั้งสองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กันในบรรยากาศมาคุที่เราทั้งคู่ต่างก็สัมผัสได้ถึง
“ฉันไม่สนหรอกนะคะว่าคุณจะมีแฟนหรือไม่มี”
คราวนี้เป็นฉันที่จดจ้องมองใบหน้าของเธออย่างจริงจัง
“ต่อให้คุณจะแต่งงานมีสามีไปแล้ว...ถ้าคนอย่างฉันมันอยากได้ซะอย่าง ฉันก็ไม่สนใจเรื่องอะไรพรรค์นั้นหรอกค่ะ”
เพราะคนที่ซื่อสัตย์อย่างฉัน...หัวใจมันเคยแหลกสลายอย่างไม่มีชิ้นดีมาแล้ว
“อะไรนะคะ?”
เธอเอ่ยถามอีกครั้งหน้าตาย
ซึ่งฉันก็เก็บเอาคำพูดนั้นให้มันอยู่ภายในใจ และฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเธอไม่ใช่คนโง่...และเธอคงจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันเอ่ยบอกทุกสิ่งอย่าง
“คนที่มันอยากจะแย่งมันไม่สนหรอกนะคะว่าคน ๆ นั้นจะแต่งงานหรือมีสามีภรรยาไปแล้วหรือเปล่า...”
“…”
“ตราบใดที่แก้วยังซ้อนกันได้หลายใบ...”
“…”
“ก็อย่าหวังเลยค่ะว่าใจของคนจะมีรักแค่หนึ่งเดียว…”
ฉันพูดจบก็จัดการกับสูทของตัวเองให้เรียบร้อยเพราะเมื่อครู่มันยับหน่อย ๆ ที่ฉันเอื้อมมือไปจับกับโครงเหล็กเพื่อที่จะกลั่นแกล้งเธอ
“เรื่องนี้คุณคงรู้ดีกว่าใคร...ใช่ไหมคะคุณปัญฑารีย์?”
ฉันเงยหน้าสบมองเธอพร้อมกับยกยิ้มออกมาจนเต็มใบในขณะที่เอ่ยถามประโยคนั้นกับเธอ
แต่เธอกลับจดจ้องมองใบหน้าของฉันกลับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับว่าตนเองนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของฉันเลยแม้เพียงแต่น้อย
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ แล้วก็ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ...อนาคตคุณภรรยาของฉัน”
และฉันก็เดินจากเธอออกมาในทันที โดยไม่หันกลับไปสบมองเจ้าหล่อนอีกเลย...ว่ากำลังแสดงสีหน้าหรือท่าทางเช่นไรอยู่
ฉันว่าฉันเริ่มจะสนใจเธอขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว...ปัญฑารีย์
แววตาของเธอเวลาจดจ้องมองฉันกลับราวกับแม่เสือสาวตัวร้ายแบบนั้น...หวนให้ฉันนึกถึงตัวเองเมื่อตอนมัธยมปลายจนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยากเล่นกับเธอเข้าให้อย่างจัง