หมีหลิงอึ้งจัด ฟังคำพูดของเตียวหยวนหยวนแล้ว ก็เหมือนได้ยินสตรีในตรอกโคมเขียวพูดเล่นหัวกัน!
“โอ๊ะ จะดีอย่างไรเจ้าคะคุณหนู!”
“อืม มีทหารมาอยู่ในหมู่บ้าน ย่อมเท่ากับการช่วยรักษาความปลอดภัย”
หมี่หลิงส่ายหน้า เตียวหยวนหยวนช่างเสียชาติเกิดที่ได้เป็นคุณหนู ความคิดความอ่านนางห่างไกลจากบุตรคนอื่นของใต้เท้าเตียวนัก
“คุณหนูลืมแล้วหรือไรว่ากองทัพเดินด้วยท้อง”
“ข้าทราบ คนก็ต้องกิน ต้องถ่ายหนักถ่ายเบา”
หมี่หลิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ก่อนกล่าวต่อ
“แต่ท้องของพวกเขา ฝากไว้กับหมู่บ้านเราเจ้าค่ะ”
“หา เจ้าพูดเป็นเล่น!”
“นี่คือเรื่องจริง มิเช่นนั้น บ่าวจะร้อนใจรีบปลุกให้คุณหนูหยวน ลุกขึ้นมาสะสางงานหรือ”
เตียวหยวนหยวนนึกถึงสิ่งที่รับรู้ ในเรื่องราวที่เคยอ่านผ่านตา ชีวิตของนางเป็นหญิงงามแสนอาภัพ ต้องดูแลคนในครอบครัว มีการชิงรักหักสวาทกับเตียวเยว่ซือส่วนเรื่องการดูแลเหล่าทหารอะไรเทือกนั้น ผู้เขียนไม่ได้ลงรายละเอียดอันใด เขียนไว้หยาบๆ แบบนิยายแนวเรืองอุ่นเตียงจัดหนัก ว่ามันเป็นนิยายรักที่อยู่ท่ามกลางไฟสงคราม จบอย่างสุขนิยม เพียงแต่นางร้ายของเรื่องได้รับผิดกรรมที่ก่อไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามันร้ายแรงเข้าขั้นแย่ ทว่าเมื่อนางผู้มาจากโลกปัจจุบันฟื้นขึ้นมาในร่างของตัวละครเตียวหยวนหยวน นางก็จะพลิกบทบาทครั้งสำคัญ นอกจากไม่ตายอย่างอนาถ นางยังจะถล่มศัตรูของนางให้ราบคาบเสียด้วย
“ละแล้ว พวกเขามีทั้งหมดกี่คน”
“เท่าที่ข้ารู้ ทัพหน้าราวๆ สามหมื่นชีวิต”
“บัดซบ! แค่คนในสกุลเตียว ข้าก็เหนื่อยยากต้องรับมือ นี่มาตั้งสามหมื่นคนข้าจะมีปัญญาต่อกรอย่างไร”
หมี่หลิงพยักหน้าเข้าใจ และเอ่ยต่อ “แต่กองทัพทั้งหมด ที่จะเดินทางมาหมู่บ้านเรา คือสิบหมื่นชีวิตนะเจ้าคะ และคุณหนูยังจำสัญญาที่ลงนามไว้ก่อนที่ใต้เท้าเตียวจะลงเรือไปเมืองเจียงซานได้หรือไม่ คุณหนูจะดูแลพืชผักของสกุลเตียว และส่งไปให้กองทัพผู้มาเยือนอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ ข้าวสาร เนื้อสัตว์ ด้วยเจ้าค่ะ”
“พูดเป็นเล่น ข้าจะไปมีปัญญาทำเช่นนั้นได้หรือ”
“นั่นสิเจ้าคะ วันนั้นบ่าวได้ยินแล้วแทบจะล้มทั้งยืน ถึงต้องการเอาชนะฮูหยินรองมากเพียงใดก็ไม่ควรทำอย่างนั้น จริงอยู่คุณหนูมีท่านชายคอยเป็นที่ปรึกษา รวมถึงพวกคนงานที่มาจกสกุลตู้ แต่...เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย เมื่อก่อนหน้านี้คุณหนูเอาแต่...คอยส่องกระจก และพูดถึงเรื่องงิ้ว กับการไปเที่ยวเตร่ที่ตลาดในเมือง อ่อรวมถึงคอย...เลือกชุดสวยๆ แต่งให้ท่านดู!”
ได้ฟังหมี่หลิงร่ายยาวแล้วเตียวหยวนหยวนก็อยากเอาเท้าขึ้นก่ายหน้าผากตัวเอง และเป็นยามนั้นที่นางเห็นภาพ ในวันที่ตนโผล่เข้ามาในร่างนี้ก่อนจะล้มป่วยเป็นหนที่สอง ซึ่งนางหาญกล้าเล่นนอกบท หวังจะทำให้นางร้ายผู้นี้ ยึดอำนาจการดูแลหลังบ้านมาเป็นของตน ทว่าช่างเป็นเรื่องน่าหัวเราะ เพียงแค่นางออกปากจะดูแลสวนผัก และโรงเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นสินเดิมของมารดา กลับไม่มีใครขัดขวาง ดังนั้นก่อนที่นางจะนอนหลับยาว ภาระอันใหญ่หลวงในการดูพืชผัก และสัตว์เลี้ยงจึงตกเป็นของนางโดยปริยาย ย
หญิงสาวบีบขมับที่ปวดตุบๆ ของตน ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้ง “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้สัญญาฉบับนั้นอยู่ที่ใด ข้าจะได้รีบนำมันไปเผาทิ้งเสีย”
สาวใช้ฉงนกับสิ่งที่เตียวหยวนหยวนถาม แต่นางไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใด ตอนนั้นมีทหารสองคนวิ่งมาตรงมายังรถลากของพวกนาง หนึ่งในสองเอ่ยถามว่า
“พี่สาวทราบหรือไม่ เรือนของใต้เท้าเตียวไปทางใด”
หมี่หลิงมัวแต่ขัดเขินจัด จนไม่อาจตอบคำถามใด เตียวหยวนหยวนจึงเอ่ยแทน
“ทหารทั้งสองท่านมีสิ่งใดที่เรือนข้าอย่างนั้นหรือ”
ปี้โหลวมองสตรีใบหน้าขาวนวลเนียนดุจไข่ต้มปลอกเปลือก ก่อนประสานมือคำนับอย่างให้เกียรติ เขาพอจะเดาออกว่าหญิงสาวสวมชุดเหลืองสดใส ย่อมเป็นคุณหนูจากสกุลใหญ่
“โอ้ ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเพียงแต่ต้องรีบไปส่งหนังสือขององค์ชายสี่ เพื่อรายงานเรื่องต่างๆ ให้ใต้เท้าเตียวทราบ”
“บิดาข้าไม่อยู่ ไปราชการต่างเมือง”
“เอ่อ...เป็นเพราะพวกเราเดินทางเร่งด่วนจึงถึงก่อนกำหนด อย่างไรข้าต้องส่งจดหมายไปที่เรือนของใต้เท้าเตียว เพื่อแจ้งสิ่งต่างๆ” ปี้โหล่วอธิบาย ท่าทางเขายังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวันทั้งคืน
“เช่นนั้น เจ้าก็เดินทางตามถนนสายนี้ราวๆ ครึ่งลี้ จะพบกับร้านขายสมุนไพร จากนั้นเรือนอันใหญ่โตของข้าก็หาไม่ยาก”
“ขอบคุณคุณหนู เช่นนี้ข้าไม่รบกวนแล้ว”
ปี้โหลวเอ่ยจบจึงค้อมตัว และขึ้นม้าตัวโตจากไป
“โอ้ คุณหนู ดูเอาเถิด แค่ผู้ติดตามขององค์ชายสี่ ยังรูปงามเพียงนี้ แล้วหากเป็นตัวเขาเล่า จะทำให้ใจข้าสั่นไหวเพียงใด”
“ฮึ หมี่หลิง ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ บุรุษผู้นั้นถึงจะหล่อเหลาเพียงใดก็ต้องสยบอยู่แทบเท้าข้า และไม่เพียงสยบเท่านั้น เขายังมีวาสนาดี ได้เป็นบิดาของบุตรในท้องข้าด้วย!”
เตียวหยวนหยวนเอ่ยอย่างไม่ทันระวังปาก ด้วยเรื่องราวที่นางรู้ มันผุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู กะ กล่าวอันใด บ่าวกลัวจนจะถ่ายเบาเรี่ยราดแล้ว!”