เรื่องน้ำเน่าในเมืองหลวง [ปลาย]

1926 คำ
ต้นฤดูกู่หยู่ วันนี้เป็นวันกำหนดเดินทางเข้าเมืองหลวงของสองพ่อลูกสกุลหยวน ต้นท้อกลายจากเบ่งบานเข้าสู่การร่วงโรย กลีบดอกสีชมพูซีดปลิวโปรยตามกระแสลมประดุจเกล็ดหิมะสีนวล ปีนี้ดูท่าหยวนจื่ออี๋คงไม่มีโอกาสได้กินผลท้อร่วมกับพวกเขาอีกแล้ว “อาอี๋ช่างแล้งน้ำใจยิ่งนัก” เด็กชายร่างอ้วนซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บ่นพลางใช้มือขยำใบหญ้าข้างตัวเพื่อระบายความขัดใจ ใบหน้าบึ้งตึงงอง้ำเต็มไปด้วยความน้อยใจ “ต้าหงอย่าตัดพ้ออาอี๋เลย” อาเฉาพยายามปลอบใจอีกฝ่าย “ช่วงนี้บิดาของนางป่วยหนักต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อาจจะปลีกเวลามาร่ำลาพวกเราไม่ได้” ต้าหงหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม “เจ้ากำลังบอกว่าพวกเราไม่สำคัญสำหรับนาง?” เด็กหญิงร่างผอมแห้งไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จึงเบนความสนใจไปยังเด็กชายอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งกอดเข่าเงียบๆ มาตั้งแต่ต้น “เสี่ยวจู เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดอะไรเลย” “ข้า...” เขาอึกอักก่อนจะฟุบหน้าลงบนเข่าตนเอง กล่าวเสียงอู้อี้ไร้น้ำหนัก “ข้าไม่รู้” อาเฉากะพริบตามองเขา “อย่าบอกนะว่าเจ้าเชื่อที่ผู้ใหญ่เขาพูดกัน!” “ข้าไม่เชื่อหรอก!” ต้าหงพูดเสร็จก็ผุดลุกขึ้นจากพื้นแล้วยกมือเท้าสะเอว “อาอี๋จะเป็นตัวประหลาดไปได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ! ไม่เชื่อเด็ดขาด!” “ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน!” อาเฉาผสมโรงด้วยอีกคน ก่อนจะส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นผู้ที่นางกำลังคิดถึงเดินมาแต่ไกล “อาอี๋!” เรียกเสร็จก็รีบวิ่งเข้าไปหาร่างเล็กในชุดเด็กผู้ชายอย่างกระตือรือร้น “อาเฉา” หยวนจื่ออี๋พยักหน้าขณะที่รับอ้อมกอดจากสหาย ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านปลอบประโลมหัวใจที่อ่อนล้ามาหลายวันให้ค่อยทุเลา ไม่อยากเชื่อว่าบทจะจากลาก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเสียเหลือเกิน ก่อนหน้านี้นางยืนกรานกับพวกต้าหงแท้ๆ ว่าจะไม่ไปเมืองหลวง แต่นี่กลับกลายเป็นว่านางต้องไปก่อนใครเพื่อน ต้าหงหันไปยังเด็กหญิงร่างเล็กที่เขาหลงรักมาโดยตลอด ทันทีที่สบตาก็หน้าแดงอายม้วนหันหนีไปอีกทาง จะมีก็แต่เสี่ยวจูที่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างนิ่งงัน สามวันที่ผ่านมานี้หยวนเสียนกับหยวนจื่ออี๋ไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิม หลังคาที่พังทลายลงมาก็ซ่อมเพียงเล็กน้อยพอให้อยู่ได้เป็นการชั่วคราว เขาจะไปเยี่ยมหรือก็ไม่กล้า ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุย ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เด็กน้อยที่เคยสดใสไร้เดียงสากลับดูนิ่งและพูดน้อยลง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ดูสุขุมลึกล้ำ ดูห่างไกลจากพวกเขามากขึ้นทุกที “อาอี๋ เราจะได้เจอกันอีกหรือไม่” อาเฉาทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา “ต้องได้เจอสิ” รอยยิ้มแรกของวันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหยวนจื่ออี๋ “พวกเจ้าทั้งหมดจะไปเป็นจอหงวนมิใช่หรือ” น้ำเสียงของเด็กหญิงยังคงอ่อนโยนดังเช่นที่ผ่านมา ในความรู้สึกของนาง พวกเขาคือมิตรสหายที่ไร้เดียงสาและจริงใจกับตนมากที่สุด ไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติจะมีโอกาสสานมิตรผูกไมตรีและเติบโตพร้อมกันดังเช่นที่ทำร่วมกันกับพวกเขาอีกหรือไม่ ครั้นเสี่ยวจูได้ฟังเช่นนั้นก็เริ่มมีท่าทีตอบสนอง เพียงคิดว่าต้องพรากจากกันก็เศร้าโศกเสียใจ หลงลืมคำเตือนของมารดาให้ทิ้งระยะห่างแล้ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยอีกคน “อาอี๋” เขาพึมพำ “อาอี๋ เจ้าไม่ไปได้หรือไม่” “เหลวไหลน่าเสี่ยวจู” ต้าหงแสร้งทำเป็นเข้มแข็งขณะที่ยกมือขึ้นมาปาดน้ำมูกที่ไหลเยิ้มปนเปกับน้ำตา “เราต้องเคารพการตัดสินใจของอาอี๋จึงจะถูก” หยวนจื่ออี๋ส่งเสียงหัวเราะทั้งน้ำตา กวักมือเรียกให้เด็กชายร่างอ้วนเข้ามาหา ก่อนที่เด็กทั้งสี่จะกอดกันกลม กลีบบุปผาปลิวว่อนหมุนวนท่ามกลางความอ้างว้าง คล้ายกำลังเอื้อนเอ่ยคำอำลาแทนคนทั้งสี่ที่มิอาจล่วงรู้ได้ว่าอนาคตจะได้พบกันอีกหรือไม่ ยื้อยุดไว้อยู่นานสุดท้ายก็ต้องจาก หยวนจื่ออี๋จับมือพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกล่าวคำอำลาออกมาในที่สุด “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา พวกเจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า” คราวนี้เด็กน้อยอีกสามคนร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ต้องทำตัวให้เข้มแข็ง โบกมือลาเด็กหญิงที่หันหลังเดินจากไปอย่างโดดเดี่ยว “รักษาตัวด้วย!” “แล้วพบกันใหม่!” “แล้วพบกันใหม่...” หยวนจื่ออี๋สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกพลางหันซ้ายหันขวา ครั้นพบเห็นข้าวของเครื่องใช้สวยหรูโอ่อ่ายังอยู่ในตำแหน่งเดิม ก็ถอนหายใจราวกับถูกปลุกขึ้นมาจากฝันร้าย นางกับบิดามาอยู่เมืองหลวงได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว สกุลหยวนมิเพียงแค่มีฐานะยิ่งใหญ่ แต่ท่านปู่ผู้เป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันเป็นถึงท่านราชครูซึ่งให้การปรึกษาและรับใช้องค์ฮ่องเต้อย่างใกล้ชิด คฤหาสน์แห่งนี้เต็มไปด้วยเรือนต่างๆ มากมาย แต่ถึงแม้ว่าบิดาของนางซึ่งเป็นบุตรชายคนที่หกกลับมาในรอบหกปีกลับไม่มีผู้ใดให้ความสนใจมากนัก ที่นี่ช่างสูงส่งหรูหรา ทว่ากลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายอ้างว้างหงอยเหงาเหลือประมาณ... ร่างเล็กซึ่งยังคงแต่งกายด้วยชุดนอนของเด็กชายครุ่นคิดพลางก้าวลงจากเตียงใหญ่ นางคิดว่าหากพวกเขาเข้าใจว่านางเป็นผู้ชายอาจจะช่วยให้ท่านปู่เมตตาขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็ยังดีที่พวกนางได้เรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งเป็นการส่วนตัวสองพ่อลูก ผิดจากฮูหยินคนอื่นๆ ของท่านปู่ที่เมื่อมีบุตรสาวแล้วก็ต้องไปอยู่รวมกันอย่างน่าอึดอัด นอกจากนี้แล้วเหล่าบรรดาบุตรชายหลานชายคนแรกๆ ยังผลัดกันชิงดีชิงเด่น เดิมทีวันแรกๆ พวกเขาก็แวะเวียนมาพบนางอยู่หรอก ทว่าเมื่อนางแสร้งทำตัวโง่งมตามประสาเด็กห้าขวบไร้การศึกษาที่เติบโตในพงไพร วันต่อมาพวกเขาก็ทำตัวประหนึ่งว่านางกับบิดาเป็นเพียงธาตุอากาศภายในคฤหาสน์สกุลหยวน ช่างเป็นวงจรน้ำเน่าของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงโดยแท้... การแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติในยุคนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป ดังนั้นนางจึงต้องคอยระวังและรักษาระยะห่างกับทุกคน ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงรู้เพศที่แท้จริงของตนเองเป็นอันขาด โทษของการโกหกนั้นอาจส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายของท่านพ่อ ซึ่งนางจะยอมให้เป็นเช่นนั้นมิได้ ...เดิมทีคิดอยากจะไปพบบิดาที่พักอยู่ห้องข้างๆ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อน แอ๊ด... หยวนจื่ออี๋เดินไปเปิดหน้าต่างบานเล็กเหม่อมองดวงจันทร์นวลกระจ่างอย่างใจลอย ชื่นชมความงดงามของธรรมชาติช่วยให้จิตใจสงบลงเล็กน้อย มือเล็กลูบไล้ผ้ายันต์ที่เหวยเซียวมอบไว้ให้พกติดตัว นึกถึงคราวที่ปฏิเสธการติดตามกลับไปสำนักเมฆาเรืองก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ มือเล็กป้อมขยุกขยิกไปมาอย่างอยู่ไม่สุขอีกครั้ง ถ้าหากที่นี่มีช็อกโกแลตของโปรดให้กินแก้เครียดก็คงดีไม่น้อย เด็กหญิงครุ่นคิดไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา แต่มิทันไรก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาร่างสีดำตัดผ่านจันทราบนผืนฟ้า ลางสังหรณ์ร้องเตือนทำเอาตาขวากระตุกถี่ ภาวนาให้เมื่อครู่นี้นางแค่ตาฝาดไป แต่ดูเหมือนคำอ้อนวอนจะไม่ได้ผล เมื่อสายลมวูบใหญ่พัดผ่านบานหน้าต่างพร้อมกับกลิ่นหอมประหลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของใครบางคน “ว่ากันว่าผู้ใดเหม่อมองจันทรา หมายความว่ากำลังครุ่นคิดถึงคนไกล” เสียงนุ่มทุ้มชวนให้คนเคลิ้มดังมาแต่ไกล ก่อนจะตามมาด้วยสัตว์ร่างใหญ่ที่มุดผ่านบานหน้าต่างมายืนเบื้องหลังนางตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่แน่ชัด “ไม่ว่าจะคิดถึงผู้ใดก็ย่อมไม่ใช่เจ้าแน่นอน” เด็กน้อยปั้นหน้าบึ้งถลึงตามองเขา แต่เพราะเป็นเด็กจึงทำให้ท่าทางนี้รังแต่จะทำให้นางดูน่ารักน่าชังเสียมากกว่า “เจ้าอยู่แต่ในนี้มิเบื่อแย่หรือ” หรงเสี่ยถามเสียงเอื่อยเฉื่อย เจ้าปีศาจจิ้งจอกซึ่งแปลงร่างเป็นมนุษย์ขึ้นไปนอนเท้าคางบนเตียงนางประหนึ่งเป็นเตียงตนเอง มิหนำซ้ำมันคงสบายถึงขั้นทำให้เขาปล่อยหูทรงสามเหลี่ยมกับพวงหางสีขาวนั่นออกมาตวัดมาไปจนน่าเวียนหัว “เจ้ามายุ่งกับข้าทำไมเนี่ย” นางรู้ตัวดีว่าไม่มีปัญญาไล่เขา จึงทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง “ที่ผ่านมาข้าปรารถนาชีวิตที่ธรรมดาและเรียบง่ายมาโดยตลอด...” “ธรรมดา?” ใบหน้างามพิลาสเอียงไปมาคล้ายกำลังครุ่นคิด ทว่านัยน์ตาสีเงินที่เปล่งแสงระยิบระยับในความมืดมิดส่อแววเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย “แล้วไม่ธรรมดาไม่ดีตรงไหน” “เจ้า!” เด็กน้อยขึ้นเสียงเล็กน้อยก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาปิดปาก พอคนบนเตียงหัวเราะเยาะก็ถลึงตามองเขาอย่างโกรธเคือง “เจ้าปีศาจ ออกไปเลยนะ” “ข้าไปไม่ได้หรอก จนกว่า...” ปีศาจหนุ่มลากเสียงยาวยั่วเย้าเหมือนอยากกลั่นแกล้งโดยการกระตุ้นต่อมอยากรู้ของนางเล่น “จนกว่าอะไร” หยวนจื่ออี๋เค้นถามผ่านไรฟัน ไม่กล้าตะโกนโวยวายเสียงดังเพราะเกรงว่าจะปลุกให้บิดาและคนที่อยู่ระแวกใกล้เคียงตื่นขึ้นมาหมด หากพวกเขาได้เจอปีศาจรูปงามตัวเป็นๆ อา...นางไม่อยากนึกถึงผลที่ตามมาเลยด้วยซ้ำ “จนกว่าเจ้าจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักเมฆาเรือง” เด็กน้อยสีหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อได้ยินเขาพูดถึงสำนักพรตอันดับหนึ่งในยุทธภพ แต่มิทันไรก็ส่งเสียงในลำคอพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น “ข้าจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของข้า” “จิ้งอวิ๋นอยากให้เจ้าเข้าสำนักเมฆาเรือง” “ฮึ! เขาสั่งให้เจ้าทำ เจ้าก็ทำเช่นนั้นรึ” ท่านผู้อาวุโสจิ้งอวิ๋นไม่ใช่แพทย์ธรรมดาจริงๆ ด้วย มิเช่นนั้นมีหรือที่จะสามารถสั่งการปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ได้ ฝ่ายผู้ถูกถากถางไม่เพียงไม่เจ็บใจ แต่ยังคลี่ยิ้มกว้างอีกต่างหาก “อย่างน้อยข้าก็ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนกับเจ้าก็แล้วกัน” เด็กหญิงซึ่งถูกหรงเสี่ยพูดแทงใจดำกลับมาถึงกับกลืนก้อนสะอึกลงคอไปอย่างเจ็บช้ำ คฤหาสน์สกุลหยวนที่โอ่อ่ามั่งคั่งแห่งนี้ภายนอกดูเหมือนสุขสบายทุกอย่าง ทว่าหยวนจื่ออี๋รู้ดีว่าสิ่งล้ำค่าที่นางกับบิดาสูญเสียไป... คืออิสรภาพในการใช้ชีวิต
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม