แปด
ต่อต้าน
“เจ้าปีศาจ”
เสียงเล็กที่ร้องเรียกกลับไม่สามารถทำให้บุรุษผมเงินรูปงามให้ความสนใจได้แม้แต่เศษเสี้ยว แสงนวลสาดส่องผ่านบานหน้าต่างกระทบโดนดวงตาสีเงินของเขา งดงามประดุจไข่มุกอาบประกายจันทรา
เขาทำเช่นนี้อีกแล้ว...
นางพ่นลมหายใจออกอย่างหนักหน่วง “หรงเสี่ย”
คราวนี้คนถูกเรียกหันมาคลี่ยิ้มระรื่นส่งให้อย่างใสซื่อ “เรียกข้าหรือ?”
ดูท่าหรงเสี่ยจะไม่ชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘เจ้าปีศาจ’ จริงๆ
เห็นทีไม่ว่าจะปีศาจหรือมนุษย์ก็คงไม่ชอบให้ผู้อื่นมองตนเองที่เผ่าพันธุ์ หากอยากให้มองจากตัวตนที่แท้จริงของเขาต่างหาก
“อันที่จริงข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพลังหยางในตัวข้ามากนัก” ร่างเล็กเอ่ยพลางก้มลงมองตนเอง “มันเป็นแหล่งอาหารให้ปีศาจซึมซับพลังได้โดยไม่ทำให้ข้าเป็นอันตราย เดิมทีมันก็น่าจะปลอดภัยมิใช่หรือ”
“ปีศาจบางตัวละโมบและมีความต้องการที่ต่างกัน” เสียงนุ่มทุ้มกังวานเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ตอบกลับมา “ถึงเจ้าจะมีพลังหยางอยู่มากแต่ก็ยังเด็กนัก ปีศาจชั้นเลวชั้นต่ำอาจจะดูดซับพลังจากเจ้าได้โดยที่ไมเป็นอันตราย แต่ถ้ามันมีเป็นฝูงเหมือนค้างคาวเมื่อคราวก่อน เจ้าก็คงไม่รอด ส่วนปีศาจชั้นที่สูงกว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง”
เด็กหญิงได้ฟังเช่นนั้นก็ลอบกลืนน้ำลาย แท้จริงแล้วคำว่าไม่ถึงขั้นเสียชีวิตก็มีช่องว่างของมันอยู่ ซึ่งมันก็เรียกได้ว่าอันตรายสำหรับเด็กที่ปกป้องตนเองไม่ได้เยี่ยงนาง “นั่นรวมถึงเจ้าด้วยใช่ไหม”
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” ผู้ถามยิ้มจนตาหยี
หยวนจื่ออี๋คิดว่าหรงเสี่ยคงมีความยับยั้งชั่งใจได้มากกว่าปีศาจทั่วไป แต่ถึงอย่างไรนางกับเขาก็มิต่างจากปลาย่างใกล้แมวเสียเท่าไรนัก ถามไปก็ไร้ประโยชน์
“ข้าจะซาบซึ้งใจมาก หากเจ้ายอมปล่อยให้ข้าได้นอน”
“ข้าก็ไม่ได้ห้าม” ร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์กล่าวเสียงเรียบเรื่อย มิวายเอ่ยเร่งในช่วงท้าย “เจ้าก็รีบมานอนเข้าสิ”
หยวนจื่ออี๋หรี่ตามองบุรุษเจ้าของเรือนผมสีเงินประหลาดตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหมุนกายเดินไปเปิดประตูห้องแล้วพาตนเองออกมาโดยเร็วที่สุด
จ้างให้นางก็ไม่ยอมนอนกับปีศาจที่จ้องจะดูดซับพลังหยางจากตัวนางหรอก!
สิ้นความคิดก็มุ่งหน้าเดินไปตามระเบียงที่มืดสลัว สายตาที่ปรับให้ชินกับความมืดกวาดตามองไปรอบๆ พร้อมกับหยุดยืนอยู่ที่หน้าบานประตูห้องนอนของบิดา
“ท่านพ่อ” นางกระซิบเรียกแผ่วเบาด้วยความเกรงใจ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาก็ก้าวถอยออกมาพร้อมกับกลอกตาครุ่นคิด
ยามนี้จะเข้าไปนอนกับท่านพ่อก็ไม่ได้ จะกลับไปที่ห้องตนเองก็มีหรงเสี่ยรออยู่
‘ไหนๆ ก็นอนไม่ได้แล้ว ไปเดินเล่นเสียดีกว่า’
เด็กน้อยคิดได้ดังนั้นก็มุ่งหน้าออกจากเรือนโดยไม่สนใจอันตรายใดๆ ทั้งปวง
นางเติบโตมาในป่าเขา บ้านเรือนถูกห้อมล้อมด้วยอันตรายจากสัตว์ป่า แสงสว่างก็มีเพียงน้อยนิดยังเอาตัวรอดมาได้ ดังนั้นสำหรับใจกลางเมืองเช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
หยวนจื่ออี๋ในชุดนอนสีทึมเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในความมืด หลายวันที่ผ่านมานางมักจะแอบออกไปสำรวจตามเรือนต่างๆ ในยามราตรี และจุดที่นางชอบมากที่สุดคือศาลาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเงียบสงบและเห็นดวงดาวได้ชัดเจนมากที่สุด
นางมุ่งหน้าไปยังทิศดังกล่าว เดินเอ้อระเหยอยู่ดีๆ ก็ถูกดึงรั้งเข้าไปหลังพุ่มไม้ใหญ่ ดวงตาสีชาเบิกกว้างก่อนจะกลับคืนสู่ปกติเมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เขาคือ ‘ลู่หลิน’ บ่าวรับใช้ที่อายุมากกว่านางสิบปี ซึ่งนางพบเจอโดยบังเอิญในขณะที่มาสำรวจบริเวณนี้เมื่อสามคืนก่อน
“ลู่...” หยวนจื่ออี๋มิทันได้เรียกชื่อครบก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่ออีกฝ่ายยกนิ้วขึ้นมาทาบริมฝีปากด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
มีอะไร?
เด็กหญิงตั้งคำถามในใจ สายตาสอดส่องฝ่าพุ่มไม้ออกไปอย่างฉงนสงสัย ครั้นเห็นว่าศาลาที่โปรดของตนเองถูกใครบางคนที่คุ้นตาแย่งชิงไป ก็เผลอเกร็งตัวแน่นโดยมิได้ตั้งใจ
เป็นหยวนถังกับหยวนซู...
ความจริงนางไม่จำเป็นต้องหลบ ทว่าเพราะเหตุใดลู่หลินจึงได้ดึงนางเข้ามาซ่อนตัวในพุ่มไม้?
หยวนจื่ออี๋สบตาข้ารับใช้หนุ่มผู้นั้น เมื่อเห็นเขากำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดเพื่อจ้องมองคนในศาลาก็เลือกที่จะไม่ส่งเสียง ระยะห่างจากพุ่มไม้กับจุดที่ชายหนุ่มทั้งสองนั่งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ยามราตรีทุกสิ่งแสนเงียบสงัด หากตั้งใจเงี่ยหูฟังให้ดีก็อาจได้ยินเสียงบทสนทนาของพวกเขา
คราวก่อนนางแอบฟังหยวนถังกับหยวนซูที่เรือนสกุลฟางมาแล้วครั้งหนึ่ง หนนี้ก็ยังคงเป็นพวกเขาอยู่เหมือนเดิม สงสัยว่าดวงคงจะสมพงษ์กันกระมัง
“รู้หรือไม่ ท่านราชครูจะให้ท่านอาหกแต่งงานกับท่านหญิงเฉิน”
ประโยคแรกที่นางได้ยินทำเอาเด็กหญิงชะงัก เป็นอีกครั้งที่นางได้ข้อมูลอันน่าสะเทือนใจจากปากพวกเขา
ร่างเล็กรู้สึกราวกับถูกตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ หมายความว่าอย่างไรที่ท่านพ่อจะแต่งงาน...
“เช่นนั้นไม่ต่างจากการย้อมแมว” หยวนซูกล่าวเสียงเคร่งเครียด “อีกอย่าง ท่านอาหกมีจื่ออี๋แล้ว ท่านปู่คงตั้งใจจะปิดเรื่องที่ท่านอาหกมีบุตรให้เป็นความลับ แล้วให้บุตรชายสักคนรับจื่ออี๋มาเป็นบุตรบุญธรรม?”
“ข้าเกรงว่าอาจจะแย่กว่านั้น” เสียงแหบต่ำตอบกลับอย่างเงียบขรึม “ท่านปู่อาจจะรับจื่ออี๋เป็นบุตรชายบุญธรรมโดยตรงเสียเอง”
หยวนซูผุดลุกขึ้นยืนทันควัน “เด็กคนนี้มีไหวพริบไม่ธรรมดา ถึงจะทำตัวไร้เดียงสาให้ผู้อื่นดูไม่ออก แต่ท่านกับข้าก็รู้ดีว่ามันเป็นเช่นไร” เขาเว้นจังหวะพลางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “เราจะยอมให้เขามีศักดิ์เท่าเทียมเป็นบุตรของท่านปู่ไม่ได้เป็นอันขาด”
“ถูกของเจ้า เราต้องระมัดระวังอยู่หลายด้าน ต้องจัดการให้รัดกุมที่สุด”
บทสนทนาระหว่างพวกเขาเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนที่เสียงนิ่มนวลของหยวนซูจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านปู่อายุมากแล้ว”
หยวนถังหัวเราะในลำคอ “อายุมากแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะอายุสั้น”
“เจ้า...” หยวนซูส่ายหน้า “ระวังคำพูดด้วย”
“เรือนที่พวกเขาพักอยู่ห่างไกลจากเรือนหลัก การที่เด็กคนหนึ่งเล่นซนจนพลัดตกลงไปในบ่อน้ำคงมิใช่เรื่องแปลกอันใด”
หยวนจื่ออี๋รู้สึกถึงเลือดในกายที่เย็นเฉียบดังถูกฝังร่างลงไปในธารน้ำแข็ง หยวนถังกับหยวนซูต่อหน้านาง แม้ไม่ค่อยแสดงท่าทางเป็นมิตรแต่ก็ไม่ได้ดูมุ่งร้าย ที่แท้พวกเขากลับแอบแฝงความอำมหิตไว้อย่างน่าหวาดผวา!
ลู่หลินเบือนสายตากลับมายังร่างเล็กข้างตัวเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นเทา เดิมทีเด็กน้อยอายุห้าขวบไม่ควรจะมาได้ยินเรื่องเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขามิอาจให้การปรากฏตัวของหยวนจื่ออี๋มาขัดจังหวะการสืบข่าวให้แก่ผู้เป็นนาย
การแก่งแย่งชิงอำนาจภายในตระกูลใหญ่ถือเป็นเรื่องปกติ และการดึงเด็กน้อยคนหนึ่งมาเป็นหมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายก็เป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน
“เขายังเด็กนัก ไม่ต้องถึงขั้นฆ่าแกงกันก็ได้กระมัง”
“เจ้าลืมไปแล้วรึว่าเราพบเจออะไรที่หมู่บ้าน”
หยวนถังและหยวนซูต่างพากันเงียบลงอีกหน ภาพของอีกฝ่ายขี่หลังจิ้งจอกหิมะตัวใหญ่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีฟ้าที่แผดเผาฝูงค้างคาวผุดขึ้นมาในห้วงคิด
ในที่สุดหยวนซูก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “เห็นทีคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกเพียงสองสามประโยคจนกระทั่งน้ำค้างพรมระเรื่อยบนใบหญ้า อุณหภูมิที่ลดต่ำลงส่งผลให้อากาศหนาวจัด จำต้องร่ำลากลับไปพักผ่อนแล้วค่อยหาเวลามาปรึกษาหารือกันอีกครั้ง
ฝ่ายหยวนจื่ออี๋นั่งอยู่กับที่ แม้ลู่หลินจากไปแล้วก็มิยอมขยับตัว สั่นอยู่ในพุ่มไม้เช่นนั้นจนเกือบรุ่งสาง
เสียงเสียดสีของใบไม้ฉุดรั้งสติของเด็กหญิงกลับคืนมา ครั้นหันขวับไปมองข้างตัวก็พบว่าเป็นลู่หลินซึ่งย้อนกลับมาดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เช่นเดิม
“ท่านรีบกลับเรือนเถิด”
หยวนจื่ออี๋หันไปมองหน้าเขา ความเย็นเฉียบของอากาศไม่สามารถทำให้ผู้มีพลังหยางรุนแรงเช่นนางป่วยได้ก็จริงอยู่ แต่เป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนจึงทำให้ใบหน้าเล็กซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าไม่ได้จะมาฆ่าปิดปากข้าหรอกหรือ”
ข้ารับใช้หนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ตอบเสียงเฉื่อยเนือย “สังหารท่านแล้วมีประโยชน์อันใด”
เด็กหญิงในคราบเด็กชายเค้นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “จะไม่เสียใจภายหลัง?”
ลู่หลินส่ายหน้าแล้วหันหลังเดินจากไปในที่สุด
ครั้นอยู่ตามลำพัง หยวนจื่ออี๋ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นางครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาตลอดทั้งคืนเพื่อพยายามหาทางออกว่าตนเองควรจะทำเช่นไร
จะกลับไปยังหมู่บ้านก็กลับไม่ได้ จะอยู่ที่เมืองหลวงต่อก็อยู่ไม่ได้ สำนักพรตก็อยู่ไกลถึงแคว้นเล่อ และยามนี้สภาพของบิดาคงมิอาจทนต่อการเดินทางอันยาวไกลและยากลำบากได้แน่
หลังจากไตร่ตรองผ่านความคิดและความรู้สึกอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว นางก็ตัดสินใจได้ว่าควรจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาติความย่ำแย่ที่คิดจะใช้ผู้อื่นเป็นเครื่องมือเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยขบคิดหาวิธีพาท่านพ่อหนีไปจากที่นี่
แต่จะต้องทำเช่นไรจึงจะแนบเนียนแล้วก็ปลอดภัย?
เห็นทีเรื่องนี้นางคงต้องไปปรึกษาและหว่านล้อมท่านพ่อให้ร่วมมือกับนางจึงจะได้ผล