เจ็ด
เรื่องน้ำเน่าในเมืองหลวง
หมู่บ้านห่างไกลจากเมืองหลวงแห่งนี้ ร้อยวันพันปีมิเคยเกิดเรื่องวุ่นวายหรือมีเหตุดึงดูดชาวบ้านให้มารวมกลุ่มกัน ทว่าวันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว...
หยวนจื่ออี๋ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนทันทีที่นางปรากฏตัว เด็กน้อยกลั้นหายใจ สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วมือที่เย็นเฉียบของตน รับรู้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่ออยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
ทุกคนไม่ตอบ แต่กลับเผยสีหน้าหนักใจแล้วชี้นิ้วไปยังเรือนสกุลฟาง ครั้นนางเริ่มเดินอีกครั้ง พวกเขาก็พากันแหวกทางโดยพร้อมเพรียง ร่างเล็กรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในอก ความทรงจำที่อยู่ร่วมกันมาในฐานะเพื่อนบ้านกว่าห้าปีกลับต้องแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในวันเดียว
เช่นนั้นย่อมหมายความว่ามีคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เห็นฝูงค้างคาวเหล่านั้น
สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เด็กหญิงคิดว่านางยิ่งไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้เหมือนเดิมอีก ดังนั้นความตั้งใจที่จะไปเข้าศึกษาในสำนักพรตเมฆาเรืองจึงทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ทว่าจิตใจที่ฮึกเหิมดั่งเปลวเพลิงที่ร้อนรุ่มของหยวนจื่ออี๋ ถึงคราวมอบดับลงทันทีเมื่อเข้าไปในเรือนแล้วพบว่าผู้คนกำลังยืนล้อมอยู่หน้าตั่งยาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล ขณะที่แพทย์ผู้อาวุโสลงมือตรวจชีพจรผู้ที่สลบไสลไม่ได้สติด้วยความเคร่งเครียด
อุณหภูมิร่างกายของเด็กหญิงลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าขาวซีดราวกับกระดาษของผู้เป็นบิดา
“อาอี๋...” เสี่ยวจูสังเกตเห็นนางเป็นคนแรก
สิ้นเสียงของเด็กชาย คนที่เหลือก็หันมามองนางเป็นตาเดียว ฮูหยินฟางเผลอเอื้อมมือมาจับไหล่บุตรชาย ทอดมองนางด้วยแววตาอึดอัดไม่แน่ใจอย่างเปิดเผย
หยวนจื่ออี๋รีบวิ่งถลาเข้ามาที่ตั่งยาวด้วยความร้อนใจ “ท่านพ่อเป็นอะไร!”
เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ทำไมกัน...
“อาอี๋อย่างห่วงเลย” แพทย์ผู้คุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดีผละมือออกจากการตรวจชีพจรของร่างบนตั่ง รีบหันมาเอ่ยปลอบ “ท่านหยวนเพียงแค่เหนื่อยเท่านั้น”
“โกหก!” นางหันไปมองหน้าคนพูด จมูกได้กลิ่นฉุนของสมุนไพร หยาดน้ำตาเริ่มหลั่งรินยามที่เบือนสายตาไปยังหยวนถังและหยวนซู “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าท่านพ่อเป็นโรคประจำตัว!”
นางกลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียท่านพ่อไป!
หยวนซูเห็นร่างเล็กโศกเศร้าเสียใจก็อ้าปากคล้ายจะพูดบางสิ่ง แต่ถูกหยวนถังกล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ถูกต้อง ท่านอาหกสุขภาพร่างกายอ่อนแอ หยวนจื่ออี๋ เจ้าคงรู้ดีว่าการรักษาที่หมู่บ้านแห่งนี้มิอาจเทียบเท่ากับเมืองหลวง ท่านอาหกจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ที่ดีสุดจึงจะประคับประคองอาการไปได้”
“ข้า...” นางอ้ำอึ้ง เขากล่าวเช่นนี้ไม่ต่างจากกำลังบังคับให้พวกนางไปเมืองหลวงทางอ้อม
นางจะทำเช่นไรดี... เรื่องที่นางดึงดูดปีศาจก็สำคัญ ทว่าเรื่องสุขภาพของท่านพ่อเองก็สำคัญเช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่านางดันทุรังจะติดตามไปดูแล นางก็คงไม่ต่างจากแม่เหล็กที่ดึงดูดเหล่าปีศาจจนอาจทำให้บิดาพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
“อี้เอ๋อร์...”
เด็กหญิงสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย น้ำตาของนางพลันแห้งเหือด ท่านพ่อของนางฟื้นแล้ว!
“ท่านพ่อ” ร่างเล็กถลาเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างตั่งเล็ก นางยื่นมือออกมากุมมือใหญ่กร้านของบิดา ทั้งดีใจและโล่งใจอย่างที่สุด หากตั้งใจฟังให้ดียังได้ยินเสียงลอบถอนหายใจของแพทย์ผู้อาวุโสดังอยู่เหนือศีรษะ
...อาการของท่านพ่อคงหนักสาหัสจริงๆ
“ทุกท่าน” แผงขนตาของอาจารย์หนุ่มกระเพื่อมไหว ท่าทางที่แสดงออกมาดูอิดโรยจนน่าใจหาย “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับอี้เอ๋อร์ตามลำพัง”
หยวนถังกับหยวนซูมองหน้ากัน ก่อนออกไปมิวายกล่าวย้ำเตือนสิ่งที่พูดคุยกับอีกฝ่ายค้างเอาไว้
“ท่านอาหก สิ่งที่พวกเราบอก ท่านลองพิจารณาดูให้ดีเถิด”
“แล้วอีกสามวัน เราจะมาเอาคำตอบ”
พวกเขากล่าวจบก็โค้งกายแล้วพากันจากไป ท่านหมอชรา ฮูหยินฟาง และเสี่ยวจูเองก็ออกไปจากเรือนด้วยเช่นกัน
หยวนจื่ออี๋หลุบสายตามองร่างของบิดา ในใจครุ่นคิดว่าพวกนางช่างเป็นแขกที่แย่เหลือเกิน ภายในวันเดียวก็ทำให้ฮูหยินฟางต้องออกไปจากเรือนถึงหลายครั้งหลายหน
“ท่านพ่อ” นางเรียกบิดาเสียงแผ่ว
หยวนเสียนสบนัยน์ตาเศร้าหมองของบุตรสาว เพียงได้เห็นแก้วตาดวงใจสีหน้าทุกข์ตรมก็บีบคั้นหัวใจผู้เป็นพ่อยิ่งกว่า
“อี้เอ๋อร์ เจ้าไปไหนมา” เสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล
เด็กหญิงส่ายหน้าน้อยๆ “ท่านพ่อ...สิ่งที่ข้าเป็นนั้นเหลือเชื่อเกินไป แต่ข้าก็ไม่อยากให้ตัวอันตรายอย่างข้ามาทำให้ท่านเดือดร้อน”
“อี้เอ๋อร์...” ในเมื่อบุตรสาวไม่อยากพูด เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ต่อเพื่อให้อีกฝ่ายอึดอัด
“ท่านพ่อ ท่านควรกลับไปเมืองหลวง การแพทย์ของที่นั่นก้าวหน้า พวกเขาจะได้ช่วยให้ท่านหาย” นางพยายามควบคุมน้ำเสียงมิให้สั่น แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เกิด “ส่วนข้าจะขึ้นเขาไปเป็นนักพรต หากข้าติดตามไปรังแต่จะชักนำภัยมาสู่ท่านและสกุลหยวน”
หลังจากที่ร่างเล็กพูดความในใจออกไปจนหมด ภายในเรือนของสกุลฟางก็ตกอยู่ในความเงียบ หยวนจื่ออี๋ก้มหน้ามองมือเล็กของตนซึ่งกุมมือเย็นเฉียบของบิดา บรรยากาศเศร้าสร้อยโอบล้อมกายเล็กจนดูบอบบาง เพียงลงมือบีบก็คงแตกหักได้ทุกเมื่อ
“อี้เอ๋อร์ ขอข้าพูดบ้างได้หรือไม่”
ร่างเล็กกลืนก้อนสะอึกลงคอ พยักหน้าให้เขาน้อยๆ
“ข้ารู้ตัวดีว่าข้ามีเวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว” หยวนเสียนสูดลมหายใจช้าๆ พลางหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า “เจ้าไม่อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับข้าหรอกหรือ”
ริมฝีปากของหยวนจื่ออี๋สั่นเทาไปหมด “แต่ข้ามัน...”
“เจ้าจะอันตรายหรือไม่ เจ้าก็ยังเป็นบุตรของข้า เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่ข้าและแม่ของเจ้ารักอย่างสุดหัวใจ”
ผู้ฟังรับรู้ถึงความชื้นที่ขอบตา นางอยากไปกับท่านพ่อ อยากอยู่กับท่านตลอดไป
“ชาวบ้านข้างนอกนั่น พวกเขาคงมองว่าข้าเป็นตัวประหลาด แม้แต่ฮูหยินฟางกับเสี่ยวจู...”
“อี้เอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่ตัวประหลาด แต่เป็นคนพิเศษ” รอยยิ้มของบิดาแม้จะอ่อนเพลียแต่ในขณะเดียวกันก็ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ “จงเชื่อมั่นในความพิเศษของเจ้า ขยันลับคมและเจียระไนตนเองอย่างมานะบากบั่น แล้วสักวันหนึ่ง...เจ้าจะเปล่งประกายโดดเด่นจนผู้อื่นมิอาจละสายตาไปจากเจ้าได้”
“ท่านพ่อ...” เด็กน้อยรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดหยวนเสียน ครั้นสัมผัสความอบอุ่นจากร่างสูงก็มิอาจกลั้นเสียงสะอื้น
ท่านพ่อเหลือเวลาที่จะอยู่กับนางอีกนานเพียงใดก็มิอาจล่วงรู้ หากจากอกของอีกฝ่ายยามนี้อาจกลายเป็นการจากลากันชั่วชีวิต
ต่อให้การมีอยู่ของนางจะเป็นอันตราย... แต่นางก็อยากตอบแทนคุณและอยู่ร่วมกับบิดาตราบจนลมหายใจสุดท้าย
“ข้ารู้ว่าที่ข้าขออาจฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ข้า...ข้าอยากอยู่กับเจ้าให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” หยวนเสียนลูบไล้แผ่นหลังบางอย่างอ่อนโยนและรักใคร่ แม้ความตั้งใจแรกคือการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับบุตรสาวอย่างสงบสุข แต่ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่างทำให้มิอาจทำตามความปรารถนาเดิมได้อีก “และเมื่อข้าจากไป... อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เจ้าจะมีบ้านให้อยู่ มีญาติมิตรให้พึ่ง ไม่ต้องระหกระเหินออกไปลำบาก”
“เช่นนั้นเราไปเมืองหลวงด้วยกันเถิดท่านพ่อ” หยวนจื่ออี๋กล่าวออกมาในที่สุด นัยน์ตาสีชาเปล่งประกายแรงกล้าโดยปราศจากความลังเลทั้งปวง
นางตัดสินใจแล้ว เวลานี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับนางมากไปกว่าท่านพ่อ อีกสามวันนางต้องไปปฏิเสธคำเชิญชวนของเหวยเซียว และร่วมเดินทางไปยังเมืองหลวงกับหยวนถังและหยวนซู