หยวนจื่ออี๋มึนงงยิ่งกว่าเดิม “ท่านหมายความว่า...”
“จิ้งอวิ๋นไม่ใช่ปีศาจหรอก” หรงเสี่ยพูดแทรกขึ้นมาอีกราวกับอ่านใจได้
เด็กน้อยค้อนมองเขาอีกครั้ง แอบสงสัยเหลือเกินว่าปีศาจสามารถอ่านใจผู้คนได้หรือไม่ ถ้าหากว่าอ่านได้จริง ก็ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
หากหลังจากนี้มีปีศาจเช่นเจ้าจิ้งจอกตนนี้โผล่มาอีกเพื่อซึมซับพลังหยางจากกายนางอีกเล่า... นางจะทำเช่นไร
หยวนจื่ออี๋กรอกตาไปมา ครุ่นคิดหาวิถีทางที่จะหลุดพ้นจากการเป็นแหล่งอาหารชั้นยอดของเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย “ท่านนักพรตเหวย ท่านพอจะมีวิธีที่ช่วยให้ข้าเพิ่มพูนพลังหยินหรือไม่”
เหวยเซียวทางด้านหนึ่งก็เห็นใจ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องพูดออกไปตามความจริง “เพิ่มพูนพลังหยินด้วยร่างกายของเจ้าเองคงเป็นไปได้ยากเพราะยังเด็กนัก แต่ถ้านำพลังหยินจากภายนอกมาช่วยก็อาจทำได้ การที่ปีศาจจิ้งจอกตนนี้อยู่ใกล้เจ้าก็สามารถช่วยได้ส่วนหนึ่ง”
สีหน้าของเด็กน้อยเซื่องซึมลง ดูสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด
ไม่สิ...นางเคยสัญญากับตนเองไว้แล้วว่าจะรักในสิ่งที่ตนเองเป็น ต่อให้จะกลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเหล่าปีศาจ นางก็ต้องยอมรับในจุดนั้นและพยายามปกป้องมันอย่างที่สุดจึงจะถูก
ในเมื่อชาตินี้มิอาจหลีกเลี่ยงก็ต้องหาวิธีอยู่กับมันไปให้ตลอดรอดฝั่ง!
ตุบ!
เหวยเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงคล้ายของหนักดังกระแทกพื้น ก่อนที่ภาพร่างเจือจางจะปรากฏขึ้นในมโนภาพ หยวนจื่ออี๋กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา
“ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!” เด็กหญิงกล่าวจบก็โขกศีรษะลงพื้นท่ามกลางเสียงผิวปากของหรงเสี่ย
“เลิกโขกหัวเถิด” นักพรตหนุ่มปั้นสีหน้าลำบากใจเหลือจะกล่าว “ข้าเป็นอาจารย์เจ้าไม่ได้ ข้าไม่เก่งกาจพอ”
แม้เขาจะเอ็นดูและถูกชะตากับนาง แต่ก็มิกล้าแกร่งพอจะสั่งสอนหรือปกป้องนางได้ ถึงจะไม่รู้ว่าพลังพิเศษที่แตกต่างนี้มีไว้เพื่อสิ่งใด แต่คาดว่าโชคชะตาของนางย่อมต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน
ลำพังตัวเขาเองก็ยังเป็นศิษย์ของตงฝางฉุนหยา ท่านเจ้าสำนักเมฆาเรือง อายุหรือก็แค่สิบหกปี ต่อให้อีกฝ่ายอายุแค่ห้าขวบ... แต่เรื่องเช่นนี้มิว่าจะพินิจมองไปทางใดก็ไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง
“แต่ข้า...ข้าคิดว่าการเป็นนักพรตจะช่วยให้ข้ามีวิชาติดตัวเพื่อปกป้องตนเองได้”
เหวยเซียวพยักหน้ารับ “เจ้าเข้าใจไม่ผิด”
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก” เสียงนุ่มทุ้มเอื่อยเฉื่อยดังแทรกขึ้นมาได้จังหวะพอดี
“หรงเสี่ย” หยวนจื่ออี๋ทนไม่ไหวหันไปหรี่ตาใส่บุรุษรูปงาม ลืมเลือนไปว่าเขาเป็นปีศาจจิ้งจอกที่แกร่งกล้าไปชั่วขณะ “ผู้ดีไม่พูดแทรก”
“แต่ข้าเป็นผู้ร้าย” ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวสะอาดเถียงหน้าซื่อ ก่อนจะเบือนสายตาไปยังเหวยเซียวเป็นลำดับถัดมา “นักพรตน้อย ไยไม่พานางกลับสำนักไปเสียด้วยกันเลย?”
“ท่านอาจารย์เห็นว่าไม่ควรให้หยวนจื่ออี๋โดดเด่นจนเกินไป” แม้แต่ผู้ที่นิ่งสงบอย่างเหวยเซียวยังหงุดหงิดใจไม่น้อย เมื่อต้องมานั่งตอบคำถามของปีศาจซึ่งขึ้นชื่อว่าอยู่ขั้วตรงข้ามกับพวกเขานักพรตโดยสิ้นเชิง “ซึ่งมัน...ก็อาจจะทำให้นางต้องลำบาก”
ร่างเล็กชะโงกหน้ามองพวกเขาคุยกันพลางส่งเสียงเล็กเจื้อยแจ้วออกมา “ข้าไม่กลัวลำบาก”
หรงเสี่ยก้มหน้าไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่คนพูด “ผู้ดีไม่พูดแทรก”
“เจ้า...!” หยวนจื่ออี๋อ้าปากจะเถียงก็เถียงไม่ออก สุดท้ายก็เลือกที่จะวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังเหวยเซียวอย่างขอความช่วยเหลือทั้งๆ ที่เพิ่งพบหน้ากันไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม[1]
บอกตามตรง...ความเคร่งเครียดที่มีมาก่อนหน้านี้ได้ถูกเจ้าปีศาจจิ้งจอกยั่วยวนกวนประสาทผู้นี้ทำลายลงโดยสิ้นซาก!
เป็นครั้งแรกที่นักพรตหนุ่มต้องมารับมือกับการโต้เถียงกันระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งปีศาจ ชายหนุ่มตาบอดเผลอเผยสีหน้าหนักใจออกมา ดูท่างานที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าเป็นเรื่องง่ายๆ จะหนักหนาเอาการกว่าที่คาดไว้
เหวยเซียวคิดพลางหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับเด็กหญิง พยายามสานต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาให้เสร็จสิ้น
“ร่างกายของเจ้ามีพลังหยางมาก นักพรตทั้งหลายสามารถสัมผัสถึงมันได้ และจะรู้ได้ทันทีว่าเจ้าพิเศษกว่าผู้อื่น ผู้ที่โดดเด่นเกินไปมักจะเป็นภัย หากเจ้าอยากหลบหนีความวุ่นวาย ข้าแนะนำให้เจ้าปลอมตัวเป็นบุรุษ”
ภายในสำนักเมฆาเรืองแม้เป็นสำนักพรต ผู้บำเพ็ญหมายมั่นเพื่อเป็นเซียน แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่ามันยังเต็มไปด้วยขั้วอำนาจมากมาย ถ้าได้เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนักก็เป็นที่จับตามองอยู่แล้ว ถ้าหากตัวตนพิเศษมากไปอีกขั้น คงทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยในตัวนางมากยิ่งขึ้น
คำพูดของเขาสามารถเรียกความสนใจจากเด็กหญิงได้ในที่สุด “แล้วจะทำได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าจะลองคุยกับอาจารย์ดู”
“แล้วอาจารย์ของท่าน...” เด็กน้อยยังมิทันได้ถามต่อก็ต้องเงียบลงเมื่อคู่สนทนาส่ายหน้าน้อยๆ
“ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้” เหวยเซียวผายมือออกมาเบื้องหน้า “หากอยากรู้เพิ่มเติมก็ให้ไปศึกษาที่สำนักเมฆาเรืองแห่งแคว้นเล่อ”
“ข้า...” หยวนจื่ออี๋ก้มหน้าลง ใบหน้าของผู้เป็นพ่อผุดขึ้นมาในห้วงคิด แม้การปกป้องตนเองจะสำคัญ แต่ท่านพ่อเล่า ท่านพ่อจะทำเช่นไร?
“ข้าต้องไปปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางตัดสินใจกล่าวออกไปในที่สุด
รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนักพรตหนุ่ม เด็กคนนี้แม้อายุยังน้อยแต่กลับรู้ความยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคน ไม่แน่ว่าบางทีอาจคิดอ่านลึกซึ้งมากกว่าเขาก็เป็นได้
ผู้คิดชมเชยอยู่ในใจหยิบบางสิ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “พกยันต์ชิ้นนี้ไว้ติดตัว อย่างน้อยมันก็สามารถช่วยมิให้ไอปีศาจชั้นต่ำมารบกวนเจ้าได้”
“ขอบคุณท่านมาก” หยวนจื่ออี๋รับผ้ายันต์ผืนนั้นไว้อย่างไม่เกี่ยงงอน นัยน์ตาสีชาช้อนมองเขาอย่างซาบซึ้ง
“อีกสามวันข้าจะมารอคำตอบจากเจ้าที่นี่” มือของชายหนุ่มยื่นออกมาอย่างเผลอไผล หากก่อนที่มันจะทันได้สัมผัสลงบนศีรษะของเด็กหญิง... เจ้าตัวก็ชะงักพร้อมกับถอนมือกลับออกมา
ฝ่ายร่างเล็กก็มัวแต่สนใจผ้ายันต์ที่เขียนด้วยอักษระที่แปลกตาอยู่จึงไม่ทันสังเกต นางเพียงแต่ผงกศีรษะอย่างว่าง่าย “ได้”
ครั้นสำรวจผ้ายันต์เสร็จแล้วก็จัดการเก็บมันเข้าอกเสื้อ หลังจากค้อมศีรษะคารวะชายหนุ่มในชุดนักพรต ก็หันไปมองค้อนหรงเสี่ยอีกหนึ่งที พอจดจำได้ว่าควรจะมุ่งหน้ากลับไปทางใดก็รีบวิ่งรุดไปอย่างไม่รอช้า
แม้เรื่องราวที่พบเจอจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ยากจะอธิบาย แต่นางก็ไม่อยากปิดบังท่านพ่อจึงตั้งใจจะกลับไปเล่าตามความจริง
พอเดินทางไปได้ครู่หนึ่งนางก็เผลอนึกถึงสายตาของผู้คนทั้งหลายที่มองตนก่อนจะจากมา เมฆหมอกในใจเริ่มกลับมาอีกครั้งขณะที่เจ้าตัวจะฝืนยิ้มฝืดเฝื่อนให้แก่ผืนป่าโปร่งเบื้องหน้า
หนีปัญหาน่ะหนีได้... แต่ก็ใช่ว่าจะหนีไปได้ตลอด
เผลอไปพริบตาเดียว เงาร่างเล็กๆ ของหยวนจื่ออี๋ก็หายลับไปจากสายตาของหนึ่งปีศาจหนึ่งนักพรต
“ข้าตั้งใจแล้วว่าจะให้อาจารย์รับเข้าสำนัก” เหวยเซียวกล่าวเสียงราบเรียบเจือความเย็นชา ในเมื่ออยู่กันตามลำพังแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม อีกอย่างหนึ่ง ท่านอาจารย์เองก็ไม่สบายใจที่หยวนจื่ออี๋ต้องมีปีศาจมาคอยดูแลคุ้มครองอย่างใกล้ชิด “ต่อไปนี้นางจะอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเมฆาเรือง คงไม่ต้องลำบากให้เจ้ามาคอยดูแล”
“นักพรตน้อย” ปีศาจรูปงามมินำพาต่อการไล่อย่างตรงไปตรงมา ใบหน้างดงามที่มิอาจแยกแยะได้ว่าเป็นสตรีหรือบุรุษคลี่ยิ้มหยอกเย้าออกมาทีหนึ่ง “เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้าหรอกนะ”
แสงสว่างวาบห่อหุ้มร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาว พริบตาต่อมาจุดที่อีกฝ่ายเคยยืนอยู่ก็แทนที่ด้วยจิ้งจอกหิมะตัวใหญ่
“ข้าเข้าใจมาตลอดว่านักพรตที่บำเพ็ญเพื่อเป็นเซียนควรละแล้วซึ่งรัก โลภ โกรธ หลง แต่ดูท่า...มันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปกระมัง”
นัยน์ตาสีเงินเรียวเล็กเหล่มาทางเหวยเซียวพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ ชวนให้ผู้ฟังที่มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก
หรงเสี่ยสะบัดพวงหางทีหนึ่งก่อนจะกระโดดขึ้นไปในอากาศ เรียกเปลวเพลิงสีฟ้ามาก่อตัวอยู่ใต้ฝ่าเท้าแล้วพุ่งทะยาน ลาลับเข้าสู่กลีบเมฆไปในที่สุด เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมประหลาดที่อบอวลมิยอมจางหายตามไปด้วย
[1] 1 ชั่วยาม มีค่าเท่ากับ 2 ชั่วโมง ในปัจจุบัน