บทที่2
ตัวตึงของโรงเรียน
วันต่อมา
ลัลลาเบลรีบวิ่งมาหาจีนที่โต๊ะประจำก็เจอคู่อริเก่าที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ นั่นคือปอแก้วและใบหนาด สองคนนี้เคยแอบเอาเศษแก้วมาใส่ในรองเท้าของลัลลาเบลแต่น้องชายของเธอดันเดินมาเห็นเสียก่อนเลยยืนเฝ้าเพื่อรอเจ้าของรองเท้าเดินออกมาจากห้องดนตรีไทย
โบ๊ทเห็นพี่สาวกำลังก้าวขาสวมรองเท้าก็คว้าหมับที่แขนของพี่สาวอย่างลัลลาเบลเอาไว้จนเธอต้องถอยออกมาตามแรง
“อะไรของแกฉันจะไปเข้าห้องน้ำ-_-!”
“เคาะรองเท้าก่อนใส่ด้วยถ้าไม่อยากโดนแก้วบาด-_-!”
ลัลลาเบลที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็รีบหยิบรองเท้ามาเคาะจนเห็นเศษแก้วแหลมคมกระเด็นออกมา โบ๊ทเดินล้วงกระเป๋าเข้าไปในห้องดนตรีไทยพร้อมกับเพื่อนชายอีกสองคน
สาวสวยลูกคุณหนูและกะเทยตุ้งติ้งรีบเดินหนีแต่เพื่อนของโบ๊ทขวางทางเอาไว้ นาทีนั้นแม้แต่อาจารย์ก็ไม่กล้ายุ่งเพียงแค่ลูกๆ ของพยัคฆ์เมฆาเข้ามาเรียนครอบครัวของพวกเธอก็เทคโอเวอร์โรงเรียนนี้ไปแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่า พวกพี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย” น้ำเสียงเย็นชาและแววตาที่ดูเปลี่ยนไปทำให้ทุกคนต่างพากันหนีออกมาจากห้องเหลือเพียงปอแก้วกับใบหนาดยืนเกาะแขนกันอยู่
“พ่อฉันเป็นตำรวจนะหัดเกรงใจกันบ้าง!” ปอแก้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มตัวเองเอาไว้แต่มันทำให้โบ๊ทกระตุกยิ้มทันที
“ทำกับพี่กูขนาดนี้กูต้องเกรงใจพ่อมึงด้วยเหรอ”
“พอโบ๊ท เดี๋ยวฉันจัดการเอง!”
โบ๊ทถอยออกมายืนข้างเพื่อนและหันไปส่งซิกให้เพื่อนปิดประตูห้องเรียนให้มิดชิด จากนั้นเสียงตบตีก็ดังขึ้นพร้อมเสียงร้องไห้ของใบหนาดกะเทยร่างเล็กที่แสนบอบบาง
ปัจจุบัน
ลัลลาเบลยืนกอดอกมองทั้งสองคนด้วยความแปลกใจเพราะหลังจากที่เธอตบสองคนไปวันนั้น ทั้งสองคนก็ปิดปากเงียบไม่กล้าคุยกับใคร แถมเรื่องที่เธอถูกตบก็ไม่มีใครยุ่งด้วย แค่โบ๊ทเดินออกมายิ้มให้สาวๆ ในโรงเรียนทุกคนก็หลงใหลจนไม่สนใจคนเจ็บในห้องเลย
“มึงพวกมันมาขอโทษเรื่องวันนั้นและจะขอเข้าแก๊งเรา”
ฉันต้องตกใจอะไรก่อน ตกใจที่นังสองตัวนี้มาขอโทษหรือตกใจกับคำว่าแก๊งของจีน เพราะทั้งแก๊งมีฉันกับมันแค่สองคน เพื่อนคนอื่นๆ ไม่ค่อยมีใครมายุ่งกับฉันเท่าไหร่หรอก ฉันเป็นคนดีเกินไป
“พวกเราขอโทษนะเบล พวกเราแค่อิจฉาเบลที่ได้คะแนนวิชาอาจารย์บาสมากกว่าใคร ทั้งๆ ที่เบลไม่ค่อยเข้าเรียนงานก็ไม่ส่ง”
“นี่มึงหลอกด่ากูหรือเปล่าใบหนาด-_-!”
“เปล่า เราแค่พูดความจริง=_=”
“อีกสักทีดีไหมมึงอะ”
“พวกเราขอโทษจริงๆ เบล หลังจากนี้พวกเราจะทำดีกับเบล จะไม่อิจฉาเบลแล้วเมื่อวานคุณพ่อเราสองคนพาไปดูมหาลัยนานาชาติมา แต่เราเห็นพ่อของเบลคุยกับอธิการบดีอยู่ ท่านเห็นพวกเราก็เดินตรงมาถามถึงเรื่องที่เบลตบเรา”
“พ่อเบย์เหรอ”
“ใช่ๆ ที่เป็นหมอนั่นแหละ” ใบหนาดรีบพูดเสริม
“พ่อแม่ของพวกเราตกใจมากเราเลยบอกไปว่าพวกเราเอาเศษแก้วไปใส่ในรองเท้าเบลก่อน พ่อกับแม่ของพวกเราเลยต้องขอโทษพ่อเบลอีกรอบ แถมยังบอกว่าให้เรามาขอโทษเบลด้วย”
“ก็แหง่ล่ะ รู้ไหมว่าบ้านฉันเสียเงินให้ตำรวจเดือนละกี่ล้าน อยากได้ยศอะไรก็เข้ามาหาชิ!”
“นั่นแหละพวกเราเลยอยากมาขอโทษละขอเป็นเพื่อนของเบลได้ไหม”
จีนยักไหล่เพราะเธอไม่มีคำตอบอะไร เธอยังไงก็ได้แต่ลัลลาเบลกลับมองทั้งสองคนอย่างพิจารณา ทั้งสองคนเรียนดีนิสัยก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่นัก จึงพยักหน้าและให้จีนจัดการบอกกฎของการเข้าร่วมกลุ่ม
ถึงเวลาพักกลางวันสี่สาวนั่งทานข้าวกันอยู่โบ๊ทก็เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะพร้อมกับมองหน้าทุกคน วันนี้มีสมาชิกมาเพิ่มด้วยแต่ก็ไม่คิดว่าพี่สาวจะญาติดีกับคู่อริได้
“เจ้วันนี้กลับบ้านไปก่อนนะ ผมจะไปดูสโมสรกับพ่อไบร์ท”
“อืม แกพึ่งอายุ15เองนะโบ๊ททำไมไม่ปฏิเสธพ่อบ้าง” แม้จะไม่ค่อยลงขัดขากันประจำแต่ลึกๆ ทั้งสองก็ต่างเป็นห่วงกันมาก ใครเป็นอะไรอีกคนก็จะร้อนรนจนไม่มีสติ
“ช้าเร็วผมก็ต้องดูแลสโมสรแทนพ่ออยู่ดี ว่าแต่มหาลัยที่จะสาระแนไปเรียนโอเคใช่ไหม” นี่คือคำพูดของน้องชายที่เป็นห่วงพี่สาว จนพี่สาวอย่างลัลลาเบลถึงกับจิ๊ปากใส่
“ก็คงดีนั่นแหละ”
ตกเย็นของวันนั้น
บ้านพยัคฆ์เมฆา
ต้นหอมเอาแต่เดินไปเดินมาจนคุณพลอยและคุณอาทิตย์ถึงกับมองหน้ากัน หมอเบย์เดินออกมาจากห้องทำงานก็รีบเข้ามาดึงภรรยามานั่งระงับสติอารมณ์เอาไว้เพราะกลัวว่าเธอจะหลุดพูดอะไรออกไปจนลูกได้ยิน
“อย่าคิดมาก เรื่องนี้ผมเองก็ลำบากใจแต่ลูกควรมีคนดูแล”
“ลูกจะโอเคไหมที่รู้ว่าตัวเองมีว่าที่คู่หมั้นอยู่ที่มหาลัย เขาจะโอเคกับลูกเราหรือเปล่าคะหมอ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหลอกลูก เห็นเบลมันแสบ ก๋ากั่นไม่กลัวอะไรแต่ใครไม่ได้อยู่ใกล้ไม่รู้หรอกว่าเบลเป็นเด็กที่ขี้สงสาร เป็นเด็กที่จิตใจดีพวกเราอาจจะผิดที่ตามใจเบลมากจนเกินไปแต่พ่อเชื่อว่าถ้าเบลได้ไปเรียนรู้ชีวิตในรั้วมหาลัย เบลจะโตขึ้นอีกเยอะ” คุณอาทิตย์พูดปลอบใจจนหมอเบย์พยักหน้าเห็นด้วย แต่คนเป็นแม่อย่างต้นหอมกลับหนักใจ