ต้องมนตร์ขับรถเข้าในบ้านหลังหนึ่ง ที่เธอใช้อาศัยกับย่าในปัจจุบัน ความจริงจะบอกว่าเป็นบ้านของเธอก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่ใช่ของเธอ เธอแค่มาอาศัยอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น พอครบกำหนดสัญญาที่เธอเรียนจบและดูแลตัวเองได้ เธอก็จะพาย่าย้ายออกไปจากที่นี่ทันที
บ้านหลังเดิมที่เธอเคยอยู่แม้จะเล็ก และดูทรุดโทรมกว่าหลังนี้มาก ทว่า เธอก็อยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็กด้วยความผาสุข มีเธอ มีย่าและก็พ่อ
ดวงตาทั้งสองของหญิงสาวเศร้าสร้อยลงทันใด ...เพราะบ้านที่มีพ่อ พ่อที่จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนคืนเมื่อหกปีก่อน
นึกถึงภาพผู้ชายที่อบอุ่นและใจดี พ่อที่ชอบลูบศีรษะเธอด้วยความรัก พ่อที่กลับบ้านตรงเวลา ไม่ดื่มเหล้า ขยันทำมาหากินเพื่อจะให้เธอและย่าไม่ต้องลำบาก พ่อที่ขับรถแท็กซี่ด้วยรอยยิ้ม จนทำให้มีลูกค้าประทับใจ และกลายมาเป็นผู้โดยสารประจำที่เรียกใช้บริการรถแท็กซี่ของพ่อมากมาย และเมื่อพ่อกลับมาถึงบ้านลงจากรถ พ่อจะอ้าสองแขนให้เธอวิ่งเข้าไปกอด ก่อนจะลูบศีรษะเธอด้วยรอยยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ
แต่แล้ววันหนึ่ง...เขาก็มาพรากพ่อไปจากเธอตลอดกาล
ต้องมนตร์นึกถึงคืนนั้นอีกแล้ว เธอจำได้ว่า เธอกำลังรอพ่อกลับบ้านนานกว่าทุกคืน และเธอก็ได้โทรหาพ่อครั้งสุดท้าย ซึ่งพ่อก็บอกว่า 'อีกไม่ไกลจะถึงบ้านเราแล้วนะลูก ตอนนี้พ่อแวะซื้อราดหน้าของโปรดของลูกจากร้านประจำอยู่'
นั่นเอง ขณะพ่อที่กำลังขับรถ จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งซึ่งขับมาด้วยความเร็วพุ่งชนรถของพ่อให้เสียหลักตกลงจากทางด่วน ต้องมนตร์รู้ว่า รถของพ่อถูกรถอีกคันชนก็ตอนที่ตำรวจโทรมาแจ้งข่าว ตอนนั้นเธอก็พาย่าไปหาพ่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และเป็นที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตเนื่องจากหมอไม่สามารถยื้อชีวิตของพ่อได้อีกต่อไป
ต้องมนตร์เข้าใจและรู้ซึ้งแล้วกับคำว่า 'โลกทั้งโลกมันพังทลายลง' เป็นอย่างไร
ราวกับมีใครมากระชากดวงใจของเธอไปกระนั้น เธอกับย่าหันมากอดกันร้องไห้ เพราะทั้งสองได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญในชีวิตไปพร้อมๆ กัน ย่าซึ่งสูญเสียลูกชายคนเดียว ส่วนเธอก็สูญเสียบิดาบังเกิดเกล้าไปเช่นกัน ตรงนั้นราวกับเรี่ยวแรง และวิญญาณเธอถูกใครมาสูบให้เหือดหายไปจนหมด และผู้ชายคนนั้น ... แม้ไม่มีใครบอกกับเธอว่า เขาเป็นคนที่ขับรถมาชนรถของพ่อ แต่ต้องมนตร์ก็สัมผัสได้ เนื่องจากเขายืนมองเธอและย่าอยู่อีกฝั่งของห้องฉุกเฉิน ใบหน้าของเขานิ่งขรึม แววตาสะท้อนความรู้สึกผิดออกมามากมาย
เด็กสาวผละจากย่า วิ่งเข้าไปทุบตีตามตัวเขาทันที พร้อมกับต่อว่าซ้ำๆ ซึ่งเป็นภาพที่สะเทือนใจและหดหู่ต่อคนที่พบเห็นเหลือเกิน
'เอาพ่อหนูมา! เอาพ่อหนูคืนมา!'
เขาไม่หลบ ไม่ปัดป้อง พลางกัดฟันทนความเจ็บปวดจากกำปั้นน้อยๆ ของเธอ กระทั่งมีฝ่ามือใหญ่ๆ ของใครคนหนึ่งมากระชากหัวไหล่เธอออกไป ตามด้วยน้ำเสียงดุๆ อีก
'อย่านะหนู!'
ต้องมนตร์หันกลับไปตามเสียงดุๆ นั้น เธอเห็นผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์ท่าทางจะเอาเรื่องเธอทีเดียว และกำลังทอดมองเธออย่างไม่ชอบใจ ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนติดตามเขา แล้วเขาก็เดินผ่านตัวเธอไปหาผู้ชายคนนั้น พลางส่งเสียงเรียก
'คุณโปรดครับ...'
เขาชื่อ 'โปรด' เธอมารู้ทีหลังว่าเขามีชื่อจริงว่า 'ทรงโปรด ' นั่นเอง
ทรงโปรดรีบยกมือห้ามคนติดตาม แล้วบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่าต่อว่า 'ถ้ามันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ก็ทุบตีฉันต่อได้เลย'
ต้องมนตร์ที่โกรธเกลียดเขาอยู่แล้ว เม้มริมฝีปากเข้าด้วยกันแน่น กำมือเป็นกำปั้น หมายจะพุ่งเข้าไปทุบตีเขาอีกแต่...
'ต้องพอแล้วลูก! พอแล้วพ่อของเราไม่อยู่แล้ว ต่อให้ต้องตีเขาสักเท่าไหร่ พ่อของเราก็ไม่ฟื้นแล้ว เชื่อย่านะ...' ย่าที่ร้องไห้เสียงสั่นเครือรีบคว้าเอาตัวหลานสาวไปปลอบประโลม เธอจึงชะงัก และได้สติขึ้นมาในวินาทีนั้น
เมื่อไม่สามารถทำอะไรอย่างใจคิดได้ ต้องมนตร์ต้องรู้สึกเจ็บปวดขึ้นไปอีก เธอจึงหันมากอดที่ตัวของย่าแน่นๆ แล้วร้องไห้โฮ 'ฮือ ๆ ๆ ๆ ... ย่าจ๋า พ่อทิ้งเราสองคนไปแล้ว ทิ้งไปแล้ว เราจะอยู่กันยังไง!'
คนเป็นย่าเองก็ร้องไห้ไม่ต่างจากหลานสาว ลำคอพลอยตีบตันขึ้นมาอีก เพราะรู้ว่าในอนาคตนับจากนี้ไปสำหรับตนและหลานสาวคงจะมืดมนแล้ว แต่ก็ยังพยายามฝืนทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อจะได้เป็นหลักชัยให้กับหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนคนนี้
'อยู่ได้สิลูก เราต้องอยู่กันให้ได้' ผู้เป็นย่าปลอบหลานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ในห้วงเวลาที่น้ำตาทะลักทะล้น แต่เธอก็ยังเห็นทางหางตาอยู่ลางๆ ว่า ร่างสูงนั้นได้ทรุดนั่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหมดแรงตาม จนคนสนิทไม่สามารถคว้าตัวได้ทัน
'คุณโปรดครับ!'
ก็อย่างที่บอก... ว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของเธอตั้งแต่แรก เพราะเธอก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่หลังจากพ่อตายได้ไม่นาน ใช่ บ้านหลังนี้เป็นของเขา เขาให้เธอและย่าเข้ามาอยู่เนื่องจาก ...
วันหนึ่ง หลังจากที่เสร็จสิ้นงานศพของพ่อได้ไม่นาน ขณะที่เธอกำลังเดินกลับจากโรงเรียนมา ที่บ้านด้วยอาการเศร้าซึมเพราะยังคิดถึงพ่ออยู่ และทันใดนั้นเอง
'ว่ายังไงจ๊ะ! น้องสาวของพี่...'
เธอเงยหน้าขึ้นมาก็พบผู้ชายตัวผอมสูงอายุยี่สิบปี กำลังเข้ามายืนขวางทางเดินไว้
เธอผงะ ด้วยสีหน้าและแววตาของคนตรงหน้าที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ชวนให้รู้สึกหวาดระแวงเหลือเกิน
'พี่โรจน์? พี่มาได้ยังไง!' เธอถามด้วยความแปลกใจ เพราะมันนานหลายปีแล้วที่เธอไม่ได้เจอกับพี่ชายคนนี้อีก
'จะมาได้ยังไง ก็... มาหาน้องสาวของพี่น่ะซิ นี่...ได้ข่าวว่า ตอนนี้มีเงินเป็นสิบๆ ล้านนี่นา เอามาแบ่งให้พี่ใช้สักสองสามล้านหน่อยไม่ได้เหรอ' พี่ชายบอกน้องสาวยิ้มๆ แววตาเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีเงินเอาไว้ใช้จ่ายเล่นให้หนำใจ
'เงินอะไร?'
'โถ ข่าวออกจะดังนะ ก็ไอ้เศรษฐีหน้าหล่อนั่น มันจ่ายเงินเยียวยาให้แกเป็นสิบๆ ล้าน ไม่ใช่เหรอ แล้วยังไม่นับที่มันซื้อรถคันเป็นล้านๆ ไว้ให้ใช้อีก เดี๋ยวนี้น้องสาวของพี่รวยอู้ฟู่จนคนอิจฉากันทั้งเมือง เหมือนคนถูกหวยเลยนะ'
ต้องมนตร์ที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลายเข้าใจแล้ว เพราะหลังจากเสร็จสิ้นงานศพของพ่อ ผู้ชายคนนั้นก็หายหน้าไป แต่เขาก็ยังส่งทนายมาคุยกับย่าและเธอแทน โดยเขาให้ทนายโอนเงินมาให้เธอสิบล้าน ให้ย่าอีกสิบล้าน และยังพาไปซื้อรถเก๋งแทนรถคันที่พ่อใช้แล้วถูกเขาขับรถชนจนพังยับ
นอกจากนี้ เขายังมีเงินที่ให้เธอและย่าเอาไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนโดยคิดจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของพ่อแล้วคูณเข้าไปอีกสองเท่า แถมยังมีค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวจิปาถะที่เขาจะจ่ายให้อีกต่างหาก จนกว่าเธอจะเรียนจบปริญญาตรีที่สามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองและย่าได้
แล้วตอนนี้ พี่ชายคนนี้คงทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็โทรทัศน์แล้วล่ะสินะ ถึงได้มาดักพบเธอแถวๆ บ้าน
ต้องมนตร์จ้องหน้าพี่ชายเขม็งด้วยความโกรธ เพราะเงินที่พี่ชายเปรียบเปรยว่าเธอเหมือนคนถูกหวย มันเป็นเงินที่แลกมาด้วยชีวิตของพ่อของเธอเชียวนะ! พี่ชายคนนี้จะมาคิดอย่างมักง่ายว่าเธอเหมือนคนถูกหวยได้ยังไง!
เธอชี้หน้าคนตรงหน้าแล้วออกปากไล่ส่งทันที 'ไปนะ! ไปให้พ้นหน้าต้องเดี๋ยวนี้ ไป!'