6 ปีผ่านไป...
รถเก๋งคันสีขาวได้ขับเข้ามาจอดตรงที่จอดรถของตึกเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง หญิงสาวผิวขาวจัดตัวเล็กบาง หน้าตาจิ้มลิ้มทีเดียวได้เปิดประตูหยิบกระเป๋า ตำราเรียนเล่มบาง และไม่ลืมจะคว้าเอาตะกร้าหวายใบเล็ก ที่มีข้าวต้มมัดจำนวนสี่มัดติดมือมาด้วย ครั้นเห็นรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูอีกคันขับเข้ามาจอดไม่ห่าง โดยที่เจ้าของรถเป็นหนุ่มนักศึกษารุ่นราวคราวเดียวกัน
เธอก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าก้มตารีบเดินไปที่ตึกเรียนทันที
"ต้อง! ต้อง!"
เสียงเรียกพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งตึกๆๆ ตามมา ทำให้ต้องมนตร์ถอนหายใจ แล้วหยุดเดิน จากนั้นชายหนุ่มคนดังกล่าวก็วิ่งมาหยุดข้างๆ พลางถามถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาว่า
"ตกลง...ว่าไง เรื่องนั้นน่ะ?"
"เรื่องอะไรเหรอน่าน" เธอแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
"ก็เรื่องจดหมายฝึกงานไง ต้องได้ส่งเรื่องไปขอฝึกงานที่บริษัทคุณพ่อของเรารึยัง"
"อ๋อ...เรื่องนี้เอง" เธอทำหน้ารับรู้ ก่อนจะปฏิเสธสั้นๆ "ยัง" แล้วทำท่าจะเดินหนีไปอีก แต่น่านนทีก็รีบคว้ามือข้างที่ว่างเปล่าของเธอให้หันกลับมาคุยกันต่ออย่างเอาแต่ใจ
"เดี๋ยวสิต้อง!"
หญิงสาวตกใจ รีบชักมือกลับทันที แล้วดุตาม "เอ๊ะน่าน! อย่ามาจับมือเราแบบนี้นะ!"
น่านนทีหลบสายตาดุๆ ก่อนจะขอโทษอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ก็แค่จับมือนิดๆ หน่อย ๆ หญิงสาวชอบทำเป็นหวงตัวตลอดเลย "เราขอโทษ"
"เรายังไม่ได้ตัดสินใจนะว่าจะฝึกงานที่ไหน" เธอจึงอธิบายต่อถึงเหตุผล ที่ยังไม่ได้ส่งจดหมายขอทำเรื่องฝึกงานไปที่บริษัทบิดาของน่านนที
กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่เลิกเซ้าซี้ "แต่อาจารย์เร่งแล้วนี่ ทำไมต้องคิดมากกะอีแค่เรื่องฝึกงาน ต้องไปฝึกงานที่บริษัทเรามันไม่ดีตรงไหน ที่นั่น เด็กในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ต่างก็อยากไปฝึกกันทั้งนั้น"
การฝึกงานในชีวิตนักศึกษา ส่วนมากหน้าที่ของนักศึกษาฝึกงานเท่าที่เธอเห็นมาก็ไม่ค่อยจะได้ทำอะไรเท่าไหร่นัก ที่รู้ก็แค่ชงกาแฟ ซื้อกาแฟ ซื้อข้าว ถ่ายเอกสาร หรือเดินเอกสาร พิมพ์จดหมายนั่นนี่ในแผนกให้พี่ๆ ที่บริษัท มีน้อยมากที่จะเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ลงมือทำงานอย่างจริงๆ จังๆ และต้องมนตร์ก็ยอมรับนะว่า บิดาของน่านนทีเป็นประธานกรรมการฝ่ายบริหารสถานีโทรทัศน์ช่องโฟว์ยู ซึ่งเป็นช่องทีวีติจิตอลที่มีชื่ออีกแห่ง เป็นช่องโทรทัศน์ที่มีคอนเทนต์มากมายหลายรายการ ลักษณะงานของนักศึกษาฝึกงานที่จะได้ทำที่นั่นก็เป็นงานที่จับต้องได้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ตามที่ตนเองได้เก็บเกี่ยวความรู้มาเกือบสี่ปี
และนี่เองที่บริษัทของน่านนทีจึงถือเป็นตัวเลือกหลักของเธอด้วย แต่เมื่อต้องมนตร์มารู้ภายหลังว่าคนตรงหน้า ไม่ยอมไปไหน จะฝึกที่บริษัทนั้นด้วย ต้องมนตร์จึงรีบเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะเธอไม่ชอบความวอแว ความเจ้ากี้เจ้าการของน่านนทีเลย แค่เจอกันตามมหาวิทยาลัย ตามชั้นเรียน ตามกลุ่มงาน เธอก็รำคาญเขาเหลือทนแล้ว ขืนให้ไปเจอกันทุกวันอีกสามเดือนนับจากนี้ ให้เธอกลั้นใจตายไปจากตรงนี้เสียดีกว่า!
'แม้เราจะฝึกงานที่บริษัทคุณพ่อ แต่เราก็จะไม่ใช้อภิสิทธิ์ลูกชายของท่านประธานบริษัทเด็ดขาดนะ'
น่านนทีเคยพูดอย่างนี้ต่อหน้าเพื่อน ต่อหน้าคนในคลาส แต่ต้องมนตร์ไม่ค่อยเชื่อถือเขาหรอก แค่เจอกันเวลาเรียนเธอก็รู้แล้ว น่านนทีมีนิสัยหยิบหย่ง คุณหนูจัด หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ชอบพูดจาดีแต่การกระทำมักตรงข้ามกันเสมอ
"ว่าไง...ต้อง" เสียงของน่านนทีดังอีกครั้ง ปลุกให้คนที่เหม่อลอยนิดๆ รู้ตัว
ต้องมนตร์จึงตอบเลี่ยงๆ ไปก่อน "เดี๋ยวเราจะกลับไปคิดอีกคืนก็แล้วกัน แล้วพรุ่งนี้เราจะส่งจดหมายขอฝึกงานให้อาจารย์ดู"
"ขอให้เป็นบริษัทพ่อเราเถอะ" น่านนทีดูมีความหวัง เขายิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย เพราะเชื่อว่าการตื๊อเธอบ่อยๆ เดี๋ยวต้องมนตร์ก็ยอมคล้อยตามเอง
แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าน้อยๆ บอกแค่ว่า "รอคำตอบพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะน่าน"
น่านนทีทำหน้าไม่ชอบใจเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาดูสิ่งที่เธอถือเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง "นั่นข้าวต้มมัดของคุณย่าต้องใช่มั้ย"
ต้องมนตร์พยักหน้า "จะเอาไปให้เพื่อนเรากินกันน่ะแหละ"
น่านนทียกมือทั้งสองขึ้นมาถูเบาๆ แล้วยิ้ม ดวงตาเป็นประกายขึ้น "ดีจัง เราชอบข้าวต้มมัดของคุณย่าต้องทำนะ อร่อย หอมกลิ่นข้าว แถมรสชาติไม่หวานเกินไป จึงไม่เลี่ยน หวานนิดๆ มันๆ ออกเค็มหน่อยๆ อร่อยมาก"
"งั้น เดี๋ยวก็ไปกินด้วยกันสิ" ต้องมนตร์ชูตะกร้าใบเล็กขึ้น ก่อนจะออกเดินนำน่านนทีไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ ใต้อาคารเรียนต่อไป
ณ ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ฟอร์เวิร์ด เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ประธานกรรมการบริษัทกำลังยืนพูดผ่านไมค์บนโพเดี่ยมกลางห้อง ท่าทางเอาจริงเอาจังบวกกับสายตาดุๆ ก็คอยแต่จะดูข้อมูลที่ถูกฉายผ่านโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ตลอด
"ท่านประธานฯ ดูเอาจริงเอาจังมากเลยนะ พอเอาจริงเอาจังขึ้นมา ก็กลายมาเป็นคนเก่งไม่แพ้พ่อที่เป็นอดีตท่านประธานเลย" เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้และฟังประธานบริษัทแห่งนี้ไปด้วย
"ใช่ นี่ เมื่อเช้าเห็นข่าวช่องโทรทัศน์บางช่องประกาศจะเลิกจ้างนักข่าวและพนักงานก็สงสารพวกเขานะ ว่ามั้ย
"ใช่ ทำให้เห็นว่าบริษัทเรายังโชคดีอยู่มาก เพราะไม่มีขาดทุน หุ้นก็ขึ้นเอาๆ แถมฟันกำไรนับพันล้านทุกปี เก่งมาก"
"ยุคนี้เป็นยุคที่สื่อต้องปรับตัว มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ใครไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็ยากที่จะได้ไปต่อนะ"
แล้วคนพูดก็พยักพเยิดไปทางบนเวทีของห้องประชุมอีก ก่อนจะพูดต่อ "นั่น เมื่อก่อนถือว่าเป็นลูกชายที่ไม่เอาไหนนะ แต่ก็มาเปลี่ยนแปลงตัวเองก็หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วย ว่ามั้ย"
"ครั้งไหน?"
"อ้าว!" อีกคนอุทาน ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบกระซาบบอกอะไรๆ ใกล้ๆ หูของคู่สนทนา "ก็...เรื่องที่เคยขับรถชนคนตายไง"
"อ๋อ นั่นน่ะสิ ดีนะที่ยังกลับตัว กลับใจได้ทัน"
แล้วเสียงพูดคุยระหว่างคนทั้งสอง ที่อยู่ในห้องประชุมใหญ่แห่งนี้ก็เงียบลง เมื่อเสียงทุ้มกังวานของท่านประธานฯ ได้พูดสรุปขึ้นก่อนจะเลิกการประชุม
"ครึ่งปีหลัง เรายังมีคอนเทนต์ที่อัดแน่น มีรายการหลากหลายรูปแบบ ที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย มีธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิง ที่ถูกผลักดันผ่านงานกลุ่มธุรกิจและบริษัทในเครือสี่กลุ่มหลักเหมือนเดิม ซึ่งได้แก่ กลุ่มธุรกิจสถานีโทรทัศน์และผลิตรายการโทรทัศน์ กลุ่มธุรกิจโรงละคร กลุ่มธุรกิจภาพยนตร์ และสุดท้ายกลุ่มธุรกิจจัดงานแสดงหรืออีเวนต์ ..."
ชายหนุ่มพูดเสร็จแล้วก็ชักถามความสงสัยจากผู้เข้าร่วมประชุมใหญ่ในครึ่งปีหลังของบริษัท เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ต่างคนก็ต่างทยอยออกจากห้องประชุมใหญ่ไป ที่เหลือก็เป็นพนักงานส่วนหนึ่ง และนักศึกษาฝึกงานบางคนที่มาช่วยงานพร้อมกับพี่ๆ แต่ละแผนกนั่นเอง
เห็นนักศึกษาฝึกงานแล้ว ทำให้ทรงโปรดเริ่มนึกอะไรออกมาทันที ดังนั้นเมื่อเขากลับมาที่ห้องทำงาน ก่อนจะเดินเข้าห้องก็หันกลับมาถามเลขาฯว่า "จิ๋ว" "คะ คุณโปรด?"
"ช่วยดูรายชื่อนักศึกษาฝึกงานรอบต่อไป ให้ผมหน่อยสิว่ามีชื่อนักศึกษาที่ชื่อ 'ต้องมนตร์ กาญจ์ศิริ' มั้ย"
"ได้ค่ะ คุณโปรด เดี๋ยวจิ๋วเช็กให้นะคะ"
"ขอบคุณ" เขากล่าวคำขอบคุณแล้วก็กลับเข้าไปรอคำตอบที่โต๊ะทำงาน ระหว่างนั้นก็ใช้นิ้วมือเคาะลงกับโต๊ะเบาๆ จนเวลาผ่านไปสักสามนาที เลขาฯสาวก็รีบเข้ามารายงานว่า
"คุณโปรดคะ ... เช็กดูแล้วชื่อของนักศึกษาฝึกงานในรอบนี้ไม่มีชื่อของ ต้องมนตร์ กาญจ์สิรินะคะ"
"เหรอ ...ก็เทอมนี้เธอจะต้องฝึกงานแล้วนี่" ทรงโปรดพึมพำ แล้วเรียกเลขาฯอีกครั้ง "จิ๋ว"
"คะ?"
"นี่ผมไม่ได้กินข้าวต้มมัดมากี่วันแล้ว" เขาถามอีกเรื่องเสียงเครียดๆ พอกัน
"คุณโปรด หมายถึงข้าวต้มมัดของเจ้าประจำนะคะ ก็...นับเดือนแล้วค่ะ คุณโปรด" จิราณีตอบ
ทรงโปรดพยักหน้าคมคายรับ ก่อนจะพยักหน้าให้จิราณีออกไปทำงานต่อได้ จากนั้นชายหนุ่มก็พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเครียดๆ อีก "จดหมายฝึกงานของเธอก็ยังไม่มา แถมข้าวต้มมัดของเธอก็หายไปได้ร่วมเดือน หรือเธอได้ที่ฝึกงานที่อื่น และย่าของเธอป่วย"
ทรงโปรดคิดแล้วก็รู้สึกว้าวุ่นใจตามมา...