และบ้านที่เธอย้ายมาอยู่กับย่าก็คือหลังตรงหน้า เป็นบ้านที่อยู่ในโครงการบ้านจัดสรรชื่อดัง แน่นอนว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่เขาครอบครองอยู่ ตอนนั้นต้องมนตร์มารู้เพิ่มภายหลังอีกว่า ตอนแรกเขาต้องการให้เธอกับย่าไปอยู่ในคอนโดของเขาเพราะที่นั่นจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่นกว่า แต่เพราะย่าไม่ชอบอยู่ในที่ลักษณะแบบนั้น ย่าชอบอยู่บ้านที่เป็นหลัง มีพื้นที่ มีสนามหญ้า มีต้นไม้ให้ปลูกด้วยมากกว่า เขาไม่ขัดใจเลยให้เธอกับย่ามาอยู่ที่นี่แทน
และต้องมนตร์ก็รู้อีกว่า การที่เขาเข้ามาทำดีกับเธอและย่า จะด้วยความจริงใจ เพราะอยากรับผิดชอบจริงๆ หรือไม่นั้น แต่ที่แน่ๆ ก็เพราะผลทางคดีความที่เขาขับรถโดยประมาท ทนายความของเขาจึงต้องใช้ตรงนี้ไปต่อสู้คดี เพื่อให้ศาลท่านเกิดความเมตตาต่อเขาให้มากที่สุดด้วย
และผลการตัดสินคดี เขาไม่ถูกจำคุกข้อหาขับรถโดยประมาท แต่ศาลแค่ให้รอลงอาญาและบำเพ็ญประโยชน์ตามเงื่อนไขของศาลแทน
ต้องมนตร์รู้สึกสับสนกับตัวเขาพอสมควร แต่ก็ต้องยอมทำตามความต้องการของย่า ที่ให้โอนอ่อนกับเขากับทนายความของเขา
ย่าก็บอกว่า คนอื่นอาจจะมองว่าย่าเห็นแก่ได้ สนใจเงินทองสิ่งของที่เขาประเคนให้มากกว่าชีวิตของลูกชาย แต่ย่าก็ไม่สนใจกับคำนินทาเหล่านั้น และย่าก็ยังสอนให้เธอคิดตามความเป็นจริงอีกด้วยว่า บิดาเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว ข้อนี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้อีก แต่ที่เราต้องดูและยอมรับ ก็คือสิ่งที่เกิดในปัจจุบันและที่จะเกิดในอนาคตนั่นต่างหาก ให้ดูที่เจตนาของเขา เพราะเห็นถึงความจริงใจ ความรับผิดชอบต่างๆ นานาที่เขามีต่อย่ามีต่อเธอ ทำให้ย่าสามารถให้อภัยเขาได้อย่างหมดข้อกังขา
แต่ต้องมนตร์ไม่อาจจะทำใจได้ดีเท่ากับย่า ลึกๆ เธอก็ยังรู้สึกโกรธและไม่พอใจเขาอยู่ แต่ก็ทนทำตามความต้องการของย่าไป สุดท้าย ก็กลายเป็นความไม่อินังขังขอบ ออกจะเย็นชากับผู้ชายที่ชื่อทรงโปรดด้วยซ้ำ เพราะเวลาที่เขามาเยี่ยมย่าและ...เธอ ซึ่งก็ไม่บ่อยนัก อาจจะเดือนละครั้ง ต้องมนตร์ก็หลบหน้าเขาไปเสีย ก็มีแต่ย่าเท่านั้นที่พูดคุยกับเขาเป็นอย่างดี
และในระยะสามสี่เดือนที่ผ่านมานี้ ต้องมนตร์สังเกตว่าเหมือนเขาไม่ได้มาหาย่าบ่อยนัก เห็นย่าบอกว่าเขางานยุ่งทำนองนี้ ซึ่งก็คงจริง เพราะบริษัทของเขากำลังเป็นไปได้ดีแบบก้าวกระโดดทีเดียว เป็นบริษัทเดียวกับที่ต้องมนตร์ลังเลว่าจะไปฝึกงานที่นั่นดีหรือเปล่า เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ ท่านได้แนะนำว่าที่นั่น มีความเหมาะสมที่เธอควรจะไปฝึกงาน เพราะสำหรับเด็กนิเทศศาสตร์เช่นเธอแล้ว บริษัทผลิตรายการทีวีชื่อดังอันดับต้นๆ ของประเทศ ใครก็ปรารถนาอยากจะร่วมงานด้วยสักครั้ง แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งนักศึกษาฝึกงานก็ตาม นี่เองที่ทำให้ต้องมนตร์เกิดความลังเลอยากจะไปฝึกงาน แต่ก็...ไม่อยากพบเจอเขาที่นั่นบ่อยๆ เช่นกัน
พูดถึงเขา ต้องมนตร์ก็รีบเหยียบเบรกรถเก๋งอย่างจังเพราะท้ายรถปอร์เช่สีขาวคันงามที่จอดเทียบตรงหน้านั่นเอง ... วันนี้เขามาหรือนี่!
ตายจริง! หญิงสาวเริ่มเลิ่กลั่กขึ้นมา กับเรื่องข้าวต้มมัดที่ย่าฝากเธอไปให้เขาที่บริษัท ถ้าเกิดย่าถาม แล้วเขาบอกว่าไม่ได้รับเลย เธอจะต้องโดนย่าดุแน่!
ต้องมนตร์เหลียวซ้ายแลขวาขณะที่คิดว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงได้มาหาย่าของเธอวันนี้ แล้วถ้าย่าลองซักถามเขาถึงเรื่องข้าวต้มมัดที่เขาบอกชอบฝีมือของย่าล่ะ จากเหตุการณ์ในเช้าวันหนึ่งก็นับได้หนึ่งเดือนละมั้ง ที่เธอไม่ได้แวะเอาไปให้เขาที่บริษัทอีกเลย หญิงสาวจอดรถไว้ปกติ รวบรวมความกล้า แล้วก็เก็บสัมภาระลงจากรถ พร้อมกับเดินเข้าไปในบ้านทันที
นึกเอาไว้ไม่มีผิด เพราะเธอเห็นเขากำลังนั่งพูดคุยกับย่าตรงโถงรับแขก ถ้าจะหลบหน้า คงหลบไม่ได้แน่ "สวัสดีค่ะ" เธอจำต้องยกมือไหว้เขา
ทรงโปรดรับไหว้ปกติ แต่แววตาสะท้อนความวูบไหว เพียงแต่รวดเร็วจนใครไม่อาจจับได้
"ต้องอย่าเพิ่งไปไหน คุณโปรดมีเรื่องอยากจะคุยกับต้องเกี่ยวกับเรื่องในมหาวิทยาลัยน่ะ"
"ค่ะ"
"งั้น คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวย่าไปดูแกงส้มให้คุณโปรดก่อน" ย่าของเธอบอก พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้น และเมื่อนึกอะไรได้ก็พูดชายหนุ่มอีก "อ้อ ตอนเช้านี้ให้ต้องเอาข้าวต้มมัดไปให้ คุณบอกว่าข้าวต้มมัดของย่าอร่อยเหมือนเดิม ย่าก็ดีใจ"
หญิงสาวตะลึงเล็กน้อย หันไปมองเขา เขาก็แค่ยิ้มน้อยๆ รับย่าเธอ ก่อนจะปรายตามาทางเธอต่อ ต้องมนตร์ลอบถอนใจ เขาช่วยเธอโกหกแบบนี้จะโล่งอกหรือหนักใจแทนดีล่ะ
เมื่อย่าเธอหายลับเข้าไปในห้องครัวไปแล้ว เธอก็หันไปถามเขาทันที "ทำไม คุณถึงช่วยต้องโกหกเรื่อง ข้าวต้มมัดคะ" ทรงโปรดมองหญิงสาวที่นั่งลงตรงหน้าด้วยความใจเย็น คิ้วงามแม้ไม่ต้องขีดเขียนให้เข้มจัด จมูกโด่งสวย ริมฝีปากบางเคลือบไปด้วยลิปกลอสฉ่ำวาว ต้องมนตร์เป็นผู้หญิงที่สวยธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่ต้องแต่งเติมสีสันฉูดฉาดลงใบหน้าให้เป็นที่ขัดตาอีก
ทรงโปรดกระแอมไอเล็กน้อย เมื่อรู้ตัวว่าเผลอไผลพิจารณาส่วนประกอบบนใบหน้าเธอนาน ส่วนเรื่องข้าวต้มมัดที่เธอพูดถึง เพราะมันมีที่มาที่ไปแบบนี้...
นั่นก็คือเป็นอาชีพเดิมของคุณย่าเธอ สมัยที่บิดาเธอยังไม่เสีย ผู้อาวุโสจะทำข้าวต้มมัดขายแถวๆ บ้าน ทำมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กำลังของตัวเอง แต่ก็ขายหมดเกือบทุกวัน และพอย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ก็ทำอยู่เป็นปกติ แต่ไม่เชิงทำขาย อาศัยทำแจกจ่ายเพื่อนบ้านไว้ผูกสายสัมพันธ์ ทำความรู้จักกับคนละแวกนี้เอาไว้ ด้วยฝีมือที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์ ใครเคยชิมก็ติดใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งเขา ย่าของเธอจึงมักฝากไปให้เขาทานที่บริษัทบ่อยๆ
ทีนี้ก็เหมือนจะเข้าทางเขาส่วนหนึ่ง คือ ถ้าวันไหนย่าของเธอทำ จะต้องเป็นหน้าที่ของหญิงสาวที่จะแวะเอาไปให้เขาก่อนไปเรียนมหาวิทยาลัยและก็น่าแปลก ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาไม่ได้รับข้าวต้มมัดเลย เมื่อครู่ลองสอบถามย่าของเธอเล่นๆ ท่านก็พูดออกมาเองว่า ยังทำอยู่เป็นปกติ อย่างเช่นเช้าวันนี้ก็ได้ไหว้วานให้เธอฝากไปให้เขาที่บริษัทด้วย
ต้องมนตร์เริ่มนั่งไม่ติดที่ ทรงโปรดเองก็เห็นเธอขยับตัวไปมาเล็กน้อย อีกอย่างเม็ดนิลคู่ตรงหน้าก็กลอกกลิ้งไปมาราวกับต้องนึกหาคำตอบให้ดีก่อน
"มีอะไรรึเปล่า?"
หญิงสาวอ้ำอึ้ง จะบอกว่าเขาอย่างไรล่ะ ว่าในเช้าวันหนึ่งเมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน เธอเจอคู่ควงของเขา 'โรสิตา' ผู้หญิงคนนั้นได้มาพูดจาดูถูกเธอและย่าของเธอยังไงบ้าง
'เดี๋ยว นั่นเธอจะไปไหน!'
โดยในเช้าวันนั้น โรสิตาได้เข้ามาเรียกเธอขณะยืนรอลิฟต์เพื่อจะเอาข้าวต้มมัดนี้ไปให้ชายหนุ่มที่ห้องทำงาน
ต้องมนตร์หลุบมองตะกร้าหวายใบเล็กในมือ พร้อมกับมีสายตาของโรสิตาที่พยายามมองด้วยความไม่ชอบใจเช่นกัน
'ย่าฝากนี่มาให้คุณโปรดค่ะ' เธอพูดพร้อมกับชูตะกร้าให้อีกฝ่ายดู จะได้ไม่ต้องชะเง้อมองให้เมื่อยคอ
'เอามานี่ เดี๋ยวฉันจะไปหาโปรดเขาอยู่พอดี' โรสิตาบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ
ต้องมนตร์ถอนหายใจ ไหนๆ ย่าก็ไม่ได้กำซับนี่ว่า ต้องยื่นให้เขาเองกับมือ เมื่อมีคนอาสาจะเอาไปให้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ร่นเวลาให้เธอไปถึงมหาวิทยาลัยได้เร็วขึ้น
โรสิตารับของจากมือของหญิงสาว พร้อมกันนั้นก็ขยับตัวเข้ามาพูดใกล้ๆ ตัวอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
'เข้าใจหาข้ออ้างมาที่นี่บ่อยๆ ดีนี่'
'คุณหมายถึงอะไรคะ?'
'เธอกับย่า... งั้นฉันก็ขอพูดตรงๆ ก็แล้วกันนะ เธอไม่คิดว่านี่เป็นวิธีที่น่ารังเกียจหน่อยเหรอ'
'อะไร ที่คุณว่าน่ารังเกียจ…'
'วิธีการที่ย่าและเธอใช้ ...ข้าวต้มมัดนี่ยังไงล่ะ'
หญิงสาวเข้าใจแล้ว มีคนคิดอกุศลกับย่าของเธอได้จริงๆ ด้วย ใช่ แม้เรื่องที่เขาทำกับพ่อของเธอ จะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก แต่ในเวลาที่ผ่านมา ในสายตาของย่า เขาก็มีความพยายามจะทำทุกๆ อย่างให้ดีขึ้นเพื่อชดเชยความผิดพลาด ส่วนย่าเองก็อยากจะให้อะไรเล็กๆ น้อยๆ ตามกำลังที่ย่าพอจะทำได้ต่อเขาบ้าง โดยใช้ข้าวต้มมัด ขนมที่ย่าทำได้อร่อยถูกปากใครต่อใครเป็นของตอบแทนเขา เท่านี้ ย่าของเธอก็สุขใจแล้วที่ได้ทำอะไรๆ ให้ตัวเองมีคุณค่าบ้าง
'ความจริง เธอเอาไปฝากประชาสัมพันธ์ไว้ก็ได้ แต่นี่ตั้งใจจะไปให้เขากับมือเลย จนฉันและคนอื่น ๆ อดคิดไม่ได้ว่า...'
'พอเถอะค่ะ! คุณพูดอะไรออกมานั่นก็จะสะท้อนสิ่งที่คุณเป็นอยู่เหมือนกัน' ต้องมนตร์อดที่จะแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาไม่ได้
โรสิตาได้กล่าวหาว่าย่ากำลังหาโอกาสให้เธอได้เข้าใกล้เขาโดยใช้ข้าวต้มมัดนี่เป็นสื่อ
'อีกไม่กี่เดือน พันธะสัญญาระหว่างเขาและเธอจะจบลงแล้ว ฉันหวังว่า เธอคงไม่เข้ามาเกาะแกะโปรดอีกนะ ดูแลตัวเองได้ มีทุกอย่างที่เพียบพร้อมจากการชดเชยของเขาหมดแล้ว สิ่งเหล่านั้นคงทำให้เธอกับย่าดูแลตัวเองได้'
'คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณโรส ถึงวันนั้นมา ฉันกับย่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก ขอให้คุณสบายใจได้'
โรสิตายิ้มราวกับผู้กำชัยชนะ 'พูดง่าย เข้าใจง่ายดีแบบนี้ ฉันก็สบายใจ'
ต้องมนตร์มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะรีบเดินจากไปทันที และเธอค่อนข้างมั่นใจว่า เมื่อเธอกลับไปแล้ว โรสิตาคงแอบเอาข้าวต้มมัดของย่าไปทิ้งลงในถังขยะอย่างแน่นอน
นับจากวันนั้นมา... เธอก็ไม่ได้แวะเอาข้าวต้มมัดไปให้เขาที่บริษัทตามคำสั่งย่า แต่กลับเอาไปให้เพื่อนๆ ที่คณะจัดการแทน