| 5 - 1

1394 คำ
ต้องมนตร์จัดการงานศพของย่า ด้วยความเรียบง่ายเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของท่าน เพราะจะมีเพียงเพื่อนและคนรู้จักไม่กี่คนเท่านั้นมาร่วมงาน เนื่องจากตลอดชีวิตของย่า ท่านจะใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ได้คบค้าสมาคมใครมาก ย่าเคยเปรยๆ ให้เธอฟังตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า หากท่านตายช่วยจัดงานของท่านให้เรียบง่าย ไม่จำเป็นไม่ต้องไปบอกกล่าวใครให้มากมาย เพราะท่านไม่อยากรบกวนผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาหรือเรื่องของเงินทองก็ตาม  นี่แหละย่าของเธอ สมถะ เรียบง่าย ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ไม่เบียดเบียนใครแม้กระทั่งตอนที่ท่านไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว       และทรงโปรด...ผู้ชายคนนี้ก็ยังคอยอยู่ใกล้ๆ เธอนับตั้งแต่วันที่ย่าถูกแทง จนมาถึงวันที่เธอจะลอยอังคารให้ท่าน วันนี้เขาพาเธอมารับเถ้ากระดูอีกส่วนของย่าจากวัด จากนั้นก็ขับรถพาเธอมายังปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่สมุทรปราการ ตอนนี้เขาอยู่ในเสื้อโปโลสีขาว สวมแว่นตากันแดดกำลังมองหญิงสาวในเดรสสีขาวสั้นเลยเข่าเล็กน้อย เธอถือห่อผ้าสีขาวที่มีเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งของผู้เป็นย่า เขายื่นมือให้จับขณะหญิงสาวกำลังจะลงเรือ ต้องมนตร์มองมือหนาที่ยื่นมาตรงหน้า เธอไม่ได้ลังเลที่จับมือเขาเลย เพราะเธอห่วงห่อผ้าที่อยู่ในมือตัวเองหากเธอเหยียบพลั้งพลาดแล้วอาจจะลื่นล้มได้นั่นเอง  เมื่อทั้งสองลงเรือเรียบร้อย ทรงโปรดทำหน้าที่จุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาแม่น้ำแห่งนี้ จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันประพรมน้ำอบให้ย่า ต้องมนตร์เต็มใจให้เขาช่วยเธอพรมน้ำอบให้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มีความสำคัญต่อย่าของเธอมากทีเดียว                       จากนั้นเขาและเธอก็ร่วมกันอธิษฐานขอให้ดวงวิญญาณของย่าไปสู่สุคติ แล้วชายหนุ่มก็ช่วยประคองห่อผ้าสีขาวไว้ เพื่อให้เธอโปรยเถ้ากระดูกของย่าเอง ต้องมนตร์ปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างช้าๆ ขณะปล่อยเถ้ากระดูกจากมือให้ล่องลอยตามกระแสแรงลมจนกระทบกับผิวน้ำเลื่อมพราย พร้อมกับพยายามปลงในอนิจจังว่า ชีวิตของคนเราสุดท้ายก็เท่านี้ นั่นคือ ก็ต้องกลับคืนสู่ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดังเดิม...                                                      หลังจากเสร็จสิ้นการลอยอังคารแล้ว ทั้งสองก้าวขึ้นมาบนท่าเรืออีกครั้ง ทรงโปรดก็ได้หันมาบอกเธอเรียบๆ ว่า "กลับบ้านกันนะ" เธอมองเขาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงบ้านหลังไหน                                                                                         "ไม่มีทางเป็นบ้านหลังนั้นหรอก มันอันตรายเกินไปที่จะให้เธอกลับไปอยู่ที่นั่นอีก อีกอย่างเธอคงไม่อยากเห็นที่นั่นอีกแล้ว ใช่มั้ย" ต้องมนตร์พยักหน้า เธอยังทำใจที่จะกลับไปเห็นที่ที่ย่าของเธอถูกแทงไม่ได้ "งั้นคุณ ก็หมายถึง..."                                    "ใช่ บ้านของฉันเอง"                                                       ตอบเธอไปแล้ว ก็มองเห็นดวงตาหวานทั้งสองกลอกไปมาคล้ายลังเลในบางเรื่อง เขาจึงรีบบอกให้เธอสบายใจ "ไม่ต้องห่วงหรอก ที่บ้านของฉันไม่มีใครอีกแล้ว มีแค่น้องสาวเท่านั้น เธอก็รู้นี่ว่าฉันมีน้องสาวคนหนึ่ง" "ค่ะ แต่ ..." เธอพยายามจะทวนข้อตกลงเรื่องการเก็บเรื่องจดทะเบียนสมรสไว้ให้มีคนรู้น้อยที่สุด ...                            แต่ทรงโปรดก็รีบให้เหตุผลกับเธอว่า "ถึงอย่างไร น้องสาวฉันก็ต้องรู้เรื่องที่เราจดทะเบียนสมรสกันแล้วอยู่ดี คงไม่เป็นไรหรอกใช่มั้ย ถ้าเราทั้งสองจะบอกกับน้องของฉันตรงๆ ไปเลย"       ต้องมนตร์เม้มริมฝีปากเข้าด้วยกันเล็กน้อย แล้วไตร่ตรอง ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เขาพูด พวกเขาทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ถึงอย่างไรก็คงปิดเรื่องทำนองนี้ไม่ได้อยู่ดี "งั้น ก็ตามใจคุณค่ะ"          ทรงโปรดยิ้มน้อยๆ ด้วยความสบายใจขึ้น เพราะต้องมนตร์ไม่ได้รู้สึกอึดอัดที่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน และจะต้องบอกเรื่องของเขาและเธอให้น้องสาวคนเดียวของเขารู้ด้วย          เมื่อเธอเห็นสมควรกับเรื่องนี้แล้ว เขาเดินไปเปิดประตูรถให้เธอกลับขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นก็รีบขับเพื่อพาเธอไปยังบ้านของเขาทันที "พี่โปรด! พี่โปรดกลับมาแล้ว! ทำไมไม่กลับบ้านบ้างล่ะค่ะ รักโทรไปถามกับคุณจิ๋ว พี่โปรดก็ไม่ได้มีงานยุ่งอะไร ทำไม..."        ทรงรักปราดเข้ามาถามพี่ชายทันที ยามเห็นเขากลับเข้ามาในบ้าน เพราะตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่ชายของเธอไม่ได้กลับมานอนที่บ้านเลย แม้จะเฝ้าโทรไปถามเขา เขาก็แค่บอกว่าติดงานบางอย่างเท่านั้น                                                             ขณะที่กำลังแสดงทั้งความตื่นเต้นและแปลกใจกับพี่ชายอยู่นั้น ทรงรักก็เริ่มเอะใจกับเงาสะท้อนของใครบางคนบนพื้นหินอ่อนที่กำลังเดินตามทรงโปรดเข้ามาในบ้านด้วย          ทรงรักหันไปมองเจ้าของเงานั่น เธอเป็นหญิงสาวที่ยังดูสาวและสวยมากแม้ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นไม่ได้แต่งแต้มมากมายก็ตาม ก่อนหันมาถามพี่ชายว่า "นี่ใครคะ พี่โปรด" ทรงโปรดเงียบ มองใบหน้างุนงงของน้องสาวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรทรงรักก็ต้องรู้ และถึงอย่างไรหญิงสาวทั้งสองก็ต้องได้มาเผชิญหน้ากันสักวันหนึ่ง "ต้อง...ต้องมนตร์" ดูเหมือนทรงโปรดจะมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่จะเอ่ยชื่อหญิงสาวคนที่เขาพามาด้วยอีกด้วย หัวใจของทรงรักเต้นแรงขึ้นราวกับถูกบีบ ทำไมเธอจะไม่รู้จักชื่อของผู้หญิงคนนี้ เพราะย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ข่าวลงกันอย่างครึกโครมถึงเรื่องอุบัติเหตุของบิดาอีกฝ่าย และสื่อหลายๆ เจ้าต่างก็โฟกัสไปที่งานเงินก้อนใหญ่ที่ทางครอบครัวเธอต้องจ่าย เพื่อชดเชยให้กับหญิงสาวคนนี้นั่นเอง  ดวงหน้าของทรงรักค่อยๆ มีสภาวะซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทรงโปรดก็เห็นอยู่แล้ว เพราะเขาคอยจับตาดูความผิดปกติของทรงรัก นับตั้งแต่ที่ได้แนะนำว่าหญิงสาวที่เขาพามาด้วยคือใคร       ทรงรักรีบถอยหนีให้ห่างจากตัวพี่ชายไปทันที ขณะนั้นต้องมนตร์ก็สังเกตการก้าวเดินอันผิดปกติของทรงรักได้ด้วย                   "พามาที่นี่ทำไม!" ทรงรักใช้น้ำเสียงแข็งขึ้น ดูไม่พอใจมากทีเดียว และเธอก็ไม่ยอมมองหน้าผู้หญิงที่ยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังพี่ชาย  ทรงโปรดหันไปมองต้องมนตร์เล็กน้อย ก่อนจะเดินมาจับมือน้องสาวแล้วบอกว่า "พี่มีเรื่องสำคัญจะต้องบอกให้รักรู้..."         "เรื่องอะไรอีก!"                                                                "พี่กับต้อง...เราแต่งงานกันแล้วอย่างเงียบๆ และมีการจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องอีกด้วย"       ดวงตาของทรงรักเบิกขึ้น ทำท่าตกใจมากกว่าเดิม จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจมาก ก่อนที่จะเผลอเกรี้ยวกราดลงตรงนี้ เธอก็ยังพอมีสติจะยับยั้งได้ว่า การแสดงออกซึ่งความโมโหร้ายและเกรี้ยวกราดออกมานั้น อาจจะนำไปสู่การเผลอไผลพูดเรื่องอะไรต่อมิอะไรออกมาต่อหน้าคนอื่นได้ ว่าแล้วทรงรักก็รีบเข้ามาจับแขนทรงโปรดแล้วเดินดึงตัวเขาที่ลิฟต์ของบ้าน เวลานี้ต้องมนตร์ก็ยิ่งเห็นอาการเดินที่ไม่เป็นปกติของทรงรักได้มากขึ้น ดูเหมือนว่าขาข้างหนึ่งของน้องสาวของทรงโปรด จะมีอาการสั้นกว่าอีกข้างด้วย!         ลิฟต์พาคนทั้งสองขึ้นมายังชั้นสามอันเป็นชั้นบนสุดของบ้าน ทรงโปรดยอมให้น้องสาวลากตัวเองไปพูดกันให้พ้นหูพ้นตาคนมากที่สุด เมื่อเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ทรงรักก็รีบต่อว่าพี่ชายทันที   
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม